TH | EN
TH | EN
หน้าแรกLifeทั่วโลกเตรียมพร้อมรับ "เปิดประเทศ" เที่ยวที่ไหนปลอดภัยและมั่นใจได้มากที่สุด

ทั่วโลกเตรียมพร้อมรับ “เปิดประเทศ” เที่ยวที่ไหนปลอดภัยและมั่นใจได้มากที่สุด

สถานการณ์โรคระบาดโควิด-19 ที่คร่าชีวิตคนทั่วโลกไปราว 6.2 ล้าน ความขัดแย้งทางการเมืองทั่วโลก และความไม่แน่นอนต่าง ๆ ทำให้ทุกประเทศในโลกต้องมีการปรับตัวเพื่อรับสถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว รัฐบาลใดที่ใช้นโยบายและแนวทางแก้ปัญหาที่ยืดหยุ่นก็จะสามารถให้บริการประชาชนของตัวเองและนักท่องเที่ยวต่างชาติได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น

เมื่อเร็ว ๆ นี้ US News & World Report สื่ออเมริกันได้มีการจัดอันดับประเทศที่มีการปรับตัวได้ดีและเร็วที่สุดในโลกโดยพิจารณาจากความสามารถในการปรับตัว พลวัต ความทันสมัย ความก้าวหน้าและการตอบสนอง ต่ออุปสรรคของประเทศต่าง ๆ  

ปัจจัยเหล่านั้นมีความสำคัญมากกว่าที่เคยเป็นมาสำหรับนักเดินทาง ตอนนี้มีหลายคนกำลังจะเริ่มเดินทางเป็นครั้งแรกในรอบ 2 ปี การกลายพันธุ์หรือการพบสายพันธุ์ใหม่ของโควิด-19 ทำให้เงื่อนไขการเดินทางเข้าออกประเทศทั่วโลกมีการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว นักเดินทางอาจรู้สึกปลอดภัยมากขึ้นเมื่อต้องไปเยือนประเทศที่มีการปรับนโยบายได้อย่างเหมาะสมและรวดเร็ว

ลองมาฟังคำตอบจากประชากรผู้อยู่อาศัยและผู้เชี่ยวชาญด้านนโยบายของประเทศต่าง ๆ ว่าอะไรเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้พวกเขาได้รับการจัดอันดับว่ามีการปรับตัวได้ดีและสิ่งที่นักเดินทางควรคาดหวังเมื่อเดินทางไปประเทศเหล่านั้น

สหรัฐอเมริกา

สหรัฐอเมริกาครองแชมป์ของประเทศที่มีการปรับตัวได้ดีที่สุด แม้ว่ารัฐบาลจะไม่ได้สั่งล็อกดาวน์ทั้งประเทศเหมือนกับประเทศตะวันตกอื่น ๆ แต่เศรษฐกิจที่ขับเคลื่อนโดยตลาดช่วยให้สหรัฐอเมริกาสามารถปรับตัวได้ดีและกระตุ้นให้เกิดนวัตกรรมต่าง ๆ ได้อย่างรวดเร็วเพื่อสู้วิกฤติโควิด-19

“ธุรกิจบริการจัดส่งและร้านอาหารเป็นตัวอย่างของการปรับตัวได้อย่างรวดเร็ว มีการปรับเปลี่ยนจากขายอาหารที่ร้านเป็นจัดส่งไปยังบ้านลูกค้า” จอห์น โรส ชาวอเมริกันในรัฐแคลิฟอร์เนียและหัวหน้าฝ่ายความเสี่ยงและความปลอดภัยของบริษัทท่องเที่ยว Altour กล่าว “อเมริกาไม่มีการออกกฎระเบียบที่ไม่จำเป็นมากนักที่บอกว่าร้านอาหารไม่สามารถจัดส่งอาหาร (ไปนอกสถานที่) หรือไม่สามารถเปิดร้านได้ถ้ามีพนักงานน้อย”

โรส บอกว่า อุตสาหกรรมอาหารเป็นเพียงส่วนเล็ก ๆ ของนโยบายที่ยืดหยุ่นของประเทศโดยรวม เพราะธุรกิจอื่น ๆ สามารถปรับตัวให้เข้ากับภูมิทัศน์ของโรคระบาดได้อย่างรวดเร็ว ไม่ว่าจะเป็นการผลิตหน้ากากอนามัย เจลล้างมือ หรือการใช้เทคโนโลยี เช่น การประชุมทางวิดีโอเพื่อให้ผู้คนสามารถทำงานที่บ้านได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น

