สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) แถลงแผนยุทธศาสตร์ ก.ล.ต. ปี 2564 – 2566 ภายใต้แนวคิด “Strengthening Resilient Future”
- ยุคโควิด คนไทยใช้โมบายแบงกิ้งอันดับหนึ่งของโลก K PLUS ครองแชมป์ในไทย
- ดีลหมื่นล้าน ‘เอสเอฟ’ ยักษ์ใหญ่ขนส่งจีน ซื้อหุ้น ‘เคอร์รี่’ 51.8%
ก.ล.ต. เดินหน้าขับเคลื่อน 8 แผนยุทธศาสตร์ปี 2564 – 2566 ตอบโจทย์ 5 เป้าหมาย “ฟื้นฟูและเข้มแข็ง – ยั่งยืน – เข้าถึง – แข่งได้และเชื่อมโยง – เชื่อถือได้” ครอบคลุมและเชื่อมโยงทุกมิติกับแผนยุทธศาสตร์ชาติ แผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ แผนพัฒนาตลาดทุน และแผนแม่บทเฉพาะกิจภายใต้ยุทธศาสตร์ชาติอันเป็นผลมาจากสถานการณ์ COVID-19 รวมทั้งสอดรับกับแนวโน้มการเปลี่ยนแปลงที่สำคัญ (megatrends) โดยรับฟังความเห็นของผู้มีส่วนได้เสียอย่างรอบด้านเพื่อยกระดับตลาดทุนไทยต่อไป
อาคม เติมพิทยาไพสิฐ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง กล่าวว่า ก.ล.ต. ถือเป็นหน่วยงานที่มีบทบาทสำคัญในการทำหน้าที่กำกับดูแลและพัฒนาตลาดทุนของไทยให้มีความน่าเชื่อถือ มีประสิทธิภาพ และทุกภาคส่วนเข้าถึงได้ เพื่อให้ตลาดทุนเป็นกลไกที่เชื่อมโยงระหว่างกิจการที่ต้องการเงินทุนและผู้ลงทุน ซึ่งจะเป็นประโยชน์ต่อการขยายกิจการ การจ้างงาน การส่งเสริมความสามารถในการแข่งขันของกิจการในประเทศ และผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจโดยรวมของประเทศต่อไป และที่ผ่านมา ก.ล.ต. ทำงานใกล้ชิดกับภาครัฐมาโดยตลอด
พิชิต อัคราทิตย์ ประธานกรรมการ ก.ล.ต. กล่าวว่า ตลาดทุนมีบทบาทสำคัญในการสนับสนุนการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมของประเทศ ก.ล.ต. ได้วางยุทธศาสตร์ของ ก.ล.ต. ในปี 2564 – 2566 ให้สอดรับกับบทบาทดังกล่าว พร้อมทั้งประเมินสถานการณ์ปัจจุบัน วิเคราะห์แนวโน้มการเปลี่ยนแปลงที่สำคัญ (megatrends) รวมถึงรับฟังความเห็นของผู้มีส่วนได้เสียอย่างรอบด้าน เพื่อมุ่งหวังที่จะตอบโจทย์ของประเทศและความต้องการของกลุ่มเป้าหมายอย่างแท้จริง รวมทั้งให้ความสำคัญกับการพัฒนาองค์กร ก.ล.ต. ให้เข้มแข็ง มีศักยภาพพร้อมรองรับการเปลี่ยนแปลง และสามารถขับเคลื่อนภารกิจได้
รื่นวดี สุวรรณมงคล เลขาธิการ ก.ล.ต. กล่าวว่า แผนยุทธศาสตร์ ก.ล.ต. ปี 2564 – 2566 ที่จัดทำขึ้นได้คำนึงถึงความเชื่อมโยงแผนยุทธศาสตร์ชาติและแผนพัฒนาตลาดทุนไทย รวมถึงบริบทที่เปลี่ยนแปลงไปและโลกการเงินในยุคใหม่ อันนำมาซึ่งโอกาสและความท้าทายต่อทั้งภาคธุรกิจในตลาดทุนไทยและหน่วยงานกำกับดูแล โดยกำหนด 5 เป้าหมายและจัดลำดับความสำคัญ เพื่อให้สามารถทุ่มเททรัพยากรได้อย่างเหมาะสมตอบโจทย์ที่เป็นปัจจุบันและมีความสำคัญทั้ง 2 ประเด็น ได้แก่
- ประเด็นที่ต้องดำเนินการเร่งด่วนในการเสริมสร้างสภาพคล่องและสนับสนุนการเติบโตของเศรษฐกิจไทยให้ฟื้นฟู เข้มแข็ง และมีความสามารถในการแข่งขันต่อไปได้ (recovery & strengthening)
