จากปัญหาสภาวะโลกร้อน และการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ซึ่งมีสาเหตุจากมนุษย์ มีความรุนแรงมากขึ้นเรื่อย ๆ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์จึงได้ร่วมกับ AIS จัดตั้ง SDG Lab (Sustainable Development Goals Lab) ขึ้นที่ อุทยานการเรียนรู้ป๋วย 100 ปี มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ศูนย์รังสิต ภายใต้แนวคิดการเน้นสนับสนุนการผลักดันให้เกิดผลกระทบด้านการพัฒนาอย่างยั่งยืนด้วยการลงมือทำ (Action Oriented) เพื่อให้คนที่มีไอเดีย ความสนใจ และความตั้งใจ ได้เข้าถึงทรัพยากร เครื่องมืออำนวยความสะดวก และโอกาสในการพัฒนาความตั้งใจไปเป็นต้นแบบแก้ปัญหาสิ่งแวดล้อม (Prototype) และเกิดผลลัพธ์ต่อสังคมอย่างเป็นรูปธรรมและยั่งยืน
- จาก “สถานีโทรทัศน์อันดับหนึ่ง” สู่ “ผู้ผลิตคอนเทนต์” อันดับหนึ่งของประเทศไทย
- กสิกรไทยจัด PossAbility Acceleration เร่งเครื่ององค์กรแห่งนวัตกรรม
SDG Lab by Thammasat และ AIS มีความตั้งใจจะเป็นสถานที่เชิงสัญลักษณ์และส่งเสริมเรื่องการลงมือทำเรื่องความยั่งยืน การออกแบบตกแต่งสถานที่จึงให้ความสำคัญกับความยั่งยืนมากที่สุด พื้นที่ทั้งหมดแบ่งเป็น Co-Working Space, Event Space, Makerspaces และ Meeting Room
ส่วนที่โดดเด่นที่สุด คือ สวนหลังคาอยู่บนดาดฟ้า (Rooftop Garden) เพื่อช่วยลดการใช้พลังงานภายในอาคารอุทยานการเรียนรู้ป๋วย 100 ปี
ผศ.ดร.ปริญญา เทวานฤมิตรกุล รองอธิการบดีฝ่ายความยั่งยืนและบริหาร ศูนย์รังสิต มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ กล่าวว่า หลังคาเขียวจะช่วยลดความร้อนเข้ามาในอาคารได้ถึง 30% หมายถึง ลดการใช้แอร์ไปได้ 30% เช่นกัน และลดคาร์บอนไดออกไซด์ได้ 30%
หากทำหลังคาเขียวโดยการปลูกหญ้าไว้บนหลังคาเท่านั้นก็จะเป็นการสิ้นเปลืองงบในการรดน้ำและตัดหญ้า ม.ธรรมศาสตร์จึงทำเป็น “หลังคาเขียวที่กินได้” คือ ทำฟาร์มปลูกพืชผักบนหลังคาของตัวอาคาร เพื่อเปลี่ยนคาร์บอนไดออกไซด์ให้เป็นอาหารที่ปลอดภัย จึงเป็นที่มาของ สวนหลังคาอยู่บนดาดฟ้า (Rooftop Garden)
สวนบนหลังคานี้ถูกพัฒนาให้เป็นต้นแบบของการทำ Smart Farm โดยการสนับสนุนด้านเทคโนโลยีจากเอไอเอส ทั้งอุปกรณ์เซ็นเซอร์ IoT ระบบบริหารจัดการฟาร์ม และเครือข่ายสัญญาณ 5G อาทิ
- ระบบ IoT Sensor สำหรับการตรวจวัดค่าในแปลง
- ระบบ IoT Controller เพื่อการควบคุม การเปิด-ปิดน้ำผ่านเครือข่ายอินเทอร์เน็ต
- เทคโนโลยี 5G และระบบ Cloud smart farm เพื่อการเก็บ และวิเคราะห์ข้อมูล
- เทคโนโลยี “iFARM” ระบบ Smart farm ที่ให้เกษตรกรสามารถปรับเปลี่ยน ตั้งค่าการควบคุมอุปกรณ์ต่าง ๆ ในฟาร์มได้อย่างง่ายดาย