รัฐทั้ง 50 รัฐสามารถกำหนดนโยบายที่แตกต่างกันออกไปได้โดยขึ้นอยู่กับความต้องการเฉพาะของแต่ละรัฐ ซึ่งเท่ากับว่าประเทศมีวิธีตอบสนองต่อโรคระบาดครั้งใหญ่ 50 วิธีที่ไม่ซ้ำกัน

“รัฐแคลิฟอร์เนียและฟลอริดามีวิธีจัดการกับโรคระบาดตรงข้ามกันเลย ในขณะที่แคลิฟอร์เนียประกาศล็อกดาวน์ขั้นสุดโต่ง ฟลอริดากลับคัดค้านมาตรการเข้มงวดทุกอย่าง” โรสกล่าว “แต่ทว่าสภาวะเศรษฐกิจของทั้ง 2 รัฐก็เติบโตได้ดีมาก เพราะสิ่งสำคัญคือนโยบายที่มีความเป็นผู้นำ”

สำหรับมาตราการในระดับประเทศแล้ว การบังคับให้ใส่หน้ากากในเครื่องบินและสนามบิน ทำให้นักเดินทางสามารถเดินทางต่อไปด้วยความมั่นใจ ซึ่งทำให้การเดินทางและผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจยังคงเปิดกว้างแม้จะเป็นช่วงการแพร่ระบาดของโรค แต่รัฐบาลยังคงบังคับให้นักเดินทางต่างชาติที่จะเข้าประเทศต้องได้รับการฉีดวัคซีนครบโดส

โรสแนะนำให้ผู้ที่จะเดินทางไปสหรัฐอเมริกาตรวจสอบนโยบายการเข้าเมืองจากเคานท์ตีที่กำลังจะไปมากกว่าตรวจสอบจากระดับรัฐ เพื่อให้ได้ข้อมูลที่ถูกต้องที่สุด

ออสเตรเลีย

ออสเตรเลียเป็นประเทศที่มีนโยบายการปรับตัวได้ดีที่สุดเป็นอันดับที่ 2 โดยมีคะแนนด้านการตอบสนองและความสามารถในการปรับตัวสูงที่สุด ออสเตรเลียใช้แนวทางต่อสู้กับโควิด-19 ที่แตกต่างไปจากสหรัฐอเมริกาอย่างสิ้นเชิง โดยใช้มาตรการล็อกดาวน์ที่เข้มงวดจึงทำให้มีจำนวนผู้ติดเชื้ออยู่ในระดับต่ำ อย่างไรก็ตาม เมื่อประเทศเผชิญกับคลื่นระลอกใหม่ของโควิดในภายหลัง ออสเตรเลียก็ยกเลิกมาตราการการจำกัดไปสู่การเปิดประเทศเมื่ออัตราการฉีดวัคซีนของประชากรผู้ใหญ่อายุ 16 ปีขึ้นไปสูงถึงเกือบ 95% 

เคส สเลเทอร์ ที่ปรึกษาด้านกลยุทธ์และนักเขียนสายท่องเที่ยวซึ่งอาศัยอยู่ในซิดนีย์ บอกว่า ตอนนี้ชาวออสเตรเลียรู้สึกว่าตัวเองกลับมาเชื่อมต่อกับโลกอีกครั้งหลังจากที่ต้องอยู่โดดเดี่ยวหรือกักตัวมานานเกือบ 2 ปี เธอยังตั้งข้อสังเกตอีกว่ารัฐบาลกลางยังอนุญาตให้รัฐแต่ละรัฐมีแนวทางที่หลากหลายในการจัดการกับความท้าทายที่กำลังดำเนินอยู่

ตัวอย่างเช่น รัฐนิวเซาท์เวลส์ซึ่งเป็นรัฐที่ใหญ่ที่สุดและมีสนามบินที่ใหญ่ที่สุดออกประกาศในเดือนธันวาคม 2564 ว่าจะยกเลิกมาตรการการกักตัวสำหรับผู้มาเยือนจากต่างประเทศก่อนเข้าประเทศ ซึ่งทำให้รัฐบาลกลางต้องเร่งเปิดพรมแดนระหว่างประเทศอีกครั้งในเดือนกุมภาพันธ์ 2565 สำหรับนักเดินทางที่ได้รับวัคซีนครบแล้ว

