TH | EN
TH | EN
หน้าแรกStartupNIA ทุ่มกว่า 200 ล้าน หนุนสตาร์ตอัพ 6 สาขานวัตกรรมกลุ่มอุตฯ S-Curve

NIA ทุ่มกว่า 200 ล้าน หนุนสตาร์ตอัพ 6 สาขานวัตกรรมกลุ่มอุตฯ S-Curve

สำนักงานนวัตกรรมแห่งชาติ (องค์การมหาชน) หรือ NIA เดินหน้าส่งเสริมและสนับสนุนสตาร์ตอัพและผู้ประกอบการธุรกิจนวัตกรรมไทยผ่านโครงการนวัตกรรมแบบมุ่งเป้า (Thematic Innovation) เพื่อขับเคลื่อนอุตสาหกรรมเป้าหมายตามยุทธศาสตร์ชาติ ภายใต้งบประมาณกว่า 200 ล้านบาท โดยมุ่งสนับสนุนธุรกิจนวัตกรรมใน 6 สาขา ตั้งเป้าว่าจะมีผลิตภัณฑ์ กระบวนการ หรือบริการที่ใช้ประโยชน์ได้จริงในเชิงพาณิชย์ไม่น้อยกว่า 40 โครงการ เกิดมูลค่าทางเศรษฐกิจได้ไม่น้อยกว่า 400 ล้านบาท และสามารถเชื่อมโยงกับอุตสาหกรรมเป้าหมายหรือภาคการลงทุนไม่น้อยกว่า 40 ธุรกิจ เพื่อเป็นส่วนหนึ่งในการขับเคลื่อนประเทศไทยสู่หมุดหมายสำคัญของการเป็น “ประเทศแห่งนวัตกรรม”

วิเชียร สุขสร้อย รองผู้อำนวยการด้านเศรษฐกิจและสังคม สำนักงานนวัตกรรมแห่งชาติ (องค์การมหาชน) กล่าวว่า NIA มีนโยบายส่งเสริมและสนับสนุนสตาร์ตอัพ เพื่อรองรับอุตสาหกรรมเป้าหมาย (S-Curve) ซึ่งเป็นปัจจัยขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศ และเพื่อชักจูงบริษัทชั้นนำจากทั่วโลกให้มาลงทุนในประเทศไทย ซึ่งถือเป็นทั้งการสร้างภาพลักษณ์ และยกระดับความสามารถในการแข่งขันของประเทศให้ดียิ่งขึ้น

NIA จึงได้สร้างโอกาสการพัฒนาธุรกิจนวัตกรรมด้วยการเชื่อมโยงเครือข่ายทั้งด้านเทคโนโลยี และการเงินผ่านกลไกการสนับสนุนโครงการนวัตกรรมแบบมุ่งเป้า (Thematic Innovation) ซึ่งดำเนินมากว่า 5 ปี เกิดเป็นนวัตกรรมที่ตอบโจทย์การพัฒนาอุตสาหกรรมเป้าหมายมากกว่า 92 โครงการ ไม่ว่าจะเป็นด้านการแพทย์ การดูแลสุขภาพ เทคโนโลยีเกษตรและอาหาร ฯลฯ ด้วยเงินสนับสนุนกว่า 255 ล้านบาท และก่อให้เกิดมูลค่าประมาณ 530 ล้านบาท

สำหรับในปีนี้ NIA มุ่งเน้นโครงการนวัตกรรมมุ่งเป้าใน 6 ธุรกิจนวัตกรรมเป้าหมาย ได้แก่ 1) อาหารมูลค่าสูงสำหรับส่งออก เพื่อเร่งพัฒนาการผลิตและการส่งออกอาหารและผลไม้ไทยคุณค่าและมูลค่าสูง และผลักดันไทยสู่ผู้นำของโลกทั้งอาหารเพื่อสุขภาพ อาหารพรีเมี่ยม โปรตีนทางเลือก และอาหารพื้นถิ่นมูลค่าใหม่ เช่น อาหารว่างสำหรับผู้ป่วยโรคไต ไอศกรีมผงกึ่งสำเร็จรูป เนื้ออกไก่จากพืช สเปรดไข่เค็มไชยาพร้อมทาน ฯลฯ 2) ความมั่นคงทางอาหาร ทั้งด้านการเกษตรที่ขับเคลื่อนด้วยนวัตกรรม การตรวจสอบย้อนกลับ การจัดการหลังการเก็บเกี่ยว และการผลิตอาหารอัจฉริยะ เป็นต้น 3) เศรษฐกิจการหมุนเวียนและเศรษฐกิจคาร์บอนต่ำ โดยสร้างมูลค่าเพิ่มจากการนำขยะหรือของเสียจากภาคอุตสาหกรรมมาใช้ประโยชน์ เพื่อเป็นวัตถุดิบทดแทนหรือนำมาสร้างเป็นผลิตภัณฑ์ใหม่เพิ่มขึ้น ผ่านโมเดลอุตสาหกรรมและธุรกิจที่มุ่งไปสู่ความเป็นกลางทางคาร์บอน และโมเดลการจัดการพลาสติกและขยะ

