TH | EN
TH | EN
หน้าแรกStartupเอ็นไอเอ เตรียมส่ง 66 สตาร์ตอัพร่วมแก้วิกฤติภาคเกษตรไทย

เอ็นไอเอ เตรียมส่ง 66 สตาร์ตอัพร่วมแก้วิกฤติภาคเกษตรไทย

สำนักงานนวัตกรรมแห่งชาติ (องค์การมหาชน) หรือ NIA เร่งส่งเสริมและผลักดันนวัตกรรมเพื่อตอบโจทย์อุตสาหกรรมเกษตร ปั้นสตาร์ตอัพใน 6 สาขา ได้แก่ 1) การเกษตรดิจิทัล 2) เครื่องจักรกลเกษตร หุ่นยนต์ โดรนและระบบอัตโนมัติ 3) เทคโนโลยีชีวภาพทางการเกษตร 4) การจัดการฟาร์มรูปแบบใหม่ 5) การจัดการหลังการเก็บเกี่ยวและขนส่ง และ 6) บริการทางธุรกิจเกษตร จำนวนทั้งหมด 66 ราย เพื่อช่วยเหลือเกษตรกรในการสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับผลิตภัณฑ์และบริการ รวมทั้งเพิ่มประสิทธิภาพการผลิต และลดต้นทุนให้กับเกษตรกรทั่วประเทศ นอกจากนี้ ยังได้วิเคราะห์แนวโน้มนวัตกรรมและเทคโนโลยีทางการเกษตรที่มีโอกาสเติบโตปี 2021 เช่น แพลตฟอร์มการซื้อขายสินค้าเกษตรออนไลน์ การทำฟาร์มในเขตเมือง และการสร้างบริการแบบเบ็ดเสร็จ

-กรุงศรี ฟินโนเวต เผย 6 เทรนด์สตาร์ตอัพ ปี 2021
-SCB 10X เตรียมอัดงบ 50 ล้านดอลลาร์ ลงทุนสตาร์ตอัพกลุ่ม Blockchain DeFi และสินทรัพย์ดิจิทัล

ดร.กริชผกา บุญเฟื่อง รองผู้อำนวยการด้านระบบนวัตกรรม สำนักงานนวัตกรรมแห่งชาติ (องค์การมหาชน) หรือ NIA กล่าวว่า ในปี 2563 ที่ผ่านมาถือเป็นปีแห่งความท้าทายด้านการเกษตร ที่แม้ว่าจะไม่ได้รับผลกระทบโดยตรงจากสถานการณ์การระบาดของเชื้อโควิด-19 แต่ด้วยวิถีชีวิตใหม่ส่งผลต่อรูปแบบการใช้ชีวิตของคนในสังคมที่เปลี่ยนไป เช่น การเดินทางท่องเที่ยวลดลง การเลือกซื้อสินค้าผ่านแพลตฟอร์มออนไลน์มากขึ้น ดังนั้น การส่งต่อสินค้าเกษตรไปถึงมือผู้บริโภคได้โดยตรงนั้นจึงจำเป็นต้องอาศัยเทคโนโลยีและนวัตกรรมเข้ามาช่วยบริหารจัดการ

