TH | EN
spot_img
TH | EN
spot_imgspot_imgspot_imgspot_img
หน้าแรกBusinessเปิดกลยุทธ์ลงทุน 2568: เฟ้นหาโอกาสหุ้นไทย-เทศ รับเศรษฐกิจโลกฟื้นตัว

เปิดกลยุทธ์ลงทุน 2568: เฟ้นหาโอกาสหุ้นไทย-เทศ รับเศรษฐกิจโลกฟื้นตัว

บริษัท หลักทรัพย์ อินโนเวสท์ เอกซ์ จำกัด (InnovestX) ในฐานะเรือธงด้านการลงทุนภายใต้กลุ่มเอสซีบีเอกซ์ (SCBX Group) ได้ประเมินภาพรวมการลงทุนช่วงไตรมาส 4/2568 ว่า ทิศทางตลาดเริ่มมีความชัดเจนมากขึ้น โดยเศรษฐกิจโลกมีแนวโน้มสดใสขึ้นหลังจากมาตรการภาษีศุลกากรสหรัฐฯ ประกาศอัตราภาษีที่น้อยและช้ากว่าที่เคยคาดการณ์ไว้ ขณะที่ทิศทางอัตราดอกเบี้ยสหรัฐฯ เริ่มผ่อนคลายมากขึ้น แต่ยังคงต้องจับตาเงินเฟ้อที่มีแนวโน้มเร่งตัวขึ้น

สำหรับเศรษฐกิจไทย แม้ยังมีความเสี่ยงจากภาคการส่งออกและเศรษฐกิจในประเทศ แต่เสถียรภาพทางการเมือง รวมถึงทีมเศรษฐกิจและนโยบายชุดใหม่ถือเป็นความหวังสำคัญ กลยุทธ์หลักจึงเป็นการคัดเลือกหุ้นพื้นฐานแข็งแกร่ง ควบคู่กับการจัดพอร์ตอย่างสมดุลในหลายสินทรัพย์ เพื่อสร้างสมดุลระหว่างผลตอบแทนและลดความผันผวนในระยะยาว

สุทธิชัย คุ้มวรชัย Head of Research Department บริษัทหลักทรัพย์ อินโนเวสท์ เอกซ์ จำกัด เผยมุมมองเศรษฐกิจประจำไตรมาส 4/2568 ว่า บรรยากาศการลงทุนไตรมาส 4/2568 ชัดเจนขึ้น ความไม่แน่นอนเศรษฐกิจคลี่คลาย โดยมีแรงหนุนจากการลดดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐฯ ที่เร็วและแรงกว่าคาด แม้เศรษฐกิจสหรัฐฯ ชะลอตัวแต่ไม่ถดถอย ช่วยหนุนบรรยากาศการลงทุนในสินทรัพย์เสี่ยง ขณะเดียวกันค่าเงินดอลลาร์อ่อนค่าช่วยเพิ่มความน่าสนใจให้หุ้นกลุ่มประเทศเกิดใหม่รวมถึงไทย ด้านปัจจัยในประเทศ ความชัดเจนทางการเมืองหนุนให้นักลงทุนกลับมาให้น้ำหนักต่อนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาลใหม่ ซึ่งทั้งหมดนี้มีส่วนผลักดันให้ SET Index รักษาแรงส่งเชิงบวกต่อเนื่อง ทั้งนี้ยังคงแนะนำการกระจายพอร์ตลงทุนในหลายสินทรัพย์ ทั้งหุ้น ตราสารหนี้ และสินทรัพย์ทางเลือกอย่างทองคำ เพื่อสร้างผลตอบแทนควบคู่การบริหารความเสี่ยงจากความผันผวนที่อาจเกิดขึ้น

