TH | EN
TH | EN
หน้าแรกBusinessเบนซ์พร้อมลุยสนับสนุนตลาดยานยนต์ไฟฟ้าไทย เตรียมเข็นโมเดลใหม่รั้งแนวหน้ารถระดับพรีเมียม

เบนซ์พร้อมลุยสนับสนุนตลาดยานยนต์ไฟฟ้าไทย เตรียมเข็นโมเดลใหม่รั้งแนวหน้ารถระดับพรีเมียม

เมอร์เซเดส-เบนซ์ ค่ายผู้ผลิตรถยนต์แบรนด์หรูสัญชาติยุโรปประกาศจุดยืนพร้อมสนับสนุนเสริมแกร่งอุตสาหกรรมตลาดยานยนต์ไฟฟ้าไทย พร้อมเตรียมออกรถยนต์รุ่นใหม่บุกตลาดต่อเนื่องในปี 2565 โดยเชื่อมั่นตลาดรถยนต์ไทยยังสามารถขยายตัวเติบโตต่อไปได้ หลังผลประกอบการในปี 2564 ที่ผ่านมา ยังส่งสัญญาณดีมานด์ที่แข็งแกร่งด้วยยอดขายรถยนต์ไฮเอนด์และรถยนต์พลังงานไฟฟ้าที่เติบโตขึ้น ช่วยดันยอดขายเบนซ์โดยรวมโต 13% เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า ขณะที่เฉพาะรุ่นปลั๊กอินไฮบริดโต 14%

ความเคลื่อนไหวของค่ายเบนซ์ครั้งนี้มีขึ้นระหว่างงานแถลงข่าวเพื่อเปิดเผยผลประกอบการในปีที่ผ่าน พร้อมแสดงวิสัยทัศน์ ตลอดจนทิศทางแนวโน้ม รวมถึงกลยุทธ์ทางธุรกิจของเบนซ์ตลอดทั้งปี 2565 หลังทางค่ายเพิ่งจะดำเนินการรีแบรนด์จาก “เดมเลอร์ เอจี” เป็น “เมอร์เซเดส-เบนซ์ กรุ๊ป เอจี” เมื่อวันที่ 1 กุมภาพันธ์ที่ผ่านมา โดยมีเป้าหมายเพื่อผนวกรวมทรัพยากรและสรรพกำลังของเบนซ์ให้สามารถออกผลิตภัณฑ์และบริการที่สามารถตอบโจทย์ความต้องการของผู้บริโภคชาวไทยได้อย่างครบวงจร

ทั้งนี้ โรลันด์ โฟล์เกอร์ ประธานบริหาร บริษัท เมอร์เซเดส-เบนซ์ (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า การสนับสนุนอุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้าไทยให้เติบโต เป็นส่วนหนึ่งของวิสัยทัศน์ของเบนซ์ที่เตรียมผันตัวเป็นผู้ผลิตรถยนต์ไฟฟ้าแบบเต็มตัวภายในปี 2030 เป็นต้นไป ซึ่งในช่วงที่ผ่านมา ทางเบนซ์ ได้มีการดำเนินการหลายอย่างเพื่อให้เบนซ์พร้อมเป็นผู้ผลิตรถยนต์ไฟฟ้าชั้นแนวหน้าของไทย ครอบคลุมตั้งแต่การผลิตรถยนต์ การประกอบแบตเตอรี่ การปล่อยสินเชื่อ การประกันภัย และการบริการดูแลซ่อมบำรุงหลังการขาย ไปจนถึงการร่วมมือกับหน่วยงานในพื้นที่เพื่อติดตั้งสถานีชาร์จรถยนต์ไฟฟ้า

ประธานบริหารเมอร์เซเดส เบนซ์ กล่าวว่า รถรุ่น New EQS ของทางค่ายจะเป็นรถยนต์ไฟฟ้า 100% รุ่นแรกที่ผลิตและจำหน่ายในไทย รวมถึงตัวแบตเตอรี่ที่แม้จะไม่ได้ผลิตในไทย แต่ก็ยังนำชิ้นส่วนมาประกอบในไทย ตอกย้ำให้เห็นว่า เบนซ์ขณะนี้มีศักยภาพเพียงพอที่จะดันให้ไทยเป็นฮับผลิตยานยนต์ไฟฟ้าภายในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ซึ่งรถยนต์เบนซ์ รุ่น EQS นี้ จะพร้อมจำหน่ายภายในปีนี้ ด้วยสนนราคาที่บอกได้ว่าน่าตกใจแน่นอน