ซึ่ง NIA ได้มีการติดตามและสรรหาแนวทางในการช่วยเหลือมาอย่างต่อเนื่อง ด้วยการผลักดันนวัตกรรมและสตาร์ตอัพที่มีการพัฒนาเทคโนโลยีที่เกี่ยวข้อง เพื่อให้ภาคเกษตรกรรมสามารถนำเอานวัตกรรม และเทคโนโลยีเหล่านั้นไปปรับใช้ เพื่อลดผลกระทบที่เกษตรกรไม่สามารถแก้ไขหรือควบคุมเองได้ โดยในปีที่ผ่านมาได้มุ่งบ่มเพาะให้สตาร์ตอัพด้านการเกษตรที่ใช้เทคโนโลยีเชิงลึก (Deep Technology) เช่น เรือรดน้ำไร้คนขับ เพื่อช่วยลดปัญหาขาดแคลนแรงงานในพื้นที่การทำสวน การนำร่องนำสินค้าเกษตรอัตลักษณ์ท้องถิ่นมาพัฒนาทางผลิตภัณฑ์และรูปแบบทางตลาดบนแพลตฟอร์มของสตาร์ตอัพ ซึ่งเป็นการจับคู่ระหว่างสตาร์ตอัพกับเกษตรกร 50 กลุ่ม ทำให้ผู้ประกอบการบางกลุ่มสามารถขายสินค้าและผลิตผลได้มากขึ้น และบางรายมียอดสั่งซื้อที่มากเกินความคาดหมายจนเกิดเทรนด์การค้าขายสินค้าชุมชนบนช่องทางอีคอมเมิร์ซ

นอกจากนี้ ยังได้มีการสร้างเสริมและถ่ายทอดองค์ความรู้ด้านนวัตกรรม และการบริหารจัดการที่จำเป็นโดยมุ่งหวังให้เกษตรกรรมไทยก้าวไปสู่ทิศทางที่ดีขึ้น

NIA มีแนวทางการพัฒนาระบบนิเวศที่เหมาะสมในการเติบโตของสตาร์ตอัพเกษตร เพื่อเพิ่มโอกาสและศักยภาพทางการแข่งขัน ซึ่ง NIA มองว่าโอกาสในประเทศไทยนั้นค่อนข้างมีแนวโน้มที่จะเติบโตได้เป็นอย่างดี เนื่องจากสตาร์ตอัพเกษตรของไทยมีความสามารถ และได้เปรียบในด้านพื้นที่ทางการเกษตรที่สามารถเข้าไปทดลองได้ค่อนข้างมาก มีความหลากหลายของพืชพันธุ์ รวมทั้งยังมีตลาดผู้ใช้ในประเทศมากถึง 25 ล้านคน

ทั้งนี้ NIA ไม่ได้คาดหวังว่าสตาร์ตอัพเกษตรจะต้องไปถึงระดับยูนิคอร์น แต่จะต้องมีแนวทางใหม่ นวัตกรรรมใหม่ที่จะเข้ามาช่วยเหลือ และแก้ไขปัญหาให้แก่เกษตรกรของประเทศให้อยู่ดีกินดีมากยิ่งขึ้น ดังนั้นในปี 2021 NIA จึงได้วางแนวทางในการส่งเสริมสตาร์ตอัพรวบรวมสตาร์ตอัพด้านเกษตร ตามแนวทางการแก้ไขปัญหาใน 6 กลุ่ม ได้แก่

1.การเกษตรดิจิทัล
2.เครื่องจักรกลเกษตร หุ่นยนต์ โดรนและระบบอัตโนมัติ
3.เทคโนโลยีชีวภาพทางการเกษตร
4.การจัดการฟาร์มรูปแบบใหม่
5.การจัดการหลังการเก็บเกี่ยวและขนส่ง
6.บริการทางธุรกิจเกษตร

จำนวนทั้งหมด 66 ราย เบื้องต้นคาดว่าสตาร์ตอัพเหล่านี้ จะเข้ามาช่วยเหลือเกษตรกรแก้ปัญหาในด้านการสร้างมูลค่าเพิ่มในผลิตภัณฑ์และงานบริการ รวมทั้งลดความเสียหายในด้านผลผลิต และลดต้นทุนบางประการที่เกษตรกรต้องแบกรับในปัจจุบัน