4) พลังงานสะอาด ที่พัฒนาและประยุกต์ใช้ผลงานวิจัย องค์ความรู้ เทคโนโลยี และนวัตกรรมทั้งการปรับปรุงคุณภาพเชื้อเพลิงชีวภาพ และระบบบริหารจัดการการผลิตไฟฟ้าพลังงานสะอาด 5) ธุรกิจดิจิทัลที่ใช้เทคโนโลยีด้านปัญญาประดิษฐ์ หุ่นยนต์ และเทคโนโลยีโลกเสมือน หรือ ARI Tech เพื่อนำไปใช้กับกลุ่มโรงงานอุตสาหกรรม การแพย์ ธุรกิจที่สอดรับกับการเชื่อมโยงโครงข่ายอินเทอร์เน็ต (IoT) และรับกระแสโลกเสมือนจริงหรือ เมตาเวิร์ส และ 6) กลุ่มยานยนต์ไฟฟ้าและเทคโนโลยีที่เกี่ยวเนื่อง ทั้งระบบโครงสร้างพื้นฐานและส่วนประกอบสำคัญ การบริการและแพลตฟอร์มสนับสนุน ตลอดจนการพัฒนายานยนต์ไฟฟ้าที่มีลักษณะเฉพาะ เช่น ยานยนต์ไฟฟ้าเพื่อการขนส่งเชิงพาณิชย์ ธุรกิจนวัตกรรมผลิตยานยนต์ที่มีการสื่อสารและเชื่อมโยงถึงกัน ซอฟต์แวร์เพื่อใช้กับยานยนต์ไฟฟ้า การให้บริการสถานีชาร์จ การบริหารจัดการการจ่ายกระแสไฟฟ้าของแบตเตอรี่ ฯลฯ

“ทั้ง 6 ธุรกิจนวัตกรรมมุ่งเป้าที่ NIA พยายามผลักดันเป็นเทรนด์ที่อยู่ในความนิยมของตลาดโลก อย่างธุรกิจอาหารมูลค่าสูงสำหรับส่งออกและธุรกิจด้านความมั่นคงทางอาหาร ถ้าสตาร์ตอัพสามารถพัฒนาหรือคิดค้นสินค้าใหม่ที่ส่งออกได้สำเร็จ มูลค่าการส่งออกจะสูงขึ้น ส่วนธุรกิจด้านเศรษฐกิจการหมุนเวียนและเศรษฐกิจคาร์บอนต่ำ NIA คาดหวังที่จะได้เห็นการสร้างรูปแบบของตัวธุรกิจที่ชัดเจน เพราะนักลงทุนต่างชาติโดยเฉพาะฝรั่งจะมาขอซื้อคาร์บอนจากประเทศในแถบภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้จำนวนมาก ปัจจุบันไทยยังขายไม่ได้ เพราะรูปแบบธุรกิจของเรายังไม่สมบูรณ์

เทรนด์ที่เกิดขึ้นถือเป็นโอกาสถ้าทำได้สำเร็จเชื่อว่านักลงทุนต่างชาติหรือองค์กรใหญ่ ๆ จะเข้ามาจำนวนมาก นอกจากนี้ยังมีธุรกิจด้านกลุ่มยานยนต์ไฟฟ้าและเทคโนโลยีที่เกี่ยวเนื่อง ที่แม้ตลาดต่างประเทศจะใหญ่กว่าไทย แต่อีก 3 ปีข้างหน้า โรงงานผลิต EV จะเกิดขึ้นในเมืองไทย ถ้าเราสามารถเตรียมความพร้อมเปลี่ยนจากผู้ผลิตเซ็นเซอร์หรือชิ้นส่วนยานยนต์สำหรับรถสันดาปมาเป็น EV เพื่อรองรับต่างชาติที่จะมาลงทุนสร้างโรงงานผลิตในไทยได้ก็จะเป็น OEM ที่มีมูลค่าสูง ดังนั้นถ้าทุกภาคส่วนช่วยขับเคลื่อนนวัตกรรมแบบมุ่งเป้าได้สำเร็จ เชื่อว่าประเทศไทยจะมีโอกาสในเศรษฐกิจเดิมที่มีมูลค่าสูงมากขึ้น ส่วนเศรษฐกิจที่เป็นเทรนด์ก็จะมีตัวอย่างที่สามารถได้รับประโยชน์จากคุณค่าที่สร้างขึ้นได้ โอกาสที่ไทยจะเติบโตในต่างประเทศก็จะสูงตามไปด้วย”

