จากการคาดการณ์ว่าตลาดโซเชียลคอมเมิร์ซ (Social Commerce) ในประเทศมีสัดส่วนมากถึง 62% ของมูลค่าอีคอมเมิร์ซ ที่คาดว่าจะมีมูลค่าเกือบ 220,000 ล้านบาท และคาดว่าตลาดนี้มีแนวโน้มเติบโตต่อเนื่อง LINE ผู้นำตลาดโซเชียลสายแชทที่ปัจจุบันเป็น 1 ใน 3 แพลตฟอร์มโซเชียลคอมเมิร์ซรายใหญ่ในไทย ปรับโครงสร้างธุรกิจในส่วนของโซเชียลคอมเมิร์ซ คือ LINE Shopping ใหม่ และตั้งเป้าขึ้นเป็นผู้นำตลาดภายในปี 2566
- dots academy ธุรกิจและชีวิต ของนักการตลาดชื่อ “ณัฐพัชญ์”
- SCG ปั้นต้นแบบ Talent ขับเคลื่อนระบบเศรษฐกิจยุคใหม่
เลอทัด ศุภดิลก หัวหน้าฝ่ายธุรกิจอีคอมเมิร์ซ LINE ประเทศไทย กล่าวว่า LINE เห็นโอกาสทางธุรกิจของโซเชียลคอมเมิร์ซที่เติบโตก้าวกระโดด และเป็นรูปแบบอีคอมเมิร์ซที่ทรงประสิทธิภาพ ด้วยอัตราการปิดการขาย (Conversion Rate) ของโซเชียลคอมเมิร์ซสูงถึง 45% เมื่อเทียบกับอัตราการปิดการขายของเว็บไซต์อีคอมเมิร์ซอยู่ที่ 3% เท่านั้น LINE จึงปรับกลยุทธ์ธุรกิจโซเชียลคอมเมิร์ซ (LINE Shopping) ใหม่จากเดิมเป็นกึ่งอีคอมเมิร์ซและโซเชียลคอมเมิร์ซ (คือมีมาร์เก็ตเพลสบนเดสก์ท็อปด้วย) มาเป็นโซเชียลคอมเมิร์ซ 100%
“การปรับมาเป็นโซเชียลคอมเมิร์ซ 100% หมายความว่า สินค้าและรูปแบบวิธีการทำตลาดจะต้องเหมาะกับโซเชียลมีเดีย เส้นทางเดินของลูกค้า (Customer Journey) จะต้องเริ่มและจบบนโซเชียล ไม่ออกไปที่อื่น”
ระบบนิเวศของโซเชียลคอมเมิร์ซของ LINE ประกอบด้วย LINE Shopping แพลตฟอร์มโซเชียลคอมเมิร์ซที่เป็นระบบหน้าร้านที่ลูกค้าจะเข้ามาช้อปปิ้ง และมี LINE MyShop เป็นเหมือนระบบงานหลังบ้านให้ร้านค้า ในขณะที่มี LINE OA เป็นเหมือนระบบ CRM ของร้านค้า
ปัจจุบัน LINE Shopping มีลูกค้าอยู่ประมาณ 3 ล้านคน มีอัตราการค้นหาสินค้าเพิ่มขึ้น 200% มีขนาดของการซื้อโดยเฉลี่ยต่อครั้งโตขึ้นเท่าตัว และมีมูลค่าของยอดขายเพิ่มขึ้นเท่าตัวเช่นกัน โดยที่ขนาดของการซื้อโดยเฉลี่ยต่อครั้งอยู่ประมาณ 1,200-1,300 บาท
สินค้าที่เป็นที่นิยมซื้อขายบนโซเชียลคอมเมิร์ซ คือ สินค้าที่ต้องการการปฏิสัมพันธ์ ได้แก่ สินค้าแฟชั่น และความงาม ที่ต้องสอบถามสี ขนาด แบบ เป็นต้น รวมถึงสินค้าอาหาร (ที่ไม่ใช่อาหารสด)
ร้านค้าที่อยู่บน LINE MyShop ปัจจุบันที่มีอยู่ 50,000 ร้านค้า สามารถทำงานร่วมกับ LINE OA ได้ ซึ่งปัจจุบัน LINE OA มีอยู่ 4 ล้านบัญชี
“เรามองว่ายังมีโอกาสอีกมากที่จะเพิ่มร้านค้าบน LINE MyShop หน้าที่ของ LINE Shopping คือ ทำให้คนค้นหาสินค้ามากขึ้น และเจอสินค้าได้ง่ายขึ้น ด้วยการเสริมระบบงานขาย และเครื่องมือในการทำการตลาดให้กับร้านขายที่เปิดร้านบน LINE MyShop ให้มีเครื่องมือในการขายมากกว่าแค่การแชท อาทิ เครื่องมือในการทำให้ร้านค้าถูกค้นพบโดยลูกค้าได้ง่ายขึ้น เครื่องมือที่ช่วยในการปิดการง่ายได้ง่ายขึ้น เครื่องมือในการดำเนินธุรกิจ อาทิ ระบบงานหลังบ้าน ระบบสต๊อกสินค้า เป็นต้น”
เลอทัด กล่าวว่า จากการเก็บข้อมูลสถิติพบว่า เมื่อมีระบบเข้ามาช่วยร้านค้า ทำให้ร้านค้นสามารถปิดการขายได้มากขึ้น 5 เท่าจากการปิดการขายด้วยการแชทเพียงอย่างเดียว
เลอทัด มองว่า ตลาดโซเชียลคอมเมิร์ซในปัจจุบันยังเป็นลักษณะกระจัดกระจายตัว และเป็น C2C มากกว่าที่จะเป็น B2C ซึ่ง LINE ต้องการเข้ามาจัดระเบียบตลาดโซเชียลใหม่ (Formalize) ด้วยการให้บริการเครื่องมือต่าง ๆ และการประสานกำลังกันระหว่างแพลตฟอร์มและบริการต่าง ๆ ของ LINE อาทิ LINE MAN, LINE TV และ Rabbit LINE PAY เป็นต้น
“จุดเด่นของเราเมื่อเทียบกับแพลตฟอร์มโซเชียลคอมเมิร์ซในตลาด คือ แชท ซึ่งสามารถต่อยอดไปทำ CRM ดูแลลูกค้า ทำการตลาดแบบแบ่งกลุ่มลูกค้า (Segmentation Marketing) และทำการตลาดแบบ Broadcast เราเชื่อว่าด้วยบริการใหม่ ๆ ที่เราจะนำออกมาอย่างต่อเนื่องจะทำให้ LINE Shopping ขึ้นเป็นผู้นำในตลาดโซเชียลคอมเมิร์ซได้ภายใน 3 ปีข้างหน้า คือ นับตั้งแต่ปี 2564 ไปจนถึงปี 2566”