ด้านบีเยิร์น กุซเทรา รองประธานบริหารฝ่ายขายและการตลาด บริษัท เมอร์เซเดส-เบนซ์ (ประเทศไทย) จำกัด เสริมว่า นอกจากการเปิดตัวรถยนต์ไฟฟ้าระดับไฮเอนด์แล้ว ทางค่ายยังเตรียมต่อยอดโครงการ Charge to Change เฟส 2 หลังจากที่เฟสแรกประสบความสำเร็จอย่างดี โดยเตรียมกระจายการติดตั้งสถานีชาร์จรถยนต์ไฟฟ้าให้ครอบคลุมจังหวัดสำคัญ เช่น เชียงใหม่ ก่อนย้ำว่า เป้าหมายของโครงการดังกล่าว ตั้งใจอำนวยความสะดวกและปรับเปลี่ยนพฤติกรรมของผู้บริโภคชาวไทยให้คุ้นเคยกับเทคโนโลยีรถยนต์ไฟฟ้ามากขึ้น 

“เรายังคงมุ่งมั่นที่จะเป็นหนึ่งในอุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้า ส่วนโครงสร้างพื้นฐานอย่างสถานีชาร์จเป็นเรื่องที่เบนซ์วางบทบาทในฐานะผู้ให้การสนับสนุนเท่านั้น ซึ่งจุดประสงค์ของโครงการ Charge to Change ของเรา ตั้งเป้าที่จะช่วยปรับเปลี่ยนพฤติกรรมผู้บริโภคคนไทยในการชาร์จรถไฟฟ้ามากกว่า” กุซเทรากล่าว ก่อนย้ำถึงความโดดเด่นของยานยนต์ไฟฟ้าของทางค่ายตรงที่เป็นหนึ่งในรถยนต์ไฟฟ้าไม่กี่รุ่นที่มีอยู่ในท้องตลาดในปัจจุบันที่สามารถวิ่งได้ระยะทางมากกว่า 700 กิโลเมตรต่อการชาร์จเต็ม 1 รอบ ซึ่งโดยส่วนตัว กุซเทรามองว่าระยะทางดังกล่าวก็เพียงพอต่อการใช้งานได้สะดวกสบาย

ในส่วนของปี 2564 ที่ผ่านมา เมอร์เซเดส-เบนซ์ ประเทศไทย มองเห็นความต้องการของผู้บริโภคขยับเพิ่มสูงขึ้นตลอดทั้งปี โดยในช่วงครึ่งปีแรก ยอดขายรถยนต์คอมแพ็คของเมอร์เซเดส-เบนซ์ เพิ่มขึ้น 58% หลังการเปิดตัวรถยนต์รุ่น A-Class ใหม่และรุ่น GLA ใหม่ ขณะที่ในกลุ่มรถยนต์หรู (Luxury) และกลุ่มเอสยูวี (SUV) มียอดขายเพิ่มขึ้น 27% และ 29% ตามลำดับ

สำหรับกลุ่มรถยนต์คอมแพกต์ หากรวมกับยอดขายในช่วงครึ่งปีหลัง ก็นับว่าเติบโตขึ้นถึง 113% เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า สะท้อนให้เห็นว่ารถยนต์รุ่นนี้เป็นที่นิยมสำหรับผู้บริโภคชาวไทย ส่วนภาพรวมของไตรมาสที่ 4 ยอดขายของเมอร์เซเดส-เบนซ์เพิ่มขึ้น 28.1% ขณะที่ยอดขายของรถยนต์รุ่นปลั๊กอินไฮบริดเติบโตขึ้นถึง 14% เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า

“ความสำเร็จดังกล่าวสะท้อนให้เห็นว่า เมอร์เซเดส-เบนซ์เลือกใช้กลยุทธ์ที่เหมาะสมในการนำเสนอผลิตภัณฑ์ที่หลากหลายที่สุดในตลาด PHEV ระดับลักชัวรี และในขณะเดียวกัน เรายังสามารถตอบสนองความต้องการของลูกค้าได้ดี โดยเฉพาะอย่างยิ่งในปีที่ลูกค้าต้องปรับตัวในสถานการณ์โควิดต่อเนื่องเป็นปีที่สอง เมอร์เซเดส-เบนซ์ปิดปี 2564 ด้วยยอดขายรวมที่เพิ่มขึ้น 13% เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า แม้ว่าตลาดรถยนต์ลักชัวรี โดยรวมในปี 2564 จะหดตัวลง 9% ก็ตาม สำหรับปีนี้ เราได้เตรียมรถยนต์รุ่นใหม่ทั้งจากแบรนด์ Mercedes-Benz, Mercedes-EQ, Mercedes-Maybach และ Mercedes-AMG โดยมี “The new EQS” เป็นไฮไลต์ ซึ่งในตอนนี้ มีลูกค้าแสดงความสนใจผ่านช่องทางดิจิทัลมามากกว่า 500 รายทั้งที่งานมหกรรมยานยนต์และการจัดงานเปิดตัวพิเศษที่เซ็นทรัลเวิลด์และเอ็มโพเรียมในช่วงปลายปีที่ผ่านมา” กุซเทรา กล่าว