ใครที่จะเดินทางเข้าออสเตรเลียควรตรวจสอบข้อกำหนดของรัฐที่จะเดินทางไป เพราะแต่ละรัฐอาจมีนโยบายที่แตกต่างกันและสามารถเปลี่ยนแปลงได้ตลอดเวลา ออสเตรเลียเพิ่งประกาศยกเลิกคำสั่งห้ามเรือสำราญจอดเทียบท่าเมื่อวันที่ 17 เมษายนที่ผ่านมา แต่ผู้โดยสารยังคงต้องได้รับการฉีดวัคซีนมาครบโดสแล้ว

มาตราการล็อกดาวน์อย่างเข้มงวดของออสเตรเลียได้ส่งเสริมให้คนท้องถิ่นเดินทางภายในประเทศมากขึ้น และช่วยให้การท่องเที่ยวในแหล่งที่คนไม่นิยมได้รับความนิยมมากขึ้น “ตัวอย่างเช่น เซาท์เทิรน์ ไฮแลนด์ในรัฐนิวเซาท์เวลส์ คฤหาสน์เก่าแก่ทางประวัติศาสตร์หลายแห่งถูกเปลี่ยนเป็นโรงแรมบูติกไว้รองรับนักท่องเที่ยว” สเลเทอร์ กล่าว  

เกาหลีใต้

เกาหลีใต้ติดอันดับที่ 6 ของดัชนีการปรับตัวโดยได้รับคะแนนสูงในด้านความสามารถในการเป็นสถานที่ที่มีการเปลี่ยนแปลงและมีพลังอย่างต่อเนื่องและด้านความก้าวหน้า เกาหลีใต้ได้รับการชื่นชมในช่วงต้นของการแพร่ระบาดว่ามีจำนวนผู้ป่วยโควิด-19 น้อย เพราะการตรวจเชิงรุกและการกักตัวผู้ติดเชื้อ 

แม้ว่าเกาหลีใต้จะมีจำนวนผู้ป่วยที่ทำสถิติสูงสุดเป็นประวัติการณ์ในตอนนี้ ประเทศยังคงเดินหน้าโดยมีแผนที่จะยกเลิกมาตรการข้อจำกัดหลายประการเพราะมั่นใจในอัตราการฉีดวัคซีนและความสามารถในการรับมือผู้ป่วยของโรงพยาบาล

“เกาหลีใต้เป็น ‘เรื่องราวของความสำเร็จ’ ในการต่อสู้กับการระบาดใหญ่ของโควิด-19 เพราะผ่านประสบการณ์ก่อนหน้ากับการรับมือโรคซาร์สในปี 2546 และเมอร์สในปี 2558” ฮเยซอง ฮา ผู้ช่วยศาสตราจารย์ด้านนโยบายสาธารณะแห่งมหาวิทยาลัยนาซาร์บาเยฟ ซึ่งทำวิจัยเกี่ยวกับการปรับตัวของรัฐบาลทั่วโลกในช่วงการระบาดของโควิด-19 กล่าว 

ฮเยซอง ฮา บอกว่า ประสบการณ์และความรู้ที่ได้รับจากนโยบายที่ล้มเหลวในอดีตทำให้รัฐบาลเกาหลีสามารถดำเนินการตรวจ ติดตาม และรักษาผู้ป่วยโควิด-19 ได้อย่างรวดเร็ว และได้จัดตั้งศูนย์ควบคุมและป้องกันโรคที่มีความคล่องตัว มีการจัดการปัญหาอย่างมืออาชีพ มีความเป็นอิสระและมีอำนาจในการประสานงานเพื่อตอบสนองต่อวิกฤติโรคระบาดครั้งนี้

เจนนี่ ลี นักเขียนสายท่องเที่ยวของเว็บไซต์ Go Wanderly บอกว่า มาตรการจำกัดการเดินทางเป็นสิ่งที่ท้าทายแต่เป็นสิ่งจำเป็นสำหรับนโยบายของประเทศ เธอพลิกวิกฤติเป็นโอกาสด้วยการดื่มด่ำกับการท่องเที่ยวภายในประเทศ 