ภาพใหญ่เศรษฐกิจโลก: เมื่อพายุการค้าสงบแต่ความเสี่ยงใหม่รออยู่

ดร.ปิยศักดิ์ มานะสันต์ หัวหน้านักวิจัยเศรษฐกิจ บริษัทหลักทรัพย์ อินโนเวสท์ เอกซ์ จำกัด ให้มุมมองว่า สถานการณ์เศรษฐกิจโลกเริ่มมีทิศทางที่ดีขึ้นอย่างระมัดระวัง หลังจากความกังวลเรื่องสงรามการค้าสหรัฐฯ-จีน คลี่คลายลงกว่าที่คาดการณ์ไว้มาก เดิมทีหลายฝ่ายรวมถึง IMF กังวลว่าการขึ้นภาษีจะรุนแรงและเกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว แต่ท้ายที่สุดแล้วมาตรการกลับผ่อนคลายลงและมีการทยอยบังคับใช้ ทำให้ภาคธุรกิจมีเวลาปรับตัว ส่งผลให้หลายสำนักรวมถึง IMF ปรับเพิ่มประมาณการเศรษฐกิจโลกขึ้น

อย่างไรก็ตาม ความเสี่ยงใหม่ที่ต้องจับตาอย่างใกล้ชิดคือท่าทีของธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) ซึ่งดูเหมือนจะหันมาให้ความสำคัญกับ “ตลาดแรงงาน” มากกว่า “เงินเฟ้อ” แม้ว่าตัวเลขเงินเฟ้อจะมีทิศทางปรับตัวสูงขึ้นก็ตาม

“การที่เฟดหันมาโฟกัสในเรื่องของตลาดแรงงานมากจนเกินไป ในขณะที่เงินเฟ้อมีทิศทางปรับตัวเพิ่มขึ้น เราค่อนข้างกังวลว่าหากเงินเฟ้อวิ่งขึ้นต่อเนื่องในปีหน้า อาจทำให้เกิดปัญหาตามมาได้” ดร.ปิยศักดิ์ กล่าว

การดำเนินนโยบายลักษณะนี้ อาจนำไปสู่การปรับลดอัตราดอกเบี้ยที่รวดเร็วและต่อเนื่อง ซึ่งจะส่งผลให้ค่าเงินดอลลาร์สหรัฐอ่อนค่าลงอย่างมีนัยสำคัญ และในทางกลับกัน จะสร้างแรงกดดันให้ ค่าเงินบาทแข็งค่าขึ้น จากทิศทางค่าเงินบาทที่แข็งค่าขึ้นอย่างต่อเนื่องตั้งแต่ช่วงไตรมาส 4/2567 ถึงไตรมาส 1/2568 คาดว่าจะยังคงส่งผลให้ค่าเงินบาทมีแนวโน้มแข็งค่าต่อไปในระดับ 31-32 บาทต่อดอลลาร์ ก่อนจะค่อยๆ อ่อนตัวลงในช่วงครึ่งหลังของปีหน้า

ปรากฏการณ์ที่น่าสนใจในตลาดการเงินสหรัฐฯ คือภาวะที่เรียกว่า “Bull Steepening” ซึ่งคือสถานการณ์ที่อัตราผลตอบแทนพันธบัตร (Bond Yield) ระยะสั้นลดลงเร็วกว่าระยะยาว ทำให้ส่วนต่างกว้างขึ้น โดยปกติแล้วภาวะนี้มักเป็นสัญญาณเตือนของเศรษฐกิจถดถอย (Recession) แต่ผู้เชี่ยวชาญมองว่าครั้งนี้แตกต่างออกไป เพราะเกิดขึ้นในขณะที่เศรษฐกิจไม่ได้เข้าสู่ภาวะถดถอย แต่เป็นผลมาจากการที่เฟดปรับลดดอกเบี้ยนโยบายลง ดังนั้นภาวะนี้จึงไม่น่ากังวลเหมือนในอดีต

เศรษฐกิจโลกในช่วงไตรมาส 4/2568 และต่อเนื่องถึงปี 2569 มีสัญญาณบวกมากขึ้น หลังจากที่สหรัฐฯ กำหนดอัตราภาษี “Reciprocal Tariff” ในระดับที่ต่ำกว่าที่เคยประกาศไว้ก่อนหน้า โดยประเทศพัฒนาแล้วจะถูกเก็บราว 15% และประเทศกำลังพัฒนาอย่างไทยจะอยู่ที่ 19–20% ซึ่งปัจจัยดังกล่าวช่วยหนุนให้ GDP โลกในปี 2568–2569 อาจขยายตัวได้ 2.9% และ 3.0% ตามลำดับ

