TH | EN
spot_img
TH | EN
spot_imgspot_imgspot_imgspot_img
หน้าแรกBusinessภาษีไทย ใครได้ใครเสีย? เปิดความจริงที่รัฐไม่ได้บอก

ภาษีไทย ใครได้ใครเสีย? เปิดความจริงที่รัฐไม่ได้บอก

ในภูมิทัศน์ทางสังคมของไทย “ภาษี” ไม่ได้เป็นเพียงกลไกทางเศรษฐศาสตร์หรือหน้าที่ของพลเมือง แต่ยังเป็นประเด็นที่จุดประกายอารมณ์และความรู้สึกได้อย่างลึกซึ้ง บ่อยครั้งที่เรามักได้ยินเสียงสะท้อนร่วมกันว่า “จ่ายไปแล้วไม่คุ้มค่า” หรือ “ระบบนี้ไม่เห็นจะยุติธรรม” คำถามเหล่านี้ไม่ได้เกิดขึ้นอย่างไร้เหตุผล แต่เป็นภาพสะท้อนของปัญหาเชิงโครงสร้างที่ซับซ้อนและกับดักทางนโยบายที่ซ่อนอยู่ ซึ่ง ผศ.ดร.ยุทธนา ศรีสวัสดิ์ ผู้ก่อตั้ง iTAX และ รศ.ดร.อธิภัทร มุทิตาเจริญ จากคณะเศรษฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ได้ร่วมกันไขรหัสและอธิบายให้เราเห็นถึงความจริงที่ลึกซึ้งกว่าที่เคยรับรู้

ความเหลื่อมล้ำที่ซ่อนอยู่ใน “สิทธิลดหย่อน”

ประเด็นที่น่าสนใจที่สุด และอาจทำให้หลายคนต้องกลับมาทบทวนมุมมองที่มีต่อนโยบายลดหย่อนภาษี คือความจริงที่ว่า มาตรการที่ถูกออกแบบขึ้นด้วยเจตนารมณ์ที่ดีเพื่อส่งเสริมการออมและการลงทุนสำหรับประชาชนทั่วไป กลับกลายเป็นการมอบประโยชน์อย่างมหาศาลให้กับกลุ่มคนผู้มีรายได้สูงสุดของประเทศอย่างไม่สมส่วน

เราต่างคุ้นเคยกับสิทธิลดหย่อนภาษีในฐานะ “เครื่องมือ” ที่รัฐมอบให้เพื่อวางแผนอนาคต ไม่ว่าจะเป็นการซื้อกองทุน RMF, SSF หรือผลิตภัณฑ์ประกันชีวิตต่าง ๆ ภายใต้ความเข้าใจว่านี่คือกลไกที่ส่งเสริมให้ทุกคนสร้างความมั่นคงทางการเงิน แต่ข้อมูลจากงานวิจัยของ รศ.ดร.อธิภัทร ให้ภาพความจริงที่สวนทางกับความเข้าใจนั้นอย่างสิ้นเชิง

งานวิจัยชี้ให้เห็นว่า 90% ของประโยชน์ทางภาษี (Tax Benefit) ทั้งหมดที่เกิดขึ้นจากสิทธิลดหย่อนเหล่านี้ ตกอยู่ในมือของกลุ่มคนที่มีรายได้สูงสุด 20% ของประเทศ และที่น่าตกใจยิ่งกว่านั้นคือ ครึ่งหนึ่งของประโยชน์ทั้งหมด หรือ 50% ถูกส่งตรงไปยังกลุ่มอภิมหาเศรษฐีที่มีรายได้สูงสุดเพียง 5% แรกเท่านั้น

ผศ.ดร.ยุทธนา ศรีสวัสดิ์ ผู้ก่อตั้ง iTAX
ผศ.ดร.ยุทธนา ศรีสวัสดิ์ ผู้ก่อตั้ง iTAX

ตัวเลขเหล่านี้ไม่ได้เกิดขึ้นจากความบังเอิญ แต่เป็นผลลัพธ์ที่หลีกเลี่ยงไม่ได้จากโครงสร้างของระบบภาษีเอง ผศ.ดร.ยุทธนา อธิบายกลไกที่ซ่อนอยู่เบื้องหลังปรากฏการณ์นี้ว่าเกิดจาก “อรรถประโยชน์” ที่แตกต่างกันตามขั้นบันไดภาษี