โดยในแพลตฟอร์มจะมีทั้งหมด 3 ระบบ คือ
- ระบบวัดความชื้นในดิน บนแปลงผักแบบเปิด และระบบวาล์วน้ำไฟฟ้าแบบไร้สาย บนแปลงเกษตร Rooftop อาคารอุทยานการเรียนรู้ป๋วย 100 ปี ซึ่งจะทำให้การดูแลแปลงผักขนาดใหญ่เป็นเรื่องง่าย โดยเฉพาะการจัดการน้ำและใช้น้ำให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น โดยใช้เซ็นเซอร์เป็นตัววัดและส่งค่าให้ระบบคำนวณว่าดินมีความชื้น ตามที่พืชต้องการแล้วหรือไม่ หากดินชื้นพอ จะไม่ต้องรดน้ำ และเมื่อดินแห้ง ระบบจะสั่งการรดน้ำอัตโนัติ
- สถานีวัดสภาพอากาศ Co2, PM2.5 ในบริเวณโครงการการติดตั้งสถานีวัดสภาพอากาศ บนแปลงเกษตร Rooftop เพื่อดูการเปลี่ยนแปลงของอากาศ ซึ่งจะมีผลในการวิเคราะห์เพื่อสั่งการทำงานของอุปกรณ์เช่นเดียวกันและเตรียมพร้อมรับมือกับสภาวะที่เกิดขึ้น
- Model จำลองการทำงานของระบบ smart farm
เอไอเอส นำระบบ Smart Farm มายกระดับการทำเกษตรแบบเดิมที่ทำตามประสบการณ์ ปรับเพิ่มเป็นทำให้รู้ข้อมูลพืชตัวเองมากขึ้น สามารถควบคุมประสิทธิภาพผลผลิตให้คงที่ได้ ตลอดจนสามารถบริหารจัดการการใช้น้ำ ที่ถือว่าเป็นปัจจัยที่สำคัญในการทำเกษตรได้อย่างเหมาะสมมากยิ่งขึ้น โดยใช้ส่วนที่เรียกว่าเซ็นเซอร์ตรวจสอบสภาพความชื้น อุณหภูมิของดิน และส่งค่าให้ระบบวิเคราะห์ เพื่อวางแผนจัดการได้อย่างมีประสิทธิภาพ
หลักการทำงานของ Smart Farm คือ การนำอุปกรณ์และเซ็นเซอร์ เชื่อมต่อกับสัญญาณอินเทอร์เน็ต และส่งข้อมูลขึ้น Platform และสั่งการทำงานอุปกรณ์ให้ทำงาน ซึ่งจะสามารถสั่งการทำงานจากที่ไหนก็ได้
ทั้งนี้ ประโยชน์ของ Smart Farm ที่เข้ามาช่วยเหลือภาคการเกษตร ได้แก่
- การบริหารจัดการอาหาร Smart Farm สามารถเข้ามาช่วยในเรื่องการ Scale up การผลิตอาหารได้ โดยทำเป็นระบบอัตโนมัติ ไม่เพียงแต่ได้ปริมาณที่เพิ่มขึ้น แต่ Smart Farm จะช่วยคงคุณภาพของผลผลิตได้ จากการที่รู้ข้อมูลและควบคุมสิ่งต่าง ๆ เหล่านั้นให้มีคุณภาพที่คงที่ บุคคลทั่วไปที่ไม่ใช่เกษตรกรหรือผู้ประกอบการ ก็สามารถปลูกพืชผักเพื่อกินเองในครัวเรือนได้
- การใช้ทรัพยากรทางธรรมชาติ เนื่องจากน้ำเป็นปัจจัยหลักของการทำเกษตร ดังนั้น การรู้ข้อมูลและวางแผนการใช้น้ำให้ได้อย่างเหมาะสม จะช่วยลดปริมาณการใช้น้ำที่มากเกินความต้องการของพืชได้
- การรับมือการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ไม่ว่าจะเป็นการใช้ปุ๋ยที่ไม่เหมาะสม หรือการใช้น้ำที่มากเกินความต้องการ Smart Farm ที่มี Sensor ที่เป็นเสมือนตาในการมองเห็นข้อมูลและความต้องการพืชจะเข้ามาดูแลในส่วนตรงนี้ได้