ในส่วนของเศรษฐกิจไทย ดร.ปิยศักดิ์ คาดว่าจะชะลอตัวลงในอีก 4 ไตรมาสข้างหน้า ทำให้การเติบโตทั้งปี 2568 และ 2569 อาจอยู่ที่ 1.8% และ 1.4% ตามลำดับ แต่ยังคงมีความหวังจากแรงหนุนบางส่วนจากมาตรการเศรษฐกิจ โครงการลงทุนโครงสร้างพื้นฐาน และโดยเฉพาะอย่างยิ่งการแต่งตั้งทีมเศรษฐกิจใหม่ของรัฐบาลอนุทิน ซึ่งจะเข้ามาสร้างความเชื่อมั่นและขับเคลื่อนนโยบายต่อไป

กลยุทธ์จัดพอร์ต: จัดพอร์ตอย่างรอบคอบกระจายความเสี่ยงสร้างสมดุล

ในสภาวะที่ทิศทางเศรษฐกิจและการเงินโลกกำลังเปลี่ยนผ่าน การจัดสรรสินทรัพย์ลงทุน (Asset Allocation) จึงเป็นหัวใจสำคัญ ดร.รัฐศรัณย์ ธนไพศาลกิจ Head of Investment Strategy Department และ Trading Product Specialist Department บริษัทหลักทรัพย์ อินโนเวสท์ เอกซ์ จำกัด ได้ให้มุมมองและคำแนะนำเชิงกลยุทธ์ไว้อย่างน่าสนใจ

INVX-Outlook-4Q2025_หุ้นต่างประเทศ

“กลยุทธ์การลงทุนไตรมาส 4/2568 ควรจัดพอร์ตอย่างรอบคอบและกระจายความเสี่ยง หลังตลาดหุ้นปรับขึ้นต่อเนื่องตั้งแต่เมษายน โดยยังเน้นหุ้นสหรัฐฯ คุณภาพสูง หรือกลุ่มอิงดัชนี S&P500 แบบ Equal Weight ในธีม Catch up play ขณะเดียวกัน หุ้นยุโรปได้แรงหนุนจากมาตรการการคลังและการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจ รวมถึงหุ้นกลุ่มที่ได้อานิสงส์จากแนวโน้มดอกเบี้ยขาลงและดอลลาร์อ่อนค่า เช่น Emerging markets โดยเฉพาะหุ้นจีนที่เราแนะนำต่อเนื่องตั้งแต่ต้นปี และตลาดหุ้นไทยที่มีปัจจัยหนุนจากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาลชุดใหม่” ดร.รัฐศรัณย์กล่าว

คำแนะนำการลงทุนในสินทรัพย์ประเภทต่าง ๆ คือ ตราสารหนี้ แนะนำลงทุนระยะสั้น–กลาง เพื่อลดความเสี่ยงจากความผันผวนของพันธบัตรระยะยาว สินทรัพย์ทางเลือกทองคำยังเป็นเครื่องมือป้องกันความเสี่ยงที่มีประสิทธิภาพขณะที่REITs ได้อานิสงส์จากดอกเบี้ยขาลงและเศรษฐกิจโลกฟื้น โดย REITs ไทยน่าสนใจกว่า REITs โลกจาก Dividend yield ที่สูงกว่า นอกจากนี้ สินทรัพย์ดิจิทัลยังได้แรงหนุนจากกฎเกณฑ์ที่ชัดเจนขึ้นในหลายประเทศ สร้างความเชื่อมั่นแก่นักลงทุน