เพื่อให้เห็นภาพชัดเจน ลองจินตนาการถึงคนสองคน คนแรกคือผู้บริหารที่มีรายได้สูงซึ่งอยู่ในฐานภาษีสูงสุดที่ 35% และอีกคนคือพนักงานระดับกลางที่อยู่ในฐานภาษี 5% หากทั้งสองคนตัดสินใจซื้อผลิตภัณฑ์ลดหย่อนภาษีในจำนวนเงิน 100 บาทเท่ากัน ผลลัพธ์ที่ได้จะแตกต่างกันราวฟ้ากับเหว

สำหรับผู้บริหารที่อยู่ในฐานภาษี 35% เงิน 100 บาทที่จ่ายไป จะช่วยให้เขาประหยัดภาษีที่ต้องจ่ายจริงได้ถึง 35 บาท ในขณะที่พนักงานระดับกลางซึ่งอยู่ในฐานภาษี 5% เงิน 100 บาทเท่ากันนั้น จะช่วยให้เขาประหยัดภาษีได้เพียง 5 บาทเท่านั้น

ความแตกต่างที่มากถึง 7 เท่าตัวนี้เอง คือหัวใจของปัญหา มันทำให้คุณค่าของเงินทุกบาทที่ใช้ในการลดหย่อนนั้นไม่เท่ากัน ยิ่งคุณมีรายได้สูงและอยู่ในฐานภาษีที่สูงขึ้นเท่าไหร่ สิทธิลดหย่อนภาษีก็จะยิ่งทรงพลังและมอบผลประโยชน์กลับคืนมาให้คุณมากขึ้นเท่านั้น

ปรากฏการณ์นี้จึงทำให้แรงจูงใจและผลประโยชน์กระจุกตัวอยู่ที่กลุ่มคนรายได้สูงอย่างมหาศาล และในภาพใหญ่ มันหมายความว่า รัฐกำลังใช้งบประมาณของประเทศเพื่อ “อุดหนุน” การออมของกลุ่มคนที่ร่ำรวยที่สุดอย่างมีนัยสำคัญ ผ่านนโยบายที่ถูกนำเสนอในฐานะสิทธิประโยชน์ที่เท่าเทียมสำหรับทุกคน

กับดักการเติบโต: เมื่อนโยบาย “ช่วยเหลือ” กลายเป็น “ฉุดรั้ง”

อีกหนึ่งปัญหาใหญ่ที่ส่งผลกระทบโดยตรงต่อหัวใจของเศรษฐกิจฐานรากอย่างผู้ประกอบการรายย่อย คือนโยบายที่ตั้งใจจะช่วยเหลือ แต่กลับสร้าง “กับดัก” ที่ขัดขวางการเติบโตของธุรกิจโดยไม่ได้ตั้งใจ เปรียบเสมือนการสร้างเพดานแก้วที่มองไม่เห็น ทำให้ธุรกิจจำนวนมากไม่กล้าที่จะเติบโตไปอย่างเต็มศักยภาพ

กับดักที่หนึ่งคือกำแพงภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT) ที่ 1.8 ล้านบาทสำหรับผู้ประกอบการรายย่อย ตัวเลข 1.8 ล้านบาทต่อปี คือเส้นแบ่งที่สำคัญ หากรายรับของธุรกิจก้าวข้ามเส้นนี้ไปเพียงบาทเดียว พวกเขาจะถูกบังคับให้เข้าสู่ระบบภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT) ในทันที ปัญหาสำคัญคือ เพดานรายรับนี้ไม่ได้ถูกปรับเปลี่ยนมานานเกือบสองทศวรรษ ทั้งที่มูลค่าเงินเฟ้อ ค่าครองชีพ และต้นทุนทางธุรกิจได้พุ่งสูงขึ้นไปไกลแล้ว สิ่งที่เคยเป็นเกณฑ์สำหรับธุรกิจที่เติบโตได้ระดับหนึ่งในอดีต ปัจจุบันกลับกลายเป็นเกณฑ์ที่ต่ำมากสำหรับธุรกิจในยุคนี้

ผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นคือ ปรากฏการณ์ที่ธุรกิจจำนวนมากเลือกที่จะเหยียบเบรกการเติบโตของตัวเองอย่างกะทันหันเมื่อรายได้ใกล้แตะ 1.8 ล้านบาท พวกเขาอาจปฏิเสธลูกค้า ลดการทำการตลาด หรือกระทั่งใช้วิธีแตกบริษัทออกเป็นหลาย ๆ กิจการเล็ก ๆ เพื่อให้แต่ละแห่งมีรายได้ไม่เกินเกณฑ์ที่กำหนด

เหตุผลสำคัญไม่ใช่แค่การต้องจ่ายภาษี 7% เพิ่มขึ้น แต่คือความกลัวต่อภาระที่มองไม่เห็น นั่นคือความซับซ้อนด้านเอกสาร การออกใบกำกับภาษี การจัดทำรายงานภาษีซื้อ-ขาย ภาระการทำบัญชีที่ยุ่งยากขึ้นหลายเท่าตัว และต้นทุนในการจ้างสำนักงานบัญชีที่สูงขึ้น ซึ่งทั้งหมดนี้เป็นภาระหนักอึ้งและน่าหวาดหวั่นสำหรับเจ้าของธุรกิจขนาดเล็กที่ต้องดูแลกิจการทุกอย่างด้วยตัวเอง

กับดักที่สองคือเพดานสิทธิประโยชน์ SME ที่ 30 ล้านบาทในลักษณะเดียวกัน นโยบายที่มอบสิทธิประโยชน์ทางภาษีให้กับธุรกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (SME) โดยกำหนดเพดานรายรับไว้ที่ 30 ล้านบาทต่อปี ก็ได้สร้างกับดักในลักษณะคล้ายกันขึ้นมา แม้จะมีเจตนาที่ดีในการช่วยเหลือ แต่เพดานนี้ได้สร้างแรงจูงใจให้ธุรกิจเลือกที่จะ “ไม่โตเกินไป”

งานวิจัยของ รศ.ดร.อธิภัทร พบว่า ธุรกิจจำนวนมากเลือกที่จะชะลอการลงทุนและจำกัดการเติบโตของรายรับไว้ไม่ให้เกิน 30 ล้านบาท เพราะการเติบโตข้ามเส้นนี้ไปหมายถึงการสูญเสียสิทธิประโยชน์ทางภาษีที่เคยได้รับ และต้องเผชิญกับอัตราภาษีที่สูงขึ้นในทันที สิ่งนี้ได้กลายเป็นกำแพงที่ขัดขวางไม่ให้ SME ของไทยเติบโตขึ้นเป็นบริษัทขนาดใหญ่ที่มีศักยภาพในการแข่งขันระดับประเทศหรือนานาชาติ

 รศ.ดร.อธิภัทร มุทิตาเจริญ จากคณะเศรษฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
 รศ.ดร.อธิภัทร มุทิตาเจริญ จากคณะเศรษฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย

รศ.ดร.อธิภัทร ชี้ว่า ต้นตอของปัญหานี้คือระบบภาษีแบบ “One size fits all” หรือการใช้กฎเกณฑ์เดียวกันกับธุรกิจทุกขนาด ตั้งแต่ร้านค้าเล็กๆ ไปจนถึงบริษัทมหาชน ทำให้กฎระเบียบที่ซับซ้อนกลายเป็นภาระหนักอึ้งสำหรับผู้ประกอบการรายย่อยที่ขาดทรัพยากรและความพร้อม ทางออกที่ควรพิจารณาคือการสร้างระบบ “Simplify VAT” หรือระบบภาษีมูลค่าเพิ่มแบบง่ายสำหรับธุรกิจขนาดเล็ก เพื่อลดความซับซ้อนและทำให้การเข้าสู่ระบบภาษีเป็นเรื่องที่เป็นมิตรและไม่ใช่เรื่องน่ากลัวอีกต่อไป