โฟล์เกอร์ ประธานบริหารเมอร์เซเดส-เบนซ์ (ประเทศไทย) กล่าวเพิ่มเติมว่า แม้ปีที่ผ่านมาจะมีปัจจัยท้าทายหลายประการจากสถานการณ์โควิด-19 และปัญหาชะงักงันในห่วงโซ่อุปทาน ตลอดจนการขาดแคลนเซมิคอนดักเตอร์ แต่ผลการดำเนินงานทั่วโลกของเมอร์เซเดส-เบนซ์ ยังคงแข็งแกร่งด้วยยอดขายที่มากกว่า 2 ล้านคัน

โดยรถยนต์ระดับไฮเอนด์ ไม่ว่าจะเป็น Mercedes-Maybach, Mercedes-AMG และ G-Class ได้สร้างสถิติใหม่ในเรื่องยอดขาย ส่วนรุ่นยนต์รุ่น EQS ซึ่งเป็นรถยนต์ไฟฟ้า 100% ที่วิ่งได้ระยะทางไกลที่สุดในตลาดปัจจุบันก็ทำยอดขายได้อย่างดีเยี่ยม เมอร์เซเดส-เบนซ์จึงพร้อมที่จะก้าวสู่ยุคใหม่ของการนำเสนอยานยนต์ไฟฟ้าได้อย่างแข็งแกร่ง

“ยอดขายของรถยนต์รุ่น S-Class เพิ่มขึ้น 40% เป็น 87,064 คัน โดยยอดขายในประเทศจีนคิดเป็น 35.5% ของความต้องการรถยนต์รุ่นนี้จากทั่วโลก ในขณะที่ยอดขาย G-Class ก็เพิ่มขึ้นแบบสร้างสถิติใหม่ที่ 41,174 คัน ส่วนยอดขาย Mercedes-AMG ทำได้ 145,979 คัน เพิ่มขึ้น 16.7% เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า สำหรับยอดขาย Mercedes-Maybach อยู่ที่ 15,730 คัน หรือเพิ่มขึ้น 50.7% ด้วยแรงหนุนจากประเทศจีนซึ่งรถยนต์ Mercedes-Maybach สามารถทำยอดขายได้ในอัตราที่มากกว่า 900 คันในแต่ละเดือน” โฟล์เกอร์ กล่าว

ในส่วนของ รถยนต์ปลั๊กอินไฮบริดและรถยนต์ไฟฟ้า โฟลกเกอร์เปิดเผยว่า รถยนต์ไฟฟ้าของเบนซ์ ทำสถิติยอดขายสูงถึง 227,458 คัน หรือเพิ่มขึ้น 69.3% โดย 48,936 คันในจำนวนนั้นเป็นรถยนต์ไฟฟ้าแบตเตอรี่ (BEV) จากแบรนด์ Mercedes-EQ ที่ทำยอดขายเพิ่มขึ้นเป็นประวัติการณ์ถึง 154.8% และตั้งแต่รถยนต์รุ่น EQS ออกวางจำหน่ายในตลาดโลกในเดือนสิงหาคม 2564 รถยนต์ไฟฟ้ารุ่นแฟลกชิพคันนี้ได้รับคำสั่งซื้อเข้ามามากถึง 16,370 คัน สำหรับในประเทศไทย

อย่างไรก็ตาม เมื่อพิจารณาจากยอดรถยนต์จดทะเบียนของทางค่าย พบว่าปีที่ผ่านมามียอดรถยนต์จดทะเบียนใหม่ลดลงจาก 11,862 คันในปี 2563 มาอยู่ที่ 9,820 คันในปี 2564 ซึ่งส่วนหนึ่งเป็นผลมาจากการขาดแคลนเซมิคอนดักเตอร์ทำให้เกิดความล่าช้าในการผลิต โดย โฟล์กเกอร์มั่นใจว่า ปัญหาดังกล่าวจะคลี่คลายภายในปีหน้า และทำให้ค่ายเบนซ์ ทวงตำแหน่งค่ายรถยนต์ระดับพรีเมียมชั้นนำของตลาด