กองทุนเด่นและเครื่องมือการลงทุนที่แนะนำ เพื่อกระจายความเสี่ยงและสร้างโอกาสรับผลตอบแทน InnovestX แนะนำกองทุนเด่นประจำไตรมาส ได้แก่ หุ้นจีน KFCSI300-A, หุ้นยุโรป ES-EG-Aท องคำ UOBSG-H และ REITs ไทย MPDIVMF สำหรับผู้สนใจหุ้นจีน สามารถลงทุนผ่าน DR23 ที่คัดเลือกหุ้นชั้นนำในธีมการเติบโตระยะยาว อาทิ CATL23, HSHD23, SMIC23, BABA23, KUAISH23 อีกทั้งยังสามารถใช้ US Options เพื่อเพิ่มผลตอบแทนและป้องกันความเสี่ยงในหุ้นสหรัฐฯ รวมถึงใช้ USD Futures ผ่านตลาด TFEX เพื่อบริหารความเสี่ยงค่าเงินได้เช่นกัน

เจาะลึกตลาดหุ้นไทย: ความเสี่ยงขาลงจำกัดเน้นหุ้น Domestic Play

สิทธิชัย ดวงรัตนฉายา หัวหน้านักกลยุทธ์การลงทุน บริษัทหลักทรัพย์ อินโนเวสท์ เอกซ์ จำกัด ให้มุมมองเชิงกลยุทธ์ว่า ตลาดหุ้นไทยไตรมาส 4/2568 ความเสี่ยงขาลงจำกัด แม้ Upside ไม่กว้างนัก นักลงทุนควรเน้นลงทุนในสินทรัพย์เสี่ยง โดยเฉพาะหุ้นที่ได้ประโยชน์จากการฟื้นตัวเศรษฐกิจในประเทศ ภายใต้ธีม Domestic Play ที่หนุนด้วยมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ การฟื้นตัวท่องเที่ยว แนวโน้มดอกเบี้ยของ ธปท. และเงินบาทแข็งค่าที่ช่วยดึงเงินทุนต่างชาติ InnovestX ประเมินเป้าหมาย SET ปี 2568 ที่ 1,350–1,400 จุด โดยมองว่าบริเวณต่ำกว่า 1,200 จุดน่าสนใจในการเข้าซื้อ กลยุทธ์หลักคือคัดเลือกหุ้นพื้นฐานแข็งแกร่ง งบดุลมั่นคง ได้อานิสงส์จากอุปสงค์ในประเทศ ดอกเบี้ยขาลง และนโยบายเศรษฐกิจของรัฐบาลใหม่ พร้อม Valuation สมเหตุสมผล หุ้นเด่น ได้แก่ AP, CENTEL, DIF, HMPRO และ MTC ซึ่งตอบโจทย์ทั้งการป้องกันความเสี่ยงและการเติบโตระยะยาว”

ภูมิทัศน์การลงทุนในปี 2568 กำลังส่งสัญญาณว่ายุคของการลงทุนที่อาศัยแรงส่งจากภาพเศรษฐกิจมหภาคที่ชัดเจนเพียงอย่างเดียวกำลังจะเปลี่ยนไป ความสำเร็จของนักลงทุนในยุคถัดไปจะขึ้นอยู่กับความสามารถในการมองทะลุความผันผวนระยะสั้น และเลือกเฟ้นสินทรัพย์ที่มีพื้นฐานแข็งแกร่งซึ่งสอดคล้องกับธีมการเติบโตที่ชัดเจน ไม่ว่าจะเป็นการฟื้นตัวอย่างมีนัยสำคัญของตลาดจีนและยุโรป หรือการกลับมาของความเชื่อมั่นในตลาดหุ้นไทยที่รอวันพิสูจน์ตัวเอง นี่คือช่วงเวลาที่การวิเคราะห์เชิงลึกและการตัดสินใจที่เฉียบคม จะเป็นเครื่องมือสำคัญในการสร้างความมั่งคั่งท่ามกลางบริบทโลกที่กำลังเปลี่ยนผ่านอย่างแท้จริง

ข่าวอื่น ๆ ที่น่าสนใจ

ไฮเออร์เดิมพันหมื่นล้าน ปั้นไทยฮับส่งออกแอร์สู่ตลาดโลก

พลิกโฉมการอนุรักษ์: เมื่อ ‘ต้นทุน’ สิ่งแวดล้อม กลายเป็น ‘การลงทุน’ ที่ยั่งยืน

STAY CONNECTED

0แฟนคลับชอบ
440ผู้ติดตามติดตาม
spot_img

Latest News

MUST READ