“ฉันใช้โอกาสนี้ในการค้นหาอัญมณีที่ซ่อนอยู่ที่คนส่วนใหญ่อาจพลาดไป” เธอ กล่าว 

หนึ่งในสถานที่โปรดของเธอคือหมู่บ้านจิตรกรรมฝาผนังอิฮวาในกรุงโซล ซึ่งมีภาพวาดสีสันสดใสประดับอยู่แทบทุกผนัง 

“หมู่บ้านแห่งนี้เปรียบเสมือนสวรรค์บนดินสำหรับผู้ชื่นชอบงานศิลปะ เพราะมีภาพจิตรกรรมฝาผนังที่มีเสน่ห์มากมาย มีพิพิธภัณฑ์ศิลปะขนาดเล็กและศูนย์ศิลปะ” เธอ กล่าว

นักท่องเที่ยวต่างแดนที่ต้องการไปเยือนเกาหลีใต้สามารถเดินทางได้ง่ายขึ้นเพราะตั้งแต่วันที่ 1 เมษายน ที่ผ่านมา นักเดินทางที่ได้รับวัคซีนครบโดสจะได้รับการยกเว้นการกักตัว 7 วันโดยการลงทะเบียนประวัติการฉีดวัคซีนทางออนไลน์

เบลเยียม

แม้จะอยู่อันดับที่ 16 ของดัชนีการปรับตัวแต่เบลเยียมได้รับคะแนนด้านความสามารถในการปรับตัวเหนือกว่าคู่แข่งอื่น ๆ ในยุโรป ชาวเบลเยียมรู้สึกภาคภูมิใจในความสามารถของการปรับตัวของพวกเขา ซึ่งเป็นความจำเป็นทางวัฒนธรรมหลังจากประเทศถูกยึดครองโดยชาวโรมัน ฝรั่งเศส ดัตช์ และเยอรมัน และชี้ให้เห็นถึงสังคมที่พูดได้หลายภาษาและความสามารถในการเป็นเจ้าภาพสหภาพยุโรปซึ่งมีสำนักงานใหญ่ตั้งอยู่ในกรุงบรัสเซลส์ เมืองหลวงของเบลเยียม 

“เบลเยียมเป็นประเทศแห่งการเจรจาและการประนีประนอม มันหลีกเลี่ยงไม่ได้เมื่อคุณใช้ภาษาที่หลากหลายและมีโครงสร้างทางการเมืองที่ซับซ้อนเช่นนี้” เจอก้า รูบิโนเวท ผู้ก่อตั้งบล็อกท่องเที่ยว Full Suitcase กล่าว “การมองหาการประนีประนอมและการปรับตัวให้เข้ากับสถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลงตลอดเวลาอยู่ในดีเอ็นเอของเรา”

รูบิโนเวทรู้สึกว่า ไม่ใช่แค่นักการเมืองเบลเยียมเท่านั้นที่เป็นผู้รับฟังคำแนะนำที่ดี โดยยอมรับว่าพวกเขาไม่รู้ทุกอย่างและเรียนรู้ความผิดพลาดในอดีตเพื่อนำมาปรับปรุงแก้ไข แต่ธุรกิจต่าง ๆ ก็มีการปรับตัวได้อย่างรวดเร็วเช่นกัน ร้านอาหารมีบริการให้ซื้อกลับบ้าน มีการเปิดขายอาหารบนฟู้ดทรัค ร้านขายเสื้อผ้าเปลี่ยนไปขายบนออนไลน์ และพิพิธภัณฑ์ที่ให้บริการทัวร์เสมือนจริง

“แม้แต่พระที่โบสถ์ Sint-Sixtus ก็เริ่มขายเบียร์เบลเยียมที่มีชื่อเสียงระดับโลกและหาซื้อยากมากอย่าง Westvleteren ซึ่งผลิตโดยพระ (เพื่อนำรายได้มาทำนุบำรุงศาสนา) ในช่วงการระบาดใหญ่” เธอ กล่าว 

เธอยังเห็นการก้าวกระโดดครั้งใหญ่ของสังคมดิจิทัลในเบลเยียม ไม่ว่าจะเป็นการจ่ายเงินผ่านมือถือและบัตรเครดิตที่เข้ามาแทนที่การใช้เงินสด หรือนักเรียนได้รับไอแพดและแล็