TH | EN
TH | EN
หน้าแรกBusinessลอรีอัล ไตรมาส 3 ยอดขายเติบโตต่อเนื่องที่ +12% ท่ามกลางสถานการณ์ที่ยังผันผวน

ลอรีอัล ไตรมาส 3 ยอดขายเติบโตต่อเนื่องที่ +12% ท่ามกลางสถานการณ์ที่ยังผันผวน

ลอรีอัล กรุ๊ป รายงานผลประกอบการไตรมาสที่ 3 ปี 2565 โดยมีผลการดำเนินงานอยู่เหนือตลาดอย่างมีนัยสำคัญ ด้วยยอดขาย มูลค่า 2.794 หมื่นล้านยูโร เติบโต 12.0% เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันในปีที่แล้ว หรือเติบโตขึ้น 20.5% ตามตัวเลขที่ได้มีการรายงานด้วยปัจจัยบวกที่มีนัยสำคัญจากอัตราแลกเปลี่ยน โดยเป็นการเติบโตอย่างสมดุลทั้งในระดับแผนกธุรกิจและภูมิภาค และมีผลการดำเนินงานเติบโตสูงกว่าตลาดความงามโลกอย่างมีนัยสำคัญ

นิโคลา ฮิโรนิมุส ประธานเจ้าหน้าที่บริหารของลอรีอัล กรุ๊ป กล่าวว่า “ในสถานการณ์ที่มีความผันผวนจากมาตรการควบคุมด้านสาธารณสุขของจีนและเงินเฟ้อในโลกตะวันตก ลอรีอัลยังคงมีผลการดำเนินงานที่แข็งแกร่งเป็นอย่างมากในไตรมาส 3 โดยลอรีอัลเติบโตอย่างต่อเนื่องเมื่อเทียบกับปี 2562 ด้วยแผนกลยุทธ์ในการปรับและสร้างสมดุล โดยเฉพาะในส่วนของการทำธุรกิจในภูมิภาคต่าง ๆ ส่งผลให้ลอรีอัล กรุ๊ป รายงานยอดขายที่เพิ่มขึ้นอย่างแข็งแกร่งด้วยยอดขายที่เพิ่มขึ้น 12.0% เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกัน ”

ข้อมูลตัวเลขต่าง ๆ ชี้ให้เห็นว่า ธุรกิจในภูมิภาคต่าง ๆ ของลอรีอัล กรุ๊ป มีการปรับสร้างสมดุลได้ โดยทุกภูมิภาคมีความก้าวหน้า ซึ่งรวมถึงในเอเชียเหนือ แม้ว่าจะต้องเผชิญกับความปั่นป่วนที่เกิดขึ้นในประเทศจีนก็ตาม ส่วนภูมิภาคอื่นๆ อัตราการเติบโตก็ขยายตัวในระดับตัวเลขสองหลัก โดยมีการเติบโตแบบก้าวกระโดดอย่างชัดเจนในตลาดเกิดใหม่ (ภูมิภาค SAPMENA-SSA, ละตินอเมริกา) ส่วนในยุโรปเองก็มีผลการดำเนินงานที่โดดเด่น

ในขณะที่การขยายตัวล้วนเกิดขึ้นในสัดส่วนเท่า ๆ กันในแผนกต่าง ๆ ซึ่งแต่ละแผนกต่างก็มีผลการดำเนินงานที่สูงกว่าตลาด แผนกผลิตภัณฑ์อุปโภคบริโภค ยังคงขยายตัวในระดับที่รวดเร็วขึ้นนับตั้งแต่ช่วงต้นปี และแผนกผลิตภัณฑ์เฉพาะกลุ่มทั้ง 3 แผนกของลอรีอัลก็สามารถเติบโตในอัตราตัวเลขสองหลักในช่วง 9 เดือนแรก

แม้ว่าจะเผชิญกับสถาณการณ์ความไม่แน่นอนในขณะนี้ แต่ลอรีอัลยังคงมีความมั่นใจในภาพรวมของตลาดความงามทั่วโลก ซึ่งสามารถยืนยันได้จากความยืดหยุ่นของตลาด และความมั่นใจในอำนาจการคิดค้นนวัตกรรมของบริษัท รวมทั้งความเชื่อมั่นในความสามารถของบริษัทที่จะเติบโตในอัตราที่สูงกว่าตลาด รวมทั้งมียอดขายและผลกำไรที่สูงขึ้นอีกในปี 2565