รากฐานที่ต้องปฏิรูปและความเข้าใจผิดที่ต้องแก้ไข

เมื่อปัญหาต่าง ๆ ถูกตีแผ่ให้เห็น ไม่ว่าจะเป็นความเหลื่อมล้ำในสิทธิลดหย่อน หรือกับดักที่ขัดขวางการเติบโต การมองย้อนกลับไปที่ต้นตอของปัญหาจึงเป็นสิ่งสำคัญ ซึ่งเผยให้เห็นว่ารากฐานของระบบภาษีไทยนั้นอาจไม่สอดคล้องกับโลกยุคปัจจุบันอีกต่อไป

ผศ.ดร.ยุทธนา ได้ชี้ให้เห็นถึงความจริงที่น่าทบทวนว่า กฎหมายภาษีหลักของประเทศไทยอย่าง “ประมวลรัษฎากร” นั้นมีรากฐานที่หยั่งลึกยาวนานมาตั้งแต่ปี พ.ศ. 2481 หรือเกือบ 90 ปีที่แล้ว โครงสร้าง ภาษา และหลักคิดหลายประการจึงถูกออกแบบขึ้นเพื่อรองรับระบบเศรษฐกิจและสังคมในยุคที่แตกต่างจากปัจจุบันอย่างสิ้นเชิง ตลอดหลายทศวรรษที่ผ่านมา แม้จะมีการแก้ไขปรับปรุงอยู่เสมอ แต่ก็เป็นในลักษณะของการ “ปะผุ” แก้ไขเพิ่มเติมเป็นส่วน ๆ มากกว่าการสังคายนาครั้งใหญ่

Thai Startup ร่วมกับ กทม. ดึง 6 สตาร์ตอัพ เปลี่ยนกรุงเทพฯ เป็นเมืองนวัตกรรม

จากรากฐานที่อาจไม่สอดคล้องกับยุคสมัยนี้ จึงนำมาสู่ข้อเสนอที่เป็นรูปธรรมเพื่อการปฏิรูปที่จำเป็นอย่างยิ่ง 3 ประการ คือ 1. ยกเลิกภาระที่ไม่จำเป็น การยื่นภาษีครึ่งปี ภาระการยื่นภาษีครึ่งปี (ภ.ง.ด.94 สำหรับบุคคลธรรมดา และ ภ.ง.ด.51 สำหรับนิติบุคคล) เป็นกฎเกณฑ์ที่ถูกระบุว่า “เพื่อประโยชน์ในการจัดเก็บภาษี” ของรัฐ แต่ในมุมของผู้เสียภาษี มันคือภาระที่เพิ่มขึ้นโดยไม่สร้างประโยชน์ต่อเศรษฐกิจในภาพรวม การยกเลิกกฎเกณฑ์นี้จะช่วยลดต้นทุนด้านเวลาและเอกสารให้กับประชาชนและผู้ประกอบการ ทำให้พวกเขาสามารถมุ่งเน้นไปที่การสร้างรายได้และพัฒนาธุรกิจได้อย่างเต็มที่

2. คืนมูลค่าที่หายไป ปรับปรุงค่าลดหย่อนให้สะท้อนเงินเฟ้อ ค่าลดหย่อนหลายรายการ โดยเฉพาะค่าลดหย่อนส่วนตัว ถูก “แช่แข็ง” ไว้ที่ตัวเลขเดิมเป็นเวลายาวนาน ตัวอย่างที่ชัดเจนคือค่าลดหย่อนส่วนตัวที่เคยคงอยู่ที่ 30,000 บาทนานถึง 25 ปี ก่อนจะปรับขึ้นเป็น 60,000 บาท ในขณะที่ค่าครองชีพและเงินเฟ้อทะยานสูงขึ้นทุกปี การไม่ปรับปรุงค่าลดหย่อนให้สอดคล้องกับสภาวะเศรษฐกิจ ก็เท่ากับว่าภาระภาษีที่แท้จริงของประชาชนนั้นเพิ่มสูงขึ้นอย่างเงียบๆ การปรับปรุงค่าลดหย่อนตามอัตราเงินเฟ้อเป็นประจำทุกปีจึงเป็นสิ่งจำเป็นเพื่อรักษาความเป็นธรรมและรักษามูลค่าของเงินในกระเป๋าของประชาชน

และ 3. ลงทุนในอนาคต เพิ่มค่าลดหย่อนเพื่อการพัฒนาตนเอง ระบบภาษีสามารถเป็นเครื่องมือที่ทรงพลังในการส่งเสริมศักยภาพของคนในชาติได้ แต่ปัจจุบันประเทศไทยยังขาดค่าลดหย่อนที่ส่งเสริมการลงทุนในการพัฒนาตัวเองอย่างจริงจัง เช่น ค่าใช้จ่ายในการซื้ออุปกรณ์คอมพิวเตอร์เพื่อการเรียนรู้ หรือค่าสมาชิกฟิตเนสเพื่อส่งเสริมสุขภาพที่ดี ซึ่งจะช่วยลดภาระด้านสาธารณสุขของประเทศในระยะยาว การเพิ่มค่าลดหย่อนเหล่านี้คือการส่งสัญญาณว่ารัฐให้ความสำคัญกับการลงทุนในทรัพยากรมนุษย์ ซึ่งเป็นหัวใจของการพัฒนาประเทศอย่างยั่งยืน

นอกจากนี้ ยังมีความเข้าใจผิดพื้นฐานที่ต้องแก้ไข นั่นคือ “การยื่นภาษี” ไม่ใช่เรื่องเดียวกับ “การเสียภาษี” หลายคนยังคงเข้าใจว่าหากรายได้ไม่ถึงเกณฑ์ที่ต้องเสียภาษี ก็ไม่จำเป็นต้องทำอะไรเลย ซึ่งเป็นความเข้าใจที่ไม่ถูกต้อง เพราะหน้าที่ในการยื่นแบบแสดงรายการภาษียังคงมีอยู่ตามที่กฎหมายกำหนด การสร้างความเข้าใจที่ถูกต้องในเรื่องนี้จะช่วยดึงคนเข้าสู่ระบบและทำให้รัฐมีข้อมูลที่สมบูรณ์ยิ่งขึ้น

จากปัญหาภาษีสู่ความเหลื่อมล้ำทางโอกาส

ท้ายที่สุดแล้ว ปัญหาเชิงเทคนิคและโครงสร้างที่กล่าวมาทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็นกฎหมายที่ล้าสมัย ภาระที่ไม่จำเป็น หรือค่าลดหย่อนที่ไม่สะท้อนความเป็นจริง ทั้งหมดนี้ได้สะท้อนภาพที่ใหญ่และน่ากังวลกว่า นั่นคือปัญหา “ความเหลื่อมล้ำทางโอกาส”

รศ.ดร.อธิภัทร ได้ทิ้งท้ายด้วยข้อมูลที่น่าเป็นห่วงว่า ประเทศไทยมีโอกาสในการเลื่อนชั้นทางรายได้ (Upward Income Mobility) อยู่ในระดับที่แทบจะต่ำที่สุด เมื่อเทียบกับนานาประเทศ

นี่คือสัญญาณอันตรายที่บ่งบอกว่า โอกาสที่คนรุ่นลูกจะมีชีวิตและความเป็นอยู่ที่ดีกว่าคนรุ่นพ่อแม่กำลังลดน้อยถอยลง สังคมกำลังเผชิญกับวิกฤตการณ์เงียบของความหวังที่จางหายไป ดังนั้น การปฏิรูประบบภาษีจึงไม่ใช่แค่การแก้ไขปัญหาเรื่องตัวเงินหรือการปรับเปลี่ยนกฎเกณฑ์ แต่คือจุดเริ่มต้นที่สำคัญของการสร้างสังคมที่เป็นธรรมมากขึ้น ที่ซึ่งทุกคนมีโอกาสที่จะเติบโตและสร้างอนาคตที่ดีกว่าเดิมได้อย่างแท้จริง

ข่าวอื่น ๆ ที่น่าสนใจ

กระทิง Deep Tech vs หมู SME: ถอดรหัส 2 แนวคิดลงทุนสู่หมื่นล้าน

เคล็ดลับทำ Loyalty Program ให้โต 20 เท่า

STAY CONNECTED

0แฟนคลับชอบ
440ผู้ติดตามติดตาม
spot_img

Latest News

MUST READ