ทั้งนี้ สหประชาชาติ คาดการณ์ว่า โลกอาจจะทนความร้อนเพิ่มได้ 2 องศาเซลเซียส และคิดว่ามีเวลาถึงประมาณปี 2050 หรืออีก 30 ปี ที่จะชะลอความเร็วของการปล่อยก๊าซเรือนกระจกลง และค่อย ๆ เปลี่ยนการพัฒนาไปสู่การพัฒนาที่ยั่งยืน ผศ.ดร.ปริญญา กล่าวว่า แต่เมื่อ 2 ปีที่แล้วกลับพบว่าอุณหภูมิที่สูงขึ้นเพียง 1 องศายังสร้างผลกระทบอย่างมากจึงทำการปรับแผนใหม่
“สหประชาชาติบอกว่าเราจะร้อนเกินกว่า 1.5 องศาเซลเซียสไม่ได้ เพราะถ้าเกิดถึง 2 องศาเซลเซียสคงจะสายเกินไป และเกินการแก้ไข จะเกิดเป็นหายนะ แต่ก็มีคำถามว่าอีกครึ่งองศาจะถึงเมื่อไร คำตอบคืออีก 10 ปี หมายความว่าเราจะช้าไม่ได้ เราต้องทำอะไรเดี๋ยวนี้ เราจึงเริ่มลงมือทำ Rooftop Garden ขึ้นมา และร่วมมือกับเอไอเอสทำให้เป็น Smart Farm ต้นแบบ”
เป้าหมาย คือ ทำอย่างจริงจัง ชักชวนผู้คนที่คิดเหมือนกันว่าต้องการการเปลี่ยนแปลงทันที มาช่วยกันทำ เปลี่ยนแปลงทันทีมี 2 เรื่อง คือ ลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ และนำก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์กลับคืนมา “สวนหลังคา” คือ การดูดกลับคืนมา กลับมาเปลี่ยนเป็นอาหารซึ่งมีความปลอดภัย
AIS เดินหน้าพัฒนาประเทศไทยอย่างยั่งยืน
ความร่วมมือในครั้งนี้เป็นการตอกย้ำความเป็นผู้นำของ AIS ในการเดินหน้านำเทคโนโลยีและบริการดิจิทัลขับเคลื่อนประเทศไทยในทุกมิติ ทั้งเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อม สู่เป้าหมายการพัฒนาประเทศไทยอย่างยั่งยืน
แนวคิดและเป้าหมายของการสร้าง SDG Lab by Thammasat & AIS ศูนย์ปฏิบัติการเพื่อความยั่งยืนแห่งแรกในเอเชีย ที่เป็นมากยิ่งกว่า Co-working Space แต่เป็นพื้นที่สำหรับนวัตกรทั่วโลก ที่เน้นการลงมือทำเพื่อสร้างความยั่งยืน (Action Oriented) สามารถเข้ามาร่วมสร้างนวัตกรรมต้นแบบเพื่อแก้ไขปัญหาเรื่องสิ่งแวดล้อม พร้อมทดลอง ทดสอบ บนเครือข่ายและสภาพแวดล้อมจริง
ปรัธนา ลีลพนัง หัวหน้าคณะผู้บริหารด้านการตลาดกลุ่มลูกค้าทั่วไป บริษัท แอดวานซ์อินโฟร์เซอร์วิส จำกัด (มหาชน) หรือ เอไอเอส กล่าวว่า เอไอเอสให้การสนับสนุน SDG Lab ในด้านโครงข่าย 5G และอุปกรณ์ IoT รวมถึงระบบอัตโนมัติต่าง ๆ เอไอเอสวางวัตถุประสงค์การเข้าร่วมกับ ม.ธรรมศาสตร์ ไว้ 5 วัตถุประสงค์ คือ
1.ความยั่งยืนของสภาพอากาศ (Climate Change) เอไอเอสจะช่วยลดโลกร้อนอย่างไร หรือทำอย่างไรให้สามารถปรับปรุงสภาวะที่เป็นอยู่วันนี้ และไม่เข้าไปสู่สภาวะอากาศที่ย่ำแย่ในอนาคต
2.การพัฒนาความเป็นอยู่ของเมือง จะใช้เทคโนโลยี 5G เป็นส่วนหนึ่งที่จะทำให้ความเป็นอยู่และการพัฒนายั่งยืนมากขึ้น ในอีกไม่กี่เดือนข้างหน้าจะเริ่มเห็นรถยนต์ไร้คนขับวิ่งอยู่ไหนมหาวิทยาลัยที่ใช้เทคโนโลยี 5G เข้ามาควบคุม และยังเป็นรถพลังงานไฟฟ้าอีกด้วย ซึ่งเอไอเอสจะใช้ธรรมศาสตร์เป็นจุดทดสอบของการพัฒนาเมือง