ดร.กริชผกา กล่าวต่อว่า นอกเหนือจากการส่งเสริมนวัตกรรมด้านการเกษตรให้เกิดขึ้นอย่างแพร่หลายแล้ว NIA ยังได้วิเคราะห์แนวโน้มนวัตกรรมและเทคโนโลยีทางการเกษตรที่มีโอกาสเติบโต เพื่อเป็นแนวทางสำหรับผู้ที่สนใจพัฒนาธุรกิจนวัตกรรมดังกล่าว พร้อมเป็นแนวทางสำหรับการเปลี่ยนแปลงอุตสาหกรรมการเกษตรของประเทศไทยให้ก้าวทันความต้องการของโลก และก้าวสู่ผู้นำของภูมิภาค ได้แก่

-การซื้อขายสินค้าเกษตรออนไลน์ ซึ่งคาดว่าจะมาแรงในยุคที่ยังมีการเกิดโรคระบาด และวิกฤตเศรษฐกิจเช่นนี้ แต่สตาร์ตอัพ หรือผู้พัฒนาธุรกิจจำเป็นต้องหากลยุทธ์และเทคโนโลยีมาสร้างความแตกต่าง เพราะสินค้าเกษตรมีความเสี่ยงทั้งจากการผลิต การขนส่ง ลักษณะเฉพาะของสินค้าที่ยากต่อการควบคุม ดังนั้นแพลตฟอร์มสำหรับสินค้าเกษตรอาจจะไม่ใช่แค่การขายมาซื้อไปเท่านั้น แต่สตาร์ตอัพจะต้องลงลึกถึงการเก็บรักษาสินค้าขณะจัดส่ง สร้างนวัตกรรมที่คงความสดใหม่ของอาหาร รวมทั้งนวัตกรรมสำหรับแปรรูปเพื่อให้สินค้าเก็บได้นาน

-ฟาร์มในเขตเมือง (Urban Farming) ด้วยโรงเรือนระบบปิดที่สามารถควบคุมทุกอย่างได้อย่างเป็นระบบ เหมาะกับโครงการอสังหาริมทรัพย์หรือที่อยู่อาศัยที่มีพื้นที่จำกัด รวมทั้งการใช้พื้นที่เช่น ดาดฟ้า ลานจอดรถ หรือพื้นที่ที่ถูกปล่อยทิ้งในเขตเมืองให้เป็นประโยชน์ ทั้งนี้ สามารถสร้างมูลค่านวัตกรรมนี้ได้ทั้งการจำหน่ายผลิตผล เช่น ผักสด ผลไม้ไร้สารพิษ หรือแม้กระทั่งรูปแบบการให้บริการหรือนวัตกรรมแบบสำเร็จรูปกับบริษัทหรือเจ้าของที่อยู่อาศัย ซึ่งคาดว่าจะได้เห็น ฟาร์มในเขตเมือง เพิ่มขึ้นอย่างมากในปีนี้

-การเชื่อมโยงและต่อยอดนวัตกรรมจากฟาร์มถึงโต๊ะอาหาร ด้วยการผนวกรวมความร่วมมือในลักษณะการบริการแบบเบ็ดเสร็จ (Total Solutions) การนำนวัตกรรมการเกษตรตั้งแต่ต้นน้ำ คือการผลิตสินค้าเกษตรที่มีประสิทธิภาพ ลดต้นทุน และการเพิ่มผลิตผลิต ผนวกรวมกับการเก็บรักษาและแปรรูปผลผลิต รวมกับการสร้างช่องทางตลาดใหม่ ๆ ให้สินค้ามีคุณภาพ เหมือนที่ออกจากแปลงเกษตร ถึงมือผู้บริโภคในระดับต่าง ๆ นั่นคือการสร้างความร่วมมือบนความเชี่ยวชาญของแต่ละสตาร์ตอัพมาช่วยเชื่อมโยงและต่อยอดกัน ที่จะทำให้เป็นทางออกที่สำคัญที่จะเห็นการยกระดับเกษตรของไทยกันทั้งระบบ เกิดการพลิกโฉมการเกษตรไทยได้อย่างยั่งยืน

STAY CONNECTED

0แฟนคลับชอบ
440ผู้ติดตามติดตาม
spot_img

Lastest News

MUST READ