ขณะเดียวกัน แม้ว่าเบนซ์จะตั้งเป้าเป็นผู้ผลิตรถยนต์ไฟฟ้า 100% ภายในปี 2030 แต่เบนซ์ก็พร้อมจะรับฟังความต้องการของผู้บริโภคในไทยเป็นหลักด้วย หมายความว่า ภายในปี 2030 เบนซ์มีความพร้อมสำหรับการผลิตรถยนต์ไฟฟ้า 100 % ออกจำหน่าย ทว่า ถ้าผู้บริโภคชาวไทยไม่พร้อม เบนซ์ก็ยินดีที่จะประวิงเวลา เพื่อให้การสนับสนุนจนกว่าไทยจะเอ่ยปากว่าพร้อมก้าวเดินไปกับเบนซ์

นอกจากแคมเปญและรถยนต์ใหม่ ๆ ที่ทางเบนซ์ พร้อมเข็นออกมาขับเคี่ยวกับคู่แข่งในตลาดแล้ว เบนซ์ยังตอกย้ำฐานะผู้นำตลาดด้วยการทรานฟอร์มบริการหลังการขายและ การให้การดูแลเรื่องประกันภัยและสินเชื่ออย่างเต็มที่ โดย พุทธิ ตุลยธัญ รองประธานบริหาร ฝ่ายบริการหลังการขาย เมอร์เซเดส-เบนซ์ (ประเทศไทย) กล่าวว่า บริการหลังการขายในปี 2565 นี้ นอกจากจะต่อยอดจากโครงการต่าง ๆ ที่ได้ดำเนินการไปในปี 2564 ไม่ว่าจะเป็น ข้อเสนอส่วนลดพิเศษผ่านแคมเปญ Back in Shape แคมเปญส่วนลดค่าแรง 50% รวมถึงแคมเปญส่วนลดน้ำท่วมและอุบัติเหตุ ตลอดจนการรีแบรนด์โปรแกรม “MBSP” เพื่อนำเสนอแพ็กเกจที่เข้าถึงง่ายขึ้นและแผนนำเสนอสิทธิพิเศษที่ดียิ่งขึ้นแล้ว ในปี 2565 นี้ทางค่ายจะยกระดับบริการด้านดิจิทัลอย่างต่อเนื่อง ทั้งในส่วนของการมอบข้อเสนอแบบเฉพาะบุคคลให้ลูกค้าได้รับข้อเสนอที่เหมาะสมในเวลาที่เหมาะสม โดยลูกค้าจะได้รับการแจ้งเตือนบริการและข้อเสนอผ่านทางไดเรกเมลหรือข้อความที่ประสานเข้ากับการจองนัดหมายออนไลน์ได้ทุกที่ทุกเวลาเพื่อให้แน่ใจว่า ลูกค้าได้รับความสะดวกสบายสูงสุด

“เราพร้อมนำเสนอผลิตภัณฑ์ที่ดีที่สุดเสมอ ทั้งในส่วนของการนำเสนออะไหล่ Star Parts และการพัฒนาผลิตภัณฑ์ที่มีอยู่อย่างต่อเนื่อง ไม่ว่าจะเป็นอะไหล่ REMAN น้ำมันเครื่อง MB Oil ยางรถยนต์ MB Tyres รวมถึงผลิตภัณฑ์ในส่วนของของประดับตกแต่ง (Accessories) และ ของสะสม (Collections) สำหรับเมอร์เซเดส-เบนซ์ทุกรุ่น พร้อมขยายระยะเวลาการรับประกันให้กับลูกค้าที่ไม่สะดวกเข้ามารับบริการในสถานการณ์โควิด-19 โดยในปี 2565 นี้ เราจะยังคงโฟกัสไปที่ภารกิจในการมอบประสบการณ์ที่ดีที่สุดให้กับลูกค้า ทั้งในเรื่องผลิตภัณฑ์และบริการผ่านช่องทางดิจิทัล ด้วยข้อเสนอแบบเฉพาะบุคคล ความช่วยเหลือส่วนบุคคล และการติดต่อลูกค้าผ่านช่องทางออนไลน์ อย่าง Mercedes me Store เพื่อมอบแพ็กเกจเสริมดิจิทัลที่อัปเดตทั้งหมดเพื่อประโยชน์สูงสุดของลูกค้า พร้อมทั้งพัฒนาข้อเสนอสุดพิเศษของ MBSP อย่างต่อเนื่องเพื่อให้แน่ใจว่าลูกค้าเมอร์เซเดส-เบนซ์จะได้รับประสบการณ์ที่ดียิ่งขึ้นตลอดทั้งปี” พุทธิ กล่าว

ขณะที่ ศุภวุฒิ จีรมนัสนาคร กรรมการผู้จัดการบริษัท เมอร์เซเดส-เบนซ์ ลีสซิ่ง (ประเทศไทย) กล่าวว่า แม้ปี 2564 ที่ผ่านมา จะเป็นปีที่ท้าทาย แต่ยอดสินเชื่อใหม่ยังคงมีอัตราการเติบโตที่ 12% หรือคิดเป็นมูลค่ากว่า 14,000 ล้านบาท ซึ่งหากประเมินจากอัตราการทำสินเชื่อใหม่ในไตรมาสที่ 4 จะเห็นได้ว่ามีอัตราการเติบโตมากขึ้นถึง 41% เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันในปี 2563 ส่งผลให้เมอร์เซเดส-เบนซ์ ลีสซิ่ง ประเทศไทย มียอดธุรกิจรวมมูลค่ากว่า 42,000 ล้านบาท

“เราต้องขอขอบคุณในความไว้วางใจของลูกค้าที่ทำให้เรายังคงเป็นทางเลือกแรกของลูกค้าในการทำสินเชื่อรถยนต์ (First choice provider) โดยทุก ๆ 1 ใน 2 ของลูกค้าที่ซื้อรถยนต์เมอร์เซเดส-เบนซ์ จะเข้ามาทำสินเชื่อกับเรา ซึ่งในปี 2565 เรามีกลยุทธ์ที่จะเสริมสร้างความแข็งแกร่งให้กับธุรกิจของเรา โดยมุ่งเน้นไปที่การพัฒนาผลิตภัณฑ์ทางการเงินที่ตอบโจทย์กลุ่มลูกค้าเพื่อการครอบครองรถยนต์เมอร์เซเดส-เบนซ์ ได้ง่ายขึ้น รวมไปถึงข้อเสนอสุดพิเศษที่ถูกออกแบบมาเฉพาะสำหรับลูกค้าปัจจุบัน หรือลูกค้ากลุ่มที่เคยทำสัญญากับเรา โดยอีกหนึ่งธุรกิจที่สำคัญของเราอย่างธุรกิจประกันภัย Mercedes-Benz Protection ซึ่งครองอันดับหนึ่งมาอย่างต่อเนื่องในด้านธุรกิจประกันภัยของลูกค้าเมอร์เซเดส-เบนซ์ ด้วยส่วนแบ่งทางการตลาดถึง 60%”

สำหรับในปี 2565 นี้ ศุภวุฒิกล่าวว่า ได้มีการผลักดันและขยายช่องทางการเข้าถึง เพื่อให้ลูกค้าซื้อประกันภัยได้สะดวกและง่ายยิ่งขึ้นผ่านช่องทางออนไลน์ ตลอดจนเดินหน้าพัฒนาบริการด้านอื่น ๆ ของบริษัท เพื่อเพิ่มช่องทางการให้บริการแบบออนไลน์ ทำให้ลูกค้าเบนซ์มั่นใจได้ว่าจะได้รับประสบการณ์ในการใช้งานที่ดีที่สุด

ในส่วนของข้อกังวลเกี่ยวกับสถานการณ์ที่ไม่สู้ดีในแวดวงประกันภัยในช่วงเวลานี้ ศุภวุฒิยืนยันว่า ลูกค้าสินเชื่อของเบนซ์จะไม่ได้รับผลกระทบใด ๆ และยังคงได้รับความคุ้มครองตามเงื่อนไขที่ระบุไว้ในกรมธรรม์ไม่เปลี่ยนแปลง

บทความอื่น ๆ ที่น่าสนใจ

BMW ร่วมกับ EVme มอบประสบการณ์เช่ารถยนต์ไฟฟ้า MINI cooper SE และ BMW iX3 แบบครบวงจร

RentSpree สตาร์ตอัพไทยในอเมริกา สร้างรายได้กว่า 300 ล้านบาทในปี 2021

STAY CONNECTED

0แฟนคลับชอบ
440ผู้ติดตามติดตาม
spot_img

Lastest News

MUST READ