3.การพัฒนาความเป็นอยู่ด้วยวัสดุรีไซเคิลต่าง ๆ โดยใช้เทคโนโลยีเข้ามาช่วย
4.เรื่องการใช้เทคโนโลยีกับการเกษตร ทำ Smart Farming ซึ่ง SDG Lab เป็นที่เดียวในภูมิภาคเอเชียที่มีสวนหลังคา (Rooftop Garden) ซึ่งจะเป็นสถานที่ที่สร้างการรับรู้ สร้างการเรียนรู้ ให้คนสร้างการเป็นอยู่อย่างยั่งยืนมากขึ้น
5.การพัฒนาคน ซึ่งเป็นสิ่งสำคัญที่สุด เพราะ SDG Lab ไม่ใช่โรงงานหรือสถานที่ผลิต แต่เป็นที่สร้างแรงบันดาลใจ ให้ความรู้ และมีส่วนร่วมกับคนในมหาวิทยาลัย และในสังคมวงกว้าง
“ปกติคนจะรู้จักเอไอเอสในบทบาทการให้บริการเครือข่าย ให้บริการอินเทอร์เน็ตเป็นส่วนสำคัญ แต่อีกส่วนหนึ่งเราอยากจะพัฒนาสังคมให้ยั่งยืนไปพร้อมกัน ซึ่งทั้ง 5 เรื่องนี้ก็จะพัฒนาคู่ขนานพร้อม ๆ กันไป เรามีแผนระยะกลางและระยะยาวใน 5-10 ปี ซึ่งภายใน 5 ปีนี้คาดว่าจะเกิดการตระหนักรู้ในสังคมในระดับประเทศมากขึ้น” ปรัธนา กล่าว
สร้างต้นแบบนวัตกรรม
นอกจากสวนบนหลังคาแล้ว ผศ.ดร.ปริญญา กล่าวว่า SDG Lab แห่งนี้ ทางมหาวิทยาลัยต้องการทำให้เกิดการลงมือคิด และทำต้นแบบออกมา โดยไม่ได้มุ่งไปที่เครื่องจักรขนาดใหญ่ แต่ต้องการของชิ้นเล็ก ๆ ที่ทุกคนสามารถซื้อไปใช้ที่บ้านได้ ราคาถูกเหมือนกับโทรศัพท์มือถือ ที่ทุกคนสามารถจะมีได้
ประเทศไทยมีปัญหาใหญ่ของสาเหตุโลกร้อน คือ การไม่แยกเศษอาหาร ขยะ 60% ของประเทศไทย คือ ขยะเศษอาหาร เพราะประเทศไทยอุดมสมบูรณ์ มีอาหารเยอะและกินเหลือกันเยอะ และร้ายที่สุด คือ ขยะเศษอาหารปล่อยแก๊สมีเทนโดยตรง และแก๊สมีเทนร้ายแรงกว่าคาร์บอนไดออกไซด์ 30 เท่าในการทำให้เกิดโลกร้อน ซึ่งการกำจัดขยะของประเทศไทย 80% อยู่ในที่เปิดโล่งนั่นหมายถึงการปล่อยแก๊สมีเทนโดยตรง
หนึ่งในวิธีกำจัด คือ การนำเครื่องที่นำมาใช้ทิ้งเศษอาหารและปั่นแห้งให้เป็นปุ๋ยและนำไปใส่ต้นไม้ แต่เครื่องกำจัดเศษอาหารและเปลี่ยนเป็นปุ๋ยนี้ราคาแพงมาก หลายหมื่นบาท แต่ถ้าสามารถทำให้มันถูกได้เหมือนกับพัดลม ที่ทุกบ้านซื้อไปใช้ได้ ก็จะสามารถซื้อไปใช้กันได้ทั้งประเทศ ซึ่งเป็นตัวอย่างของต้นแบบที่ส่งเสริมให้เกิด SDG Lab
อีกกรณีหนึ่ง คือ การนำความร้อนจะคอมเพรสเซอร์แอร์กลับมาใช้เป็นพลังงาน ซึ่งก็จะทำให้ไม่ต้องปล่อยความร้อนไปมากกว่านี้และนำความร้อนที่ปล่อยออกไปกลับมาใช้เป็นพลังงาน เป็นแอร์ในคอนเซ็ปต์ Circular Design
SDG Lab รันโดยมธ. หนุนเทคฯ โดยเอไอเอส
SDG Lab จะดำเนินการโดย ม.ธรรมศาสตร์ เพื่อสร้างผลกระทบในระยะยาว มีเอไอเอสเป็นส่วนเสริมด้านทีมงานเอไอเอสมีทีมค้นคว้าและพัฒนา (R&D) อยู่แล้วที่ร่วมกับทางชุมชนและมหาวิทยาลัยต่าง ๆ มีทีมงานที่นำเทคโนโลยีเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของการพัฒนาด้านการศึกษา
ปรัธนา กล่าวว่า ก่อนหน้านี้เอไอเอสมีโครงการที่ชื่อว่า AIAP (AIS IoT Alliance Program) มีการสร้างเป็นแพลตฟอร์มขึ้นมาให้คนที่เข้ามามีส่วนร่วมนำเทคโนโลยีเข้าไปใช้ นำไปทำประโยชน์ต่าง ๆ หนึ่งในนั้นก็จะเป็นเรื่องสภาพอากาศ เรื่องการเกษตร ซึ่งสามารถสมัครสมาชิกได้โดยไม่มีค่าใช้จ่าย
ปัจจุบันมีเคสที่นำ IoT ไปใช้ทำ Smart Farm ในสวนลองกองภาคใต้ประมาณ 5-6 สวน โดยใช้ซอฟต์แวร์และฮาร์ดแวร์จากเอไอเอส อีกสวนหนึ่งพัฒนาอยู่ที่แม่ฟ้าหลวง ซึ่งก็จะค่อย ๆ ขยายไปเรื่อย ๆ เพราะประเทศไทยเป็นประเทศเกษตรกรรม
ผศ.ดร.ปริญญา กล่าวเสริมว่า ทั้งหมดนี้ลำพังเพียง ม.ธรรมศาสตร์คงทำไม่สำเร็จ เพราะ SDG Lab ต้องการองค์ความรู้และความเชี่ยวชาญ เครื่องมือของเอไอเอส และนำการวิจัยประกอบกับการเรียนการสอนเข้ามารวมกันก็จะเกิดการเปลี่ยนแปลง ซึ่งไม่ได้เปลี่ยนแปลงแค่มหาวิทยาลัย แต่จะเป็นการเปลี่ยนแปลงทั้งประเทศ อาจจะรวมถึงประเทศอื่น ๆ ด้วย ซึ่งมีทูตจากหลายประเทศเข้ามาดูงานที่นี่ เข้ามาเยี่ยมอาคารแห่งนี้
“เมื่อ SDG Lab เสร็จ เมื่อมีโครงการ ส่วนตัวเชื่อว่าจะสร้างการเปลี่ยนแปลง และเราจะเชิญชวนผู้คนที่คิดเหมือนกันมารวมกันและมาเปลี่ยนแปลงด้วยกัน เป้าหมายคือไม่ใช่เพื่อธรรมศาสตร์หรือเอไอเอส ไม่ใช่เพื่อทำของมาขายคนมีเงิน แต่เราต้องการทำของมาขายทุกคนที่ต้องการและสามารถซื้อไปใช้งานที่บ้านได้ ถึงจะทำให้เปลี่ยนโลกได้ ผมเชื่อว่าเราทำให้สำเร็จได้” ผศ.ดร.ปริญญา กล่าว
UN ชื่นชมพร้อมช่วยขยายผล
กีต้า ซับบระวาล ผู้ประสานงาน สหประชาชาติ ประจำประเทศไทย เดินทางมาดูงานที่ SDG Lab by Thammasat & AIS ได้กล่าวว่า รู้สึกดีใจมากที่ได้มาเยี่ยมชมที่นี่ ที่ถูกพัฒนาขึ้นโดยมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์และทีมงานของเอไอเอส
“เป็นเรื่องที่ยอดเยี่ยมมากที่ Partner ทั้งสองฝ่ายมาทำงานร่วมกัน ที่นี่เป็นสถานที่ที่สร้างแรงบันดาลใจอย่างมาก เป็นสถานที่ที่เหมาะกับคนรุ่นใหม่ที่จะเข้ามาหาโซลูชั่นเข้ามาแก้ปัญหากับความท้าทายในทุกวันนี้ เช่น การเปลี่ยนแปลงของสภาพอากาศ ฉันจะคอยดูความก้าวหน้าของ SDG LAB อย่างใกล้ชิด และรอคอยที่จะเห็นต้นแบบของอุปกรณ์ต่าง ๆ”
ในฐานะ UN จะดูว่าสามารถสนับสนุนอะไรให้ได้บ้าง และนำต้นแบบบางตัว ออกไปสู่ตลาดเพื่อประเทศและโลกในอนาคต ความร่วมมือระหว่างภาคการศึกษาและบริษัทเอกชนในครั้งนี้เป็นสิ่งที่น่ายินดีอย่างมาก
“ที่มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์พาไปชมสวนบนดาดฟ้า เป็นแนวคิดแห่งอนาคตมาก ๆ และฉันเชื่อว่าในอนาคตอาคารหลาย ๆ อาคารก็จะเป็นลักษณะเช่นเดียวกัน มีต้นไม้ปกคลุมอยู่บนตัวตึกก็จะช่วยลดคาร์บอนไดออกไซด์ ฉันหวังว่าสิ่งที่ทำอยู่นี้จะเป็นอนาคตของวันข้างหน้า” กีต้า กล่าวทิ้งท้าย