แผนกผลิตภัณฑ์ช่างผมมืออาชีพเติบโต 10.9%

แผนกธุรกิจนี้เติบโตในทุกๆ ภูมิภาค ซึ่งตอกย้ำถึงความเป็นผู้นำในตลาดความงามช่างผมมืออาชีพ โดยสร้างผลงานในส่วนของช่องการทางจัดจำหน่ายทุกช่องทางทั้งที่ซาลอน เครือข่ายซาลอนเซ็นทริกในสหรัฐ และอี-คอมเมิร์ซ ซึ่งเป็นการยืนยันความสำเร็จของแผนกลยุทธ์ช่องทางจำหน่ายที่หลากหลายของบริษัทอีกครั้ง สำหรับตลาดผลิตภัณฑ์ดูแลเส้นผมที่คึกคักนั้น การเติบโตของแผนกได้แรงขับเคลื่อนส่วนใหญ่จากผลการดำเนินงานของเคราสตาส (Keratase) และการเติบโตที่ต่อเนื่องของซีรี เอ็กซ์เพิร์ท (Serie Expert) โดยลอรีอัล โปรเฟสชั่นแนล (L’Oreal Professionnel) แผนกธุรกิจนี้ยังมีการเติบโตในกลุ่มผลิตภัณฑ์เปลี่ยนสีผมด้วยไลน์สินค้าระดับไอคอน

ผลิตภัณฑ์อุปโภคบริโภคเติบโต 8.7%

แผนกลยุทธ์การปรับภาพลักษณ์ให้มีความพรีเมียม และการเพิ่มมูลค่าให้กับสินค้าของแผนกมีส่วนช่วยสนับสนุนการเติบโตที่เป็นไปอย่างรวดเร็วขึ้น ขณะที่ผลประกอบการโดยรวมได้แรงหนุนจากภูมิภาค SAPMENA-SSA และละตินอเมริกา แบรนด์ชั้นนำทุกแบรนด์มีส่วนช่วยสนับสนุนผลประกอบการอันน่าประทับใจนี้ ซึ่งเป็นผลจากการใช้นวัตกรรมที่ล้ำยุคในทุกๆ ผลิตภัณฑ์หลักๆ โดยกลุ่มเมคอัพยังคงเป็นผลิตภัณฑ์หัวหอกที่นำความสำเร็จมาสู่แผนกนี้ ด้วยการเปิดตัวผลิตภัณฑ์อย่างทรงพลัง เช่น ลิปสติกรุ่นซูเปอร์สเตย์ ไวนิล อิงค์ (Superstay Vinyl Ink) โดยเมย์เบลลีน นิวยอร์ก (Maybelline New York) ผลิตภัณฑ์เปลี่ยนสีผมเองก็ขยายตัวในอัตราที่รวดเร็วขึ้น ส่วนผลิตภัณฑ์ดูแลผิวพรรณก็เติบโตอย่างต่อเนื่อง เพราะได้รับแรงขับเคลื่อนจากความสำเร็จของการ์นิเยร์ (Garnier) โดยเฉพาะวิตะมิน ซี ไบรเทนนิ่ง เซรั่ม (Vitamin C Brightening Serum) ตัวใหม่

แผนกผลิตภัณฑ์ความงามชั้นสูงเติบโต 12.2%

ในไตรมาส 3 แผนกผลิตภัณฑ์ความงามชั้นสูงได้รับผลกระทบจากมาตรการล็อกดาวน์ที่เกิดขึ้นหลายครั้งในจีน การย้ายที่ตั้งของหน่วยธุรกิจค้าปลีกสำหรับนักท่องเที่ยวในเอเชีย รวมทั้งความยากลำบากในการจัดหาวัตถุดิบ (โดยเฉพาะขวดน้ำหอม) แม้ว่าจะเผชิญกับความผันผวนเหล่านี้ แต่แผนกธุรกิจนี้ก็ยังสามารถเติบโตและก้าวหน้าได้ในจีน โดยสามารถครองส่วนแบ่งตลาดได้สูงเป็นประวัติการณ์