- ประเด็นที่ต้องดำเนินการอย่างต่อเนื่อง เพื่อให้ตลาดทุนไทยน่าเชื่อถือและมีรากฐานที่แข็งแกร่งเพื่อตลาดทุนไทยเติบโตอย่างยั่งยืน (resilience)
แผนยุทธศาสตร์ของ ก.ล.ต. ในปี 2564 – 2566 ยังคง 4 เป้าหมายและ 7ยุทธศาสตร์สำคัญจากแผนยุทธศาสตร์ ก.ล.ต. ปี 2563 – 2565 โดยได้เพิ่มเป้าหมาย “ฟื้นฟูและเข้มแข็ง” และเพิ่มยุทธศาสตร์เฉพาะกิจ เพื่อให้ตลาดทุนมีกฎเกณฑ์ที่ไม่เป็นอุปสรรคและมีเครื่องมือช่วยเสริมสภาพคล่องให้กับกิจการที่ประสบปัญหาจาก COVID-19 รวมเป็น 5 เป้าหมาย 8 ยุทธ์ศาสตร์ ดังนี้
- การสร้างสภาพแวดล้อมตลาดทุนที่เอื้อต่อการพัฒนาเพื่อความยั่งยืน (Sustainable capital market)
- ส่งเสริมให้ประชาชนมีสุขภาพทางการเงินในระยะยาว มีการออมและการลงทุนระยะยาวที่เพียงพอรองรับการเกษียณอายุ (Financial well-being)
- สนับสนุนการเข้าถึงแหล่งทุนสำหรับธุรกิจเอสเอ็มอีและสตาร์ทอัพ (SMEs & startups growth and financing)
- เพิ่มความสามารถในการแข่งขัน และสร้างโอกาสจากความเชื่อมโยงกับต่างประเทศ (Enabling regulatory framework & connectivity)
- ใช้เทคโนโลยีดิจิทัลเพิ่มศักยภาพตลาดทุนและยกระดับการกำกับดูแล (Digital for capital market)
- เพิ่มศักยภาพในการกำกับดูแลและบังคับใช้กฎหมายในตลาดทุนไทย (Effective supervision & enforcement)
- ติดตามประเมินความเสี่ยงเชิงระบบได้อย่างเท่าทัน (Systemic risk)
- สร้างกฎเกณฑ์ที่ไม่เป็นอุปสรรคและส่งเสริมการมีเครื่องมือช่วยเสริมสภาพคล่องให้กับกิจการที่ประสบปัญหาจากสถานการณ์ COVID-19 (Supporting liquidity) ซึ่งเป็นยุทธศาสตร์เฉพาะกิจ
ทั้งนี้ รางวัลประกาศเกียรติคุณ ASEAN Corporate Governance Scorecard ปี 2562ซึ่งประเมินโดยใช้ข้อมูลปี 2561 ที่มอบให้กับบริษัทจดทะเบียนในอาเซียน 6ประเทศ ภายใต้กรอบความร่วมมือและการสนับสนุนจาก ASEAN Capital Markets Forum (ACMF) และธนาคารพัฒนาเอเชีย (ADB) โดยมุ่งเน้นความสำคัญในการดำเนินธุรกิจตามหลักการกำกับดูแลกิจการที่ดีซึ่งเป็นรากฐานที่นำไปสู่ความยั่งยืน ซึ่งบริษัทจดทะเบียนไทยได้รับคะแนนประเมินเฉลี่ยสูงสุดในอาเซียนต่อเนื่องเป็นครั้งที่ 6 โดยแบ่งเป็น 3 ประเภท ได้แก่
- รางวัล ASEAN Asset Class PLCs สำหรับบริษัทที่ได้คะแนนตั้งแต่97.50 คะแนนขึ้นไป โดยมีบริษัทจดทะเบียนไทย 42 บริษัท จากทั้งหมด 135 บริษัท ซึ่งมากที่สุดในอาเซียน
- รางวัล ASEAN Top 20 PLCs สำหรับบริษัทที่มีคะแนนติดอันดับสูงสุด20 อันดับแรกของอาเซียน โดยมีบริษัทจดทะเบียนไทย 4 บริษัทได้รับรางวัล ได้แก่ บริษัท บางจาก คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) (BCP) บริษัท ปตท. สำรวจและผลิตปิโตรเลียม จำกัด (มหาชน) (PTTEP) บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) (PTT)และบริษัท ไทยออยล์ จำกัด (มหาชน) (TOP) และ
- รางวัล Country Top 3 PLCs มอบให้บริษัทจดทะเบียนที่มีคะแนนสูงสุด3 อันดับแรกของแต่ละประเทศ*