วิเชียร กล่าวเพิ่มเติมว่า โครงการนวัตกรรมแบบมุ่งเป้าที่ NIA ดำเนินการนั้น เป็นการสนับสนุนเงินทุนให้เปล่าสำหรับสตาร์ตอัพหรือผู้ประกอบการที่สร้างสรรค์ผลงานนวัตกรรมใน 6 กลุ่มธุรกิจนวัตกรรมเป้าหมายในวงเงินสูงสุดไม่เกินโครงการละ 5,000,000 บาท ครอบคลุมทั้งการพัฒนาต้นแบบนวัตกรรมและทดสอบประสิทธิภาพการใช้งานของนวัตกรรมในสภาพแวดล้อมจริง

“ต้นแบบดังกล่าวต้องมีความเป็นนวัตกรรมระดับประเทศขึ้นไปในด้านผลิตภัณฑ์ การบริการ หรือกระบวนการ และสามารถสร้างผลกระทบเชิงเศรษฐกิจในสาขาอุตสาหกรรมเป้าหมายที่กำหนดได้”

ผู้ประกอบการหรือสตาร์ตอัพที่จะสมัครเข้าร่วมจะต้องมีคุณสมบัติคือ เป็นนิติบุคคลที่จดทะเบียนถูกต้องตามกฎหมายและมีผู้ถือหุ้นเป็นสัญชาติไทยอย่างน้อยร้อยละ 51 ต้องเป็นผู้ถือกรรมสิทธิ์ในเทคโนโลยีหลักที่ใช้ในโครงการ หรือเป็นการขอใช้สิทธิ์ในทรัพย์สินทางปัญญาได้ ต้องมีโมเดลธุรกิจและแผนการดำเนินธุรกิจที่ชัดเจน เพื่อรองรับการขยายผลโครงการอย่างมีประสิทธิภาพ สามารถสำรองเงินเพื่อเบิกจ่ายเงินอุดหนุนย้อนหลังได้ รวมถึงนิติบุคคล หรือกรรมการบริหารของนิติบุคคล มีประสบการณ์ในอุตสาหกรรมเป้าหมาย ไม่น้อยกว่า 3 ปี

นอกจากนี้ ยังมีกลไกสนับสนุนอื่น ๆ เช่น การเชื่อมโยงผู้เชี่ยวชาญในแต่ละสาขาธุรกิจเพื่อให้องค์ความรู้สำหรับการพัฒนาผลิตภัณฑ์ – บริการเพื่อออกสู่ตลาด การจับคู่กับนักลงทุนสำหรับนวัตกรรมที่เป็นต้องการในสาขาอุตสาหกรรมต่าง ๆ รวมถึงการช่วยสนับสนุนด้านแผนธุรกิจ การให้คำปรึกษาด้านทรัพย์สินทางปัญญา โดยสามารถลงทะเบียนออนไลน์ผ่าน https://mis.nia.or.th/ ได้ตั้งแต่วันนี้ จนถึงวันที่ 30 พฤศจิกายน 2565

“การสนับสนุนนวัตกรรมแบบมุ่งเป้าถือเป็นการเร่งสร้างความแข็งแกร่งให้กับอุตสาหกรรมไทย โดยเฉพาะในกลุ่มอุตสาหกรรมที่มีศักยภาพสูงของประเทศ ซึ่งเป็นการเปิดโอกาสให้ภาคการลงทุน และหน่วยงานด้านการส่งเสริมนวัตกรรมของภาครัฐได้เห็นมุมมองใหม่ที่เป็นประโยชน์จากแผนธุรกิจและความแตกต่างในเชิงเทคนิค ซึ่งจะช่วยเพิ่มมูลค่าทางเศรษฐกิจได้มากยิ่งขึ้น นอกจากนี้ ยังเป็นการตอกย้ำแผนพัฒนาเศรษฐกิจของรัฐบาลที่มีเป้าหมายในการฟื้นฟูและเดินหน้าเศรษฐกิจหลังจากนี้ด้วยการใช้ความคิดสร้างสรรค์ งานวิจัย และกำลังคนที่มีความสามารถในการพัฒนานวัตกรรมที่ตอบโจทย์ความต้องการของตลาดโลก ซึ่งจะเป็นอีกแรงขับเคลื่อนสำคัญที่จะนำพาประเทศไทยสู่หมุดหมาย “ประเทศแห่งนวัตกรรม” ต่อไป” วิเชียร กล่าวสรุป

ข่าวอื่น ๆ ที่น่าสนใจ

AIS เปิดตัวแคมเปญ“มีความรู้ก็อยู่รอด” ชวนคนไทยหยุดเสี่ยงกับทุกภัยไซเบอร์

GISTDA กับยุทธศาสตร์ภูมิสารสนเทศด้านอวกาศ เพื่อโอกาสทางเศรษฐกิจและความมั่นคง

STAY CONNECTED

0แฟนคลับชอบ
440ผู้ติดตามติดตาม
spot_img

Lastest News

MUST READ