แผนกผลิตภัณฑ์ความงามชั้นสูงมีโครงสร้างที่แข็งแกร่ง และยังคงคิดค้นนวัตกรรมให้กับผลิตภัณฑ์ทั้ง 3 ประเภท ในตลาดน้ำหอมที่กำลังขยายตัวอย่างคึกคักนั้น ผลิตภัณฑ์ความงามชั้นสูงสามารถตอกย้ำได้ถึงความเป็นผู้นำระดับโลกอันเป็นผลมาจากน้ำหอมยอดนิยม เช่น ลิเบรอ (Libre) ของอีฟส์ แซงต์ โลรองต์ (Yves Saint Laurent) และลาวี เอ แบลล์ (La Vie est Belle) ของลังโคม (Lancome) สำหรับสินค้ากลุ่มผลิตภัณฑ์ดูแลผิวพรรณนั้น ได้ใช้ประโยชน์จากการคิดค้นนวัตกรรมที่แข็งแกร่ง เช่น ลังโคม รีเนอร์จี ทริปเปิล เซรั่ม (Lancome Renergie Triple Serum) และกลุ่มเครื่องสำอาง อย่าง อีฟ แซง โลรองต์ (Yves Saint Laurent), ลังโคม (Lancome)  และชู อูเอมูระ (Shu Uemura) ต่างก็รายงานผลประกอบการที่แข็งแกร่ง

แผนกผลิตภัณฑ์เวชสำอาง เติบโต 22.6%

ด้วยการกระชับความร่วมมือกับบุคลากรทางการแพทย์ แผนกผลิตภัณฑ์เวชสำอางได้เสริมสร้างความแข็งแกร่งให้กับรูปแบบการดำเนินการที่ตั้งอยู่บนพื้นฐานของคำแนะนำ และยังขยายตัวได้เร็วกว่าตลาดเวชสำอางสำหรับผิวพรรณอย่างมาก แผนกธุรกิจนี้เติบโตเป็นตัวเลขสองหลักในทุกภูมิภาค โดยมีผลประกอบการที่โดดเด่นในอเมริกาเหนือ, ยุโรป และ SAPMENA–SSA. โดยลาโรช-โพเซย์ (La Roche-Posay) ยังคงเป็นผลิตภัณฑ์หลักที่มีส่วนสนับสนุนการเติบโต เพราะได้แรงขับเคลื่อนจากผลิตภัณฑ์หลักๆ ได้แก่ซิคาพลาสท์ (Cicaplast) และเอฟฟาแคลร์ (Effaclar), ครีมกันแดดยูวีมูน 400 (UVMune 400) และการเปิดตัวที่ประสบความสำเร็จของเซรั่มเพียว นิอาซินาไมด์ 10 (Pure Niacinamide 10) ขณะที่เซราวี (CeraVe) ยังคงเป็นแบรนด์ที่เติบโตเร็วที่สุดของแผนกผลิตภัณฑ์เวชสำอาง ขณะที่วิชี่ (Vichy) เติบโตเป็นเลขสองหลัก

ในเดือนตุลาคม แผนกธุรกิจผลิตภัณฑ์เวชสำอางได้ซื้อธุรกิจสกินเบทเทอร์ ไซเอนซ์ (Skinbetter Science) ซึ่งเป็นแบรนด์สกินแคร์ที่จ่ายสินค้าโดยเภสัชกรในสหรัฐและได้ปัจจัยสนับสนุนจากการวิจัยด้านเวชสำอางที่ทันสมัย

ข่าวอื่น ๆ ที่น่าสนใจ

มาสเตอร์การ์ดเผย คนไทยกว่าร้อยละ 89 คุ้นเคยกับโปรแกรม BUY NOW PAY LATER

RAINMAKER ประกาศความสำเร็จ ICREATOR CONFERENCE 2022 เดินหน้าประกาศโปรเจกต์ใหม่ ICREATOR CAMP

STAY CONNECTED

0แฟนคลับชอบ
440ผู้ติดตามติดตาม
spot_img

Lastest News

MUST READ