ในยุคที่โลกธุรกิจเผชิญกับความท้าทายรอบด้าน ทั้งการเปลี่ยนแปลงทางเทคโนโลยี และความจำเป็นเร่งด่วนในการพัฒนาอย่างยั่งยืน องค์กรขนาดใหญ่อย่าง เอสซีจี (SCG) ที่มีอายุเกินศตวรรษ กำลังปรับทัพครั้งสำคัญเพื่อก้าวสู่ทศวรรษหน้าอย่างแข็งแกร่ง หัวใจของการเปลี่ยนแปลงนี้ไม่ได้อยู่ที่ผลิตภัณฑ์หรือโรงงานเท่านั้น แต่อยู่ที่การสร้างวัฒนธรรมและระบบนิเวศที่บ่มเพาะ “คน” ให้กลายเป็นขุมพลังแห่งนวัตกรรม ทำให้ SCG ไม่ใช่เป็นเพียงองค์กร แต่เป็น องค์กรแห่งโอกาส (Organization of Opportunity) อย่างแท้จริง
เบื้องหลังการขับเคลื่อนนี้ มีสองแม่ทัพคนสำคัญจากหน่วยงานนวัตกรรม ที่ทำหน้าที่เป็นสองแขนหลักในการเสาะหาและสร้างสรรค์อนาคตใหม่ให้ SCG ผ่านโมเดล Corporate Venture Capital (CVC) แม้จะทำงานคล้ายกัน แต่ทั้งสองมีบทบาทและโฟกัสที่แตกต่างกันอย่างชัดเจน เพื่อตอบโจทย์ทั้งความท้าทายในปัจจุบันและโอกาสในอนาคต
แขนที่หนึ่ง: Deep Tech เพื่อภารกิจ Decarbonization
พัทธพล เกษมธนกุล (เต้) Deep Technology VC Manager – SCG Chemicals and Cleanergy คือผู้บริหารทีม Deep Technology Venture Capital ที่มีภารกิจหลักในการมองหาเทคโนโลยีขั้นสูง (Hard Science) จากทั่วโลก โดยมีเป้าหมายที่ชัดเจนคือ Decarbonization หรือการลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ ซึ่งเป็นความท้าทายโดยตรงของธุรกิจหลักในเครือ SCG ที่มีทั้งซีเมนต์ พลาสติก และแพคเกจจิ้ง
กลยุทธ์ของทีมคุณเต้ไม่ใช่การทำ R&D ภายใน แต่เป็นการเป็น Corporate Venture Capital (CVC) ที่เน้นการลงทุนใน Startup ที่มีเทคโนโลยีที่น่าสนใจและพิสูจน์ตัวเองมาแล้วในตลาดโลก
“เราเข้าไปลงทุนเพื่อนำเทคโนโลยีเหล่านั้นมาผนวกกับธุรกิจของเรา เพื่อลดการปล่อยคาร์บอนและสร้างธุรกิจ S-Curve ใหม่ ๆ” คุณเต้กล่าว
–SCG โชว์ผลงานครึ่งปี 68 เติบโตแข็งแกร่ง กางแผนรบครึ่งปีหลังฝ่ามรสุมการค้าโลก
ด้วยขนาดกองทุนประมาณ 100 ล้านเหรียญสหรัฐ ปัจจุบันพอร์ตโฟลิโอของทีม Deep Tech ประกอบด้วย Startup 15-16 บริษัท โดยกว่า 80% มาจากสหรัฐอเมริกา การลงทุนมีขนาดตั้งแต่ครึ่งล้านไปจนถึงมากกว่า 5 ล้านเหรียญต่อดีล โดยมุ่งหวังผลตอบแทนทั้งในเชิงการเงินและเชิงกลยุทธ์ ซึ่งความสำเร็จที่เกิดขึ้นไม่ได้เป็นเพียงตัวเลขในกระดาษ แต่เป็นการสร้างความเปลี่ยนแปลงที่จับต้องได้จริง
หนึ่งในความสำเร็จที่เป็นรูปธรรมที่สุดคือการลงทุนและร่วมมือกับ Rondo Energy บริษัทจากสหรัฐอเมริกาผู้พัฒนาเทคโนโลยีการกักเก็บพลังงานความร้อนในรูปแบบที่เรียกว่า Rondo Heat Battery (RHB) หรือแบตเตอรี่ความร้อน โดยเทคโนโลยีนี้จะใช้ไฟฟ้า (โดยเฉพาะไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียน) มาสร้างความร้อนและเก็บสะสมไว้ในอิฐทนไฟ (Refractory Bricks) ที่ทนอุณหภูมิได้สูงถึง 1,500 องศาเซลเซียส จากนั้นเมื่อโรงงานต้องการใช้ความร้อน ก็จะปล่อยความร้อนที่กักเก็บไว้ออกมาเพื่อใช้ในกระบวนการผลิต เช่น การผลิตไอน้ำ หรือลมร้อน เพื่อทดแทนการใช้เชื้อเพลิงฟอสซิลใน Boiler แบบดั้งเดิม
ความร่วมมือนี้ลึกซึ้งยิ่งกว่าการลงทุน เพราะ SCG ได้นำความเชี่ยวชาญด้านวัสดุศาสตร์กว่า 100 ปี มาใช้ในการผลิตอิฐทนไฟซึ่งเป็นส่วนประกอบหลักของแบตเตอรี่ และได้เริ่มก่อสร้างโรงงานแบตเตอรี่ความร้อนแห่งแรกในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ที่โรงงานปูนซีเมนต์ของ SCG แล้ว
นอกเหนือจากเทคโนโลยีด้านความร้อน การลงทุนยังครอบคลุมถึงขั้วตรงข้ามอย่างเทคโนโลยีความเย็น ผ่านการร่วมมือกับ Phase Change Solutions (PCS) บริษัทชั้นนำด้านวัสดุศาสตร์จากสหรัฐอเมริกา ที่เชี่ยวชาญด้านวัสดุเปลี่ยนสถานะ (Phase Change Materials หรือ PCM) ซึ่งเป็นหัวใจของเทคโนโลยีแบตเตอรี่ความเย็น แนวคิดนี้คือการใช้วัสดุ PCM ที่มีคุณสมบัติเหมือน “เจลเย็น” ขั้นสูง สามารถดูดซับและกักเก็บความเย็นไว้ได้ปริมาณมาก (เหมือนการ “ชาร์จ” ความเย็น) ในช่วงเวลากลางคืนที่ค่าไฟฟ้าถูก และจะค่อย ๆ คลายความเย็นออกมาในช่วงกลางวันที่ค่าไฟฟ้าแพง เพื่อรักษาอุณหภูมิในห้องเย็น (Cold Storage) ให้คงที่ และลดการทำงานของเครื่องทำความเย็น ซึ่งนำไปสู่การประหยัดพลังงานอย่างมหาศาล
ความร่วมมือนี้ได้ต่อยอดไปสู่การปฏิบัติจริง โดย Texplore ซึ่งเป็นบริษัทย่อยของ SCG Chemicals (SCGC) ได้พัฒนาและเปิดตัวโซลูชันภายใต้ชื่อแบรนด์ CHILLOX และได้นำไปทดลองใช้งานจริงแล้วกับ SCGJWD ผู้ให้บริการคลังสินค้าห้องเย็นรายใหญ่ที่สุดของไทย เพื่อยกระดับสู่ Green Logistics
แขนที่สอง: Corporate Innovation ขับเคลื่อนด้วย Digital และพลังคน
ขณะเดียวกัน พิศาล สัญญะเดชากุล (อุ๋ย) Corporate Innovation Director – Corporate Venturing and Incubation, SCG ดูแลภาพรวมของ Corporate Innovation ในมิติที่กว้างและหลากหลายกว่า โดยแบ่งภารกิจออกเป็น 3 ส่วนหลัก
ส่วนแรก คือ การสนับสนุนธุรกิจปัจจุบัน (Serve Business) โดยทำหน้าที่เป็นหน่วยสนับสนุนที่มีความสามารถเฉพาะทางให้กับกลุ่มธุรกิจต่าง ๆ ในเครือ หน่วยงานด้านทรัพย์สินทางปัญญา (IP) จะทำหน้าที่มากกว่าแค่การจดสิทธิบัตร แต่ยังให้คำปรึกษาเชิงรุกว่าควรจดอย่างไร ตรวจสอบว่านวัตกรรมใหม่ ๆ ของบริษัทจะไปทับซ้อนกับสิทธิของผู้อื่นหรือไม่ และยังใช้ฐานข้อมูลสิทธิบัตรเป็นเครื่องมือในการสืบหาว่าคู่แข่งกำลังพัฒนาอะไรอยู่
นอกจากนี้ ยังมีทีม Developer ที่คอยให้บริการหน่วยธุรกิจที่ต้องการพัฒนาโซลูชันแต่ไม่มีบุคลากรภายใน และอีกหน่วยงานสำคัญคือ Startup ภายในที่ชื่อว่า Connect Solution ซึ่งพัฒนาโดย SCG Digital โดยเป็นแพลตฟอร์ม Industrial IoT (IIoT) ที่เข้ามาแก้ปัญหาสำคัญของภาคอุตสาหกรรม นั่นคือเครื่องจักรเก่าหรือ Legacy Machine ที่ไม่สามารถเชื่อมต่อเข้าระบบได้ โซลูชันนี้จะเข้าไปติดตั้งเซ็นเซอร์และอุปกรณ์เพื่อดึงข้อมูลการทำงานออกมาวิเคราะห์ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการผลิต วางแผนบำรุงรักษาเชิงคาดการณ์ และลดการใช้พลังงาน แม้จะเป็นโซลูชันของ SCG แต่ก็ถูกบริหารจัดการด้วยความคล่องตัวแบบ Startup เพื่อให้ตอบสนองต่อความต้องการของโรงงานได้อย่างรวดเร็ว
ส่วนที่สอง คือ การขับเคลื่อนการปรับใช้นวัตกรรม (Innovation Adoption) ซึ่งปัจจุบันมีภารกิจหลักในการผลักดันการใช้ AIทั่วทั้งองค์กร บทบาทของทีมไม่ใช่การสร้าง AI เอง แต่เป็นการเข้าไปแก้ปัญหาเชิงองค์กรที่ขัดขวางการนำ AI ไปใช้ เช่น ปัญหาด้านคน ตัวชี้วัด หรือโครงสร้างพื้นฐาน เพื่อให้เกิดผลกระทบต่อผลประกอบการ (EBITDA Impact) ในระดับพันล้านบาทภายใน 2-3 ปีข้างหน้า SCG ได้เริ่มสร้างโมเมนตัมจากการใช้งานในระดับบุคคล จนปัจจุบันพนักงานออฟฟิศกว่า 78% ใช้ AI ช่วยลดเวลาทำงานได้เฉลี่ย 8% ควบคู่ไปกับการขับเคลื่อนโปรเจกต์ AI ที่ซับซ้อนขึ้น ซึ่งเป็นคลื่นลูกใหม่ต่อจาก AI แบบดั้งเดิมอย่าง Machine Learning ที่ SCG ใช้ในโรงงานมานานแล้ว โดยมุ่งเน้นไปที่ Generative AI และ Agentic AI มากขึ้น
ส่วนที่สาม คือ การมองหาอนาคต (Explore Future) ซึ่งประกอบด้วยสองส่วนสำคัญ ส่วนแรกคือ CVC for Digital กองทุนขนาดประมาณ 100 ล้านเหรียญ ที่เน้นลงทุนใน Startup ด้าน Digital Product และ Business Model Innovation โดยใช้รูปแบบการลงทุนแบบ On-balance Sheet ซึ่งคุณอุ๋ยอธิบายว่ามีข้อดีคือ ทำให้ทีมมุ่งเน้นหาดีลที่สร้างประโยชน์เชิงกลยุทธ์ให้กับธุรกิจของ SCG อย่างแท้จริง แทนที่จะมุ่งแต่ผลตอบแทนทางการเงินเพียงอย่างเดียว และอีกขาที่สำคัญคือ Incubation Program หรือโครงการ “Zero to One”
หัวใจสำคัญ: สร้าง SCG ให้เป็นองค์กรแห่งโอกาส
สิ่งที่น่าสนใจยิ่งกว่าเม็ดเงินลงทุนและเทคโนโลยีล้ำสมัย คือผลลัพธ์เชิงวัฒนธรรมที่ทำให้ SCG กลายเป็นองค์กรแห่งโอกาสอย่างแท้จริง โดยมีโครงการ “Zero to One” เป็นตัวอย่างที่ชัดเจนที่สุดของการสร้างโอกาสจากข้างใน โครงการนี้ริเริ่มขึ้นราวปี 2018 ท่ามกลางกระแส Startup ที่กำลังมาแรง ด้วยแนวคิดง่าย ๆ ที่จะรักษาบุคลากรที่มีศักยภาพไว้กับองค์กรว่า “ถ้าคุณมีไอเดียอยากทำ Startup ทำไมไม่ลองทำในนี้ โดยมี SCG สนับสนุน”
ในระยะแรก เป้าหมายหลักอาจเป็นการแสวงหาธุรกิจใหม่ที่ผู้บริหารอาจไม่เคยคิดถึง แต่เมื่อเวลาผ่านไป ผลลัพธ์เชิงวัฒนธรรมกลับเด่นชัดขึ้นเรื่อย ๆ โครงการนี้ได้กลายเป็นเวทีสำคัญสำหรับพนักงานที่มีไอเดียดี ๆ แต่บางครั้งอาจไม่ผ่านการอนุมัติในสายงานปกติ หรือถูกผู้บังคับบัญชาปฏิเสธไป “Zero to One” ได้มอบพื้นที่ปลอดภัยให้พวกเขานำเสนอและลงมือทำไอเดียนั้นจริง ๆ พื้นที่นี้ดึงดูดบุคลากรที่มีลักษณะเฉพาะตัว ที่อาจถูกมองว่าเป็น “หัวขบถ” ในระบบการทำงานแบบดั้งเดิม พวกเขาคือคนที่ไม่ชอบงานจำเจ ต้องการความเป็นอิสระ และอยากเห็นไอเดียของตนเองเกิดผลอย่างรวดเร็ว
“เราเห็นพนักงานคนเดียวกัน พอได้มาทำ Startup ที่เขาคิดเอง เขากลับทำงานไม่เหมือนเดิม เสาร์อาทิตย์ก็ยังอยู่ที่ออฟฟิศ วิ่งไปหาลูกค้า เพราะเขามี Autonomy และได้ทำในสิ่งที่เขาอยากทำจริง ๆ” คุณอุ๋ยกล่าว ปัจจุบัน โครงการได้พัฒนาไปไกลกว่าการสร้าง Startup แต่ยังเป็นแพลตฟอร์มสำหรับริเริ่มโครงการภายในที่มีความไม่แน่นอนสูง และต้องการการทำงานแบบผู้ประกอบการ ซึ่งผลลัพธ์มีทั้งรูปแบบ Spin-off ที่แยกตัวออกไปเป็นบริษัทใหม่ (เกิดขึ้นแล้วราว 5 บริษัท) และ Spin-in ที่ถูกผนวกรวมกลับเข้าเป็นส่วนหนึ่งของธุรกิจหลักเมื่อพิสูจน์ตัวเองได้สำเร็จ การให้โอกาสเช่นนี้ตั้งอยู่บนรากฐานของความไว้วางใจและวัฒนธรรมที่ยอมรับความผิดพลาดเพื่อการเรียนรู้
ในขณะเดียวกัน ภารกิจของคุณเต้คือการนำโอกาสจากข้างนอกเข้ามาสู่คน SCG พนักงานที่เข้าร่วมโปรเจกต์ที่เกิดจากการลงทุนใน Deep Tech Startup จะได้ทำงานกับเทคโนโลยีที่ไม่เคยมีใครทำมาก่อนในภูมิภาคนี้ “อย่าง Heat Battery มันไม่เคยมีมาก่อนในไทย คนที่เข้ามาทำต้องกล้าที่จะบุกเบิกตลาดที่ยังไม่มีอยู่จริง มันดึงดูดคนที่ไม่กลัวความล้มเหลว ชอบความท้าทาย และอยากเป็นผู้บุกเบิก” คุณเต้ กล่าว
ที่สำคัญ SCG ไม่ได้มอบแค่แรงจูงใจภายใน (Intrinsic Motivation) อย่างความท้าทายหรือความภาคภูมิใจเท่านั้น แต่ยังมอบแรงจูงใจภายนอก (Extrinsic Motivation) ที่จับต้องได้ พนักงานที่ประสบความสำเร็จในการสร้างธุรกิจใหม่ผ่านโครงการเหล่านี้ มีโอกาสได้เติบโตขึ้นเป็นกรรมการผู้จัดการ (MD) หรือแม้กระทั่งเป็นผู้ถือหุ้นในบริษัทที่ Spin-off ออกไป ซึ่งเป็นการสร้างผลตอบแทนที่คุ้มค่าและเป็นรูปธรรม
เส้นทางของสองขุนพล: ผลผลิตจากวัฒนธรรมแห่งโอกาส
เรื่องราวของทั้งคุณเต้และคุณอุ๋ย คือภาพสะท้อนที่ชัดเจนที่สุดของวัฒนธรรมแห่งโอกาสนี้ ทั้งคู่มีจุดเริ่มต้นจากการเป็นวิศวกรอุตสาหการ แต่เส้นทางอาชีพของพวกเขาไม่ได้ถูกจำกัดอยู่แค่ในกรอบเดิม ๆ
คุณเต้เริ่มต้นการทำงานที่ SCG ในสายซัพพลายเชนและไอที ก่อนจะได้รับทุนจากบริษัทไปศึกษาต่อ MBA ที่ MIT Sloan สหรัฐอเมริกา เมื่อกลับมา เขาได้แบ่งปันประสบการณ์และมุมมองที่ได้จากการทำงานกับ Startup ในต่างประเทศ ซึ่งไปจุดประกายให้ผู้บริหาร และกลายเป็นโอกาสให้เขาได้เข้ามาเป็นหนึ่งในสมาชิกรุ่นบุกเบิกของทีม Corporate Venture Capital ในปี 2018
เช่นเดียวกับคุณอุ๋ย ที่เริ่มต้นจากงานวางแผนการผลิต ก่อนจะได้รับโอกาสที่คาดไม่ถึงให้ไปทำโปรเจกต์ด้านการบริหารทรัพยากรบุคคล ซึ่งเป็นการทำงานข้ามสายงานโดยสิ้นเชิง และต่อมาก็ได้รับทุนไปศึกษาต่อ MBA ที่ INSEAD ประเทศฝรั่งเศส เมื่อกลับมาจึงได้เข้ามาทำงานด้านกลยุทธ์และนำทีม Digital Transformation ซึ่งเป็นที่มาของโครงการ “Zero to One” ในปัจจุบัน
เส้นทางที่ไม่ได้โรยด้วยกลีบกุหลาบและเต็มไปด้วยความท้าทายของทั้งสองคน แสดงให้เห็นว่า SCG เป็นองค์กรที่มอบโอกาสให้พนักงานได้เติบโตอย่างหลากหลาย เปิดกว้างให้โยกย้ายสายงาน และพร้อมสนับสนุนให้คนที่มีศักยภาพได้ก้าวขึ้นมาเป็นผู้นำในภารกิจที่สำคัญที่สุดขององค์กร
ทิศทางสู่อนาคต: ขับเคลื่อนด้วย Inclusive Green Growth
การขับเคลื่อนนวัตกรรมทั้งหมดนี้ ไม่ได้ทำไปอย่างไร้ทิศทาง แต่ถูกร้อยเรียงเข้ากับเป้าหมายใหญ่ขององค์กรคือ Inclusive Green Growth หรือการเติบโตอย่างยั่งยืนโดยไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง ซึ่งเป็นมากกว่าแค่สโลแกน แต่เป็นแกนหลักในการดำเนินธุรกิจแห่งอนาคต
ในมิติของ Green Growth ภารกิจของทีมคุณเต้มีความสำคัญอย่างยิ่งยวด สำหรับ SCG ซึ่งเป็นผู้เล่นหลักในอุตสาหกรรมหนัก การเติบโตในอนาคตไม่สามารถแยกออกจากการลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมได้อีกต่อไป แรงกดดันจากกฎเกณฑ์ระดับโลก เช่น มาตรการปรับราคาคาร์บอนก่อนข้ามพรมแดนของสหภาพยุโรป (CBAM) และเป้าหมาย Net Zero ภายในปี 2050 ทำให้เทคโนโลยีสะอาดไม่ใช่ทางเลือก แต่เป็นทางรอด การลงทุนใน Deep Tech จึงเป็นการเดินเกมเชิงรุก เพื่อเสาะหาเทคโนโลยีที่จะมาพลิกโฉมกระบวนการผลิต เปลี่ยนความท้าทายด้านสิ่งแวดล้อมให้กลายเป็นโอกาสทางธุรกิจใหม่
ขณะเดียวกัน มิติของ Inclusive คือการสร้างความมั่นใจว่าการเปลี่ยนผ่านสู่องค์กรสีเขียวนี้ จะเป็นการเติบโตที่ครอบคลุมและดึงศักยภาพของทุกคนออกมา ภารกิจของคุณอุ๋ยตอบโจทย์นี้โดยตรง โครงการ “Zero to One” และวัฒนธรรมที่เปิดกว้าง คือการสร้างความ “Inclusive” ให้กับนวัตกรรม โดยเปิดให้ไอเดียจากพนักงานทุกระดับได้มีโอกาสเติบโต การผลักดันให้พนักงานใช้ AI ไม่ใช่แค่การเพิ่มประสิทธิภาพ แต่คือการติดอาวุธให้บุคลากรพร้อมรับมือกับโลกยุคใหม่ เพื่อให้แน่ใจว่าทุกคนจะสามารถเป็นส่วนหนึ่งและได้รับประโยชน์จากการเติบโตขององค์กร
ดังนั้น Green Growth และ Inclusive จึงเป็นสองด้านของเหรียญเดียวกัน การเปลี่ยนผ่านสู่ความยั่งยืนจะสำเร็จไม่ได้หากขาดวัฒนธรรมที่เปิดกว้างและคนที่พร้อมจะเปลี่ยนแปลง และการเติบโตที่ครอบคลุมจะเกิดขึ้นไม่ได้หากธุรกิจไม่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ภารกิจของทั้งสองขุนพล CVC แห่ง SCG จึงเป็นภาพสะท้อนที่ชัดเจนของยุทธศาสตร์นี้ … แขนหนึ่งค้นหาสุดยอดเทคโนโลยีเพื่ออนาคตที่ยั่งยืน และอีกแขนหนึ่งสร้างสุดยอดบุคลากรเพื่อขับเคลื่อนอนาคตนั้นให้เกิดขึ้นจริง
ข่าวอื่น ๆ ที่น่าสนใจ
กรุงศรีทุ่มงบหมื่นล้าน ทรานส์ฟอร์มองค์กรด้วย AI-Data ใน Krungsri Tech Day 2025
ITD ชู ‘Scale Up Culture’ พร้อมส่งเครื่องมือฟรีปั้น SME โตยั่งยืน




