TH | EN
spot_img
TH | EN
spot_imgspot_imgspot_imgspot_img
หน้าแรกBusinessดัชนีเมืองอัจฉริยะ 2567: วังจันทร์วัลเลย์ รักษาแชมป์ ภูเก็ตร่วง

ดัชนีเมืองอัจฉริยะ 2567: วังจันทร์วัลเลย์ รักษาแชมป์ ภูเก็ตร่วง

สำนักงานส่งเสริมเศรษฐกิจดิจิทัล (ดีป้า) ประกาศผลการจัดอันดับ “ดัชนีเมืองอัจฉริยะประเทศไทย ประจำปี 2567” ซึ่งเผยให้เห็นถึงความก้าวหน้าและการเปลี่ยนแปลงที่สำคัญในการพัฒนาเมืองของไทย ผลปรากฏว่า “เมืองอัจฉริยะวังจันทร์วัลเลย์” ยังคงรักษาตำแหน่งแชมป์ไว้ได้เป็นปีที่ 2 ติดต่อกัน ขณะที่ “ภูเก็ต” ซึ่งเคยครองอันดับหนึ่งในปีก่อนหน้า ร่วงลงมาอยู่ในอันดับที่ 5 การเปลี่ยนแปลงครั้งนี้สะท้อนให้เห็นถึงเกณฑ์การประเมินใหม่ที่มุ่งเน้น “มูลค่าการลงทุนและผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นจริง” มากกว่าแค่ความครอบคลุมเชิงพื้นที่เพียงอย่างเดียว

10 สุดยอดเมืองอัจฉริยะและเกณฑ์ใหม่ที่เปลี่ยนเกม

การจัดอันดับในปีนี้มีความน่าสนใจเป็นอย่างยิ่ง เนื่องจากการปรับเกณฑ์การประเมินใหม่ที่ให้ความเป็นธรรมและสะท้อนผลลัพธ์ที่จับต้องได้มากขึ้น ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงอันดับที่น่าจับตา โดย 10 เมืองที่มีขีดความสามารถสูงสุดมีรายละเอียดโครงการที่โดดเด่นดังนี้

  • เมืองอัจฉริยะ วังจันทร์วัลเลย์ จ.ระยอง รักษาแชมป์เป็นปีที่ 2 ติดต่อกัน มีความโดดเด่นในฐานะพื้นที่ทดลองนวัตกรรม (Sandbox) ที่สมบูรณ์แบบ มีศูนย์ปฏิบัติการอัจฉริยะ (IOC) ที่ใช้มอนิเตอร์คุณภาพอากาศและพลังงานในอาคาร รวมถึงการเก็บข้อมูลคาร์บอนเครดิต และเป็นพื้นที่ทดลองโดรน ที่สำคัญคือการพัฒนาจากขั้นตอนวิจัยและพัฒนาสู่การใช้งานเชิงพาณิชย์ได้จริง (R&D to Shelf)
  • สามย่าน สมาร์ทซิตี้ จ.กรุงเทพฯ มีความโดดเด่นในโครงการที่สามารถวัดผลการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกได้ เช่น การให้บริการรถบัส EV วิ่งในพื้นที่มหาวิทยาลัย และการติดตั้งโซลาร์เซลล์บนอาคาร นอกจากนี้ยังมีการเปิด API ให้บุคคลภายนอกเข้าถึงข้อมูลเมืองเพื่อนำไปพัฒนาต่อยอดได้
  • เมืองน่าอยู่น่าเที่ยวน่าลงทุน จ.ฉะเชิงเทรา ได้รับการกล่าวถึงว่าเป็น “ม้ามืด” ที่มาแรงในปีนี้ ปัจจัยสำคัญคือความร่วมมือที่แข็งแกร่งระหว่างภาครัฐและภาคอุตสาหกรรมในพื้นที่ มีโครงการเด่นคือศูนย์ ENIC ที่ใช้เทคโนโลยีดูแลสิ่งแวดล้อมจากภาคอุตสาหกรรม และแนวคิดการเพิ่มออกซิเจนเพื่อปรับปรุงคุณภาพน้ำในแม่น้ำบางปะกง
  • มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ จ.เชียงใหม่ มีความก้าวหน้าในการนำเทคโนโลยีมาประยุกต์ใช้ในพื้นที่ เช่น การใช้ AI Image Processing และ AI Camera เพื่อดูแลความปลอดภัย รวมถึงการติดตั้ง Smart Solar Rooftop เพื่อผลิตพลังงานสะอาดใช้ในมหาวิทยาลัย
  • ภูเก็ต แม้อันดับจะลดลงจากปีก่อนหน้า แต่ยังคงเป็นเมืองที่มีโครงสร้างพื้นฐานที่แข็งแกร่ง โดยเฉพาะโครงการ Smart Pier และเป็นเมืองต้นแบบที่หลายประเทศเข้ามาศึกษาดูงาน
  • สำนักงานจังหวัดขอนแก่น จ.ขอนแก่น มีเมกะโปรเจกต์ที่เป็นเรือธงคือ โครงการรถไฟรางเบา ซึ่งเป็นความร่วมมือกับภาคเอกชน หากโครงการนี้สำเร็จจะทำให้ขอนแก่นมีระบบ Smart Mobility ที่โดดเด่นและอาจทำให้อันดับพุ่งสูงขึ้นในอนาคต
  • ลำปาง: เป็นน้องใหม่ที่เพิ่งได้รับการประกาศเป็นเมืองอัจฉริยะได้เพียง 1 ปี แต่มีผลงานที่โดดเด่นในการใช้เทคโนโลยีโดรนบินสำรวจ “จุดความร้อน” เพื่อป้องกันและรับมือกับปัญหาไฟป่าได้อย่างมีประสิทธิภาพ
  • เกาะสมุย จ.สุราษฎร์ธานี เป็นเมืองที่เข้าร่วมโครงการมานาน แต่สามารถติด 10 อันดับแรกได้เป็นครั้งแรกในปีนี้ ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงการพัฒนาแบบก้าวกระโดด โดยเฉพาะการวางระบบโครงสร้างพื้นฐานส่วนกลาง (Common Infra) ที่ดี
  • เชียงราย เป็นอีกหนึ่งเมืองใหม่ที่น่าจับตา มีจุดเด่นด้าน Smart Farm จากความร่วมมือกับมหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง โดยนำอุปกรณ์ IoT ไปใช้ในฟาร์มเพื่อช่วยให้เกษตรกรมีความรู้และพัฒนาผลผลิตได้ดียิ่งขึ้น
  • แม่เมาะ จ.ลำปาง เป็นเมืองที่ติดอันดับอย่างสม่ำเสมอ มีความโดดเด่นในการช่วยเหลือชุมชนโดยรอบพื้นที่โรงไฟฟ้า แต่มีความท้าทายในอนาคตหากไม่มีการพัฒนาโครงการใหม่ ๆ เพิ่มเติม

เกณฑ์ใหม่ที่เปลี่ยนเกม: เมื่อ “มูลค่า” และ “ผลลัพธ์” สำคัญกว่า “พื้นที่”

หัวใจสำคัญที่ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงอันดับในปีนี้ คือการปรับปรุงเกณฑ์การประเมินที่ไม่ได้มองแค่ความครอบคลุมของพื้นที่ (Area-based) อีกต่อไป แต่ได้เพิ่มมิติที่ลึกซึ้งและเป็นธรรมมากขึ้น คือ เพิ่มปัจจัยมูลค่าและจำนวนโครงการและอิงตามกรอบ 5 องค์ประกอบหลัก

ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.ณัฐพล นิมมานพัชรินทร์ ผู้อำนวยการใหญ่ว่า สำนักงานส่งเสริมเศรษฐกิจดิจิทัล (ดีป้า) กล่าวว่า ในอดีตบางเมืองทำโครงการระดับพันล้าน บางเมืองทำแค่สิบล้าน แต่พอเอามาคิดน้ำหนักเท่ากัน ทำให้ความยากง่ายในการประเมินไม่เหมือนกัน เกณฑ์ใหม่จึงนำมูลค่าการลงทุนและจำนวนโครงการมาพิจารณาด้วย เพื่อให้คะแนนสะท้อนถึงความพยายามและผลกระทบที่แท้จริง และการประเมินยังคงอยู่บนกรอบมาตรฐานสากล ได้แก่ วิสัยทัศน์ โครงสร้างพื้นฐาน ข้อมูลเมือง ระบบบริการอัจฉริยะ 7 ด้าน และความยั่งยืน ซึ่งรวมถึงการมีส่วนร่วมของภาคประชาชนและเอกชนด้วย

การปรับเกณฑ์ครั้งนี้ถือเป็นการยกระดับการประเมินเมืองอัจฉริยะของไทยให้มุ่งเน้นไปที่ผลลัพธ์ที่จับต้องได้และยั่งยืน ซึ่งจะกระตุ้นให้เมืองต่าง ๆ พัฒนาโครงการที่มีคุณภาพและสร้างผลกระทบเชิงบวกต่อประชาชนได้อย่างแท้จริง

กรณีศึกษา “ภูเก็ต”: จากบัลลังก์แชมป์สู่บทพิสูจน์ใหม่เมื่อเกณฑ์วัดผลเปลี่ยนเกม

การที่จังหวัดภูเก็ตซึ่งเคยครองตำแหน่งแชมป์เมืองอัจฉริยะอันดับ 1 ของประเทศ และเป็นเมืองต้นแบบที่ต้อนรับคณะดูงานจากทั่วโลก ไม่ว่าจะเป็นโปรตุเกส สหรัฐอเมริกา ญี่ปุ่น จีน หรือแม้กระทั่งบริษัทเทคโนโลยีระดับโลกอย่าง IBM กลับร่วงลงมาอยู่ในอันดับที่ 5 ในปีนี้ ถือเป็นประเด็นที่น่าสนใจและสะท้อนการเติบโตของดัชนีได้อย่างชัดเจนที่สุด

ในเกณฑ์การประเมินปีก่อน ๆ ปัจจัยด้านความครอบคลุมของพื้นที่ (Area-based) ถูกให้น้ำหนักค่อนข้างสูง ด้วยลักษณะทางภูมิศาสตร์ที่เป็นเกาะทำให้ภูเก็ตมีข้อได้เปรียบโดยธรรมชาติในการดำเนินโครงการให้ครอบคลุมพื้นที่ได้ทั้งหมด 100%. สิ่งนี้ทำให้เมืองขนาดใหญ่อื่น ๆ เช่น นครราชสีมา ที่แม้จะมีโครงการลงทุนขนาดใหญ่ แต่ครอบคลุมพื้นที่ได้เพียง 10% ของทั้งจังหวัด เสียเปรียบในการเปรียบเทียบ

หัวใจสำคัญที่ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในปีนี้ คือการที่คณะกรรมการได้นำปัจจัยมูลค่าของโครงการ (Project Value)เข้ามาเป็นตัวแปรสำคัญในการคำนวณคะแนนด้วย

“การนำมูลค่าโครงการมาคิดด้วย ทำให้ในส่วนของมูลค่าโครงการของภูเก็ตเอง เมื่อเทียบกับเมืองอื่น อาจจะทำให้คะแนนลดลงไป”

เกณฑ์ใหม่นี้สร้างความเป็นธรรมมากขึ้น โดยไม่ได้วัดผลแค่ในเชิงปริมาณ (พื้นที่) แต่หันมาให้ความสำคัญกับ คุณภาพ หรือมูลค่าการลงทุนและผลกระทบ เมืองที่สามารถผลักดันโครงการที่มีมูลค่าสูงและสร้างผลกระทบเชิงบวกได้อย่างชัดเจน จะได้รับการยอมรับและมีโอกาสในการแข่งขันมากขึ้น แม้จะไม่ได้ดำเนินโครงการครอบคลุมทั้งจังหวัดก็ตาม

การเปลี่ยนแปลงอันดับของภูเก็ตจึงไม่ได้หมายความว่าการพัฒนาเมืองอัจฉริยะของภูเก็ตถดถอยลง ในทางกลับกัน ภูเก็ตยังคงเป็นเมืองที่มีโครงสร้างพื้นฐานที่แข็งแกร่งและเป็นต้นแบบในหลาย ๆ ด้าน แต่ปรากฏการณ์นี้ชี้ให้เห็นว่าดัชนีเมืองอัจฉริยะของไทยได้เติบโตและมีวุฒิภาวะมากขึ้น โดยยกระดับมาตรฐานการวัดผลให้ลึกซึ้งและท้าทายกว่าเดิม ซึ่งจะกระตุ้นให้ทุกเมืองต้องพัฒนาโครงการที่มีคุณภาพและสร้างผลลัพธ์ที่ยั่งยืนอย่างแท้จริงเพื่อรักษาขีดความสามารถในการแข่งขันต่อไป

ส่องเมืองดาวรุ่ง: กลุ่มเขตส่งเสริมที่จ่อคิวแจ้งเกิด

นอกเหนือจากเมืองที่ได้รับการประกาศอย่างเป็นทางการแล้ว ดีป้ายังได้ทำการประเมินกลุ่มเมืองใน “เขตส่งเสริม” (Promotion Zone) ซึ่งเปรียบเสมือนกลุ่มเมืองดาวรุ่งที่กำลังอยู่ในช่วงบ่มเพาะและเตรียมความพร้อมเพื่อก้าวสู่การเป็นเมืองอัจฉริยะอย่างเต็มตัวในอนาคต โดยมีการแบ่งระดับความพร้อมออกเป็น 3 กลุ่มอย่างชัดเจน

กลุ่มสีแดง (Red Group): ความพร้อมสูงสุด (คะแนน > 70) คือกลุ่มเมืองที่มีความพร้อมสูงสุดและจ่อคิวที่จะได้รับการผลักดันเข้าสู่คณะกรรมการเพื่อประกาศเป็นเขตเมืองอัจฉริยะในลำดับถัดไป ซึ่งจะผลักดันเต็มที่

ในปีนี้มี 2 เมืองที่โดดเด่นอย่างยิ่ง คือ 1. เทศบาลตำบลอุโมงค์จ.ลำพูน การที่เทศบาลระดับตำบลสามารถก้าวขึ้นมาอยู่ในกลุ่มที่มีความพร้อมสูงสุดเป็นสิ่งที่น่าสนใจอย่างยิ่ง เพราะเป็นการพิสูจน์ให้เห็นว่าการพัฒนาเมืองอัจฉริยะไม่ได้จำกัดอยู่แค่เมืองใหญ่ระดับจังหวัด แต่ท้องถิ่นขนาดเล็กที่มีความมุ่งมั่นก็สามารถสร้างการเปลี่ยนแปลงและมีศักยภาพสูงได้  2. เทศบาลนครปทุมธานีจ.ปทุมธานีเมืองนี้มีโครงการที่น่าสนใจและเป็นรูปธรรมในการนำเทคโนโลยีมาใช้ให้ประชาชนมีส่วนร่วม โดยมีระบบที่ให้ชาวบ้านสามารถใช้แอปพลิเคชัน LINE ถ่ายรูปปัญหาในพื้นที่ เช่น หัวดับเพลิงชำรุด หรือปัญหาอื่น ๆ แล้วส่งข้อมูลตรงเข้าสู่ Dashboard ของเมืองได้ทันที ซึ่งเป็นตัวอย่างที่ชัดเจนของการใช้เทคโนโลยีเพื่อแก้ปัญหาและเพิ่มประสิทธิภาพการบริหารจัดการเมือง

กลุ่มสีน้ำเงิน (Blue Group): ศักยภาพสูงรอวันเปล่งประกาย (คะแนน 60-69) เป็นกลุ่มเมืองที่ผ่านพ้นจุดวิกฤติมาแล้วและมีศักยภาพสูงมากในการพัฒนาต่อยอดเพื่อก้าวขึ้นสู่กลุ่มสีแดงในอนาคตอันใกล้ เมืองในกลุ่มนี้จะได้รับการส่งเสริมเช่นเดียวกัน ประกอบด้วย 7 เมืองจากทั่วทุกภาคของประเทศ ได้แก่ ภาคเหนือ คือ แม่สาย (จ.เชียงราย) และ แม่เหียะ (จ.เชียงใหม่)  ภาคกลาง คือ ตาคลี (จ.นครสวรรค์) และ รังสิต (จ.ปทุมธานี) ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ คือ เทศบาลนครขอนแก่น และ บึงกาฬ และภาคใต้ คือ ทุ่งสง จ.นครศรีธรรมราช

กลุ่ม Early Stage: เป็นกลุ่มเมืองที่เพิ่งเริ่มต้นการเดินทางสู่การเป็นเมืองอัจฉริยะ อาจจะยังมีความพร้อมไม่มากนัก แต่ได้เริ่มจัดทำแผนและโครงการต่าง ๆ แล้ว ซึ่งดีป้าจะเข้ามาช่วยส่งเสริมและให้คำปรึกษาเพื่อพัฒนาศักยภาพต่อไป

การจัดกลุ่มเช่นนี้ไม่เพียงแต่ทำให้เห็นภาพรวมการพัฒนาเมืองทั่วประเทศ แต่ยังเป็นกลไกสำคัญที่ช่วยให้ดีป้าสามารถให้การสนับสนุนและจัดสรรสิทธิประโยชน์ต่าง ๆ ได้อย่างตรงจุด เพื่อผลักดันให้เมืองดาวรุ่งเหล่านี้สามารถเติบโตและแจ้งเกิดเป็นเมืองอัจฉริยะที่สร้างประโยชน์ให้แก่ประชาชนได้อย่างเต็มศักยภาพในที่สุด

เปลี่ยนวิธีคิดแก้ปัญหาคอขวดด้านงบประมาณ

ดร.ณัฐพล กล่าวถึงปัญหาในอดีตที่การสนับสนุนงบประมาณโดยตรงให้กับจังหวัดหรือเทศบาลมักเกิดความล่าช้าในกระบวนการจัดซื้อจัดจ้าง ในปีนี้ดีป้าจึงเปลี่ยนรูปแบบการสนับสนุนใหม่ทั้งหมด โดยเฉพาะสำหรับ 20 เมืองที่ติดอันดับ และ 9 เมืองในกลุ่มสีแดง-น้ำเงิน (รวม 29 เมือง) ได้แก่

  • Cloud, AI, SaaS ฟรี 1 ปี เมืองที่มีความพร้อมจะได้รับสิทธิ์ในการเลือกใช้บริการคลาวด์ ปัญญาประดิษฐ์ (เช่น AI Camera) และซอฟต์แวร์ (SaaS) จากบัญชีบริการดิจิทัลของสตาร์ทอัพไทยได้ฟรีเป็นเวลา 1 ปีเต็ม
  • depa สนับสนุนค่าใช้จ่ายปีแรกดีป้าจะเป็นผู้สนับสนุนค่าใช้จ่ายให้กับสตาร์ทอัพโดยตรงในปีแรก เพื่อให้เมืองได้ทดลองใช้และพิสูจน์ประสิทธิภาพของเทคโนโลยี

เมืองตั้งงบประมาณในปีถัดไป หลังจากใช้งานครบ 1 ปีแล้ว หากเมืองเห็นว่าเทคโนโลยีดังกล่าวมีประโยชน์ ก็สามารถไปดำเนินการตั้งงบประมาณเพื่อจัดซื้อจัดจ้างสำหรับปีที่ 2 และ 3 ต่อไปได้ด้วยตนเอง

โมเดลใหม่นี้ถูกออกแบบมาเพื่อทำลายกำแพงด้านงบประมาณในปีแรก ทำให้เมืองสามารถเข้าถึงและทดลองใช้เทคโนโลยีใหม่ ๆ ได้ทันทีโดยไม่ต้องรอ

มากกว่าซอฟต์แวร์คือการยกระดับคุณภาพชีวิต

นอกจากการสนับสนุนด้านดิจิทัลแล้ว ดีป้ายังมองไปถึงการยกระดับคุณภาพชีวิตในมิติอื่น ๆ ที่จับต้องได้ โดยเตรียมสิทธิประโยชน์เพิ่มเติมไว้สำหรับเมืองที่มีความพร้อม ได้แก่

Smart Living – 5G Ambulance เมืองที่ต้องการพัฒนาด้านการดำรงชีวิตอัจฉริยะ จะได้รับการสนับสนุนการติดตั้งระบบรถพยาบาลอัจฉริยะ 5G (5G Ambulance) โครงการนี้จะช่วยยกระดับการแพทย์ฉุกเฉิน ทำให้แพทย์สามารถให้คำปรึกษาและเตรียมการรักษาได้ตั้งแต่ผู้ป่วยอยู่บนรถ ซึ่งทุกนาทีมีค่าสำหรับชีวิต

Smart Economy – โดรนและรถแทรกเตอร์อัจฉริยะสำหรับเมืองที่เน้นด้านเศรษฐกิจอัจฉริยะ โดยเฉพาะภาคการเกษตร จะมีโอกาสเข้าร่วมโครงการโดรนเพื่อการเกษตรและรถแทรกเตอร์อัจฉริยะ ซึ่งดีป้าเตรียมไว้กว่า 300 ลำในปีหน้า เทคโนโลยีเหล่านี้จะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพ ลดต้นทุน และสร้างรายได้ให้กับเกษตรกรในพื้นที่

เพื่อผลักดันให้สิทธิประโยชน์เหล่านี้เกิดผลเป็นรูปธรรมโดยเร็วที่สุด ดีป้ามีแผนจะเชิญตัวแทนจากทั้ง 29 เมืองที่มีศักยภาพ มาร่วมงาน Matching Day ในงาน Smart City Expo วันที่ 5-7 พฤศจิกายน 2567 ซึ่งจะเป็นเวทีให้เมืองต่าง ๆ ได้พบปะและเลือกโซลูชันจากบริษัทสตาร์ตอัพที่เหมาะสมกับความต้องการของตนเอง เพื่อเริ่มต้นโครงการได้ทันทีตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคมเป็นต้นไป

ข่าวอื่น ๆ ที่น่าสนใจ

เปิดวิสัยทัศน์ บำรุงราษฎร์-กสิกรไทย ใช้นวัตกรรมสร้างอนาคตประเทศไทย

DATA FARM: ปฏิวัติเกษตรไทยด้วยข้อมูล

STAY CONNECTED

0แฟนคลับชอบ
440ผู้ติดตามติดตาม
spot_img

Latest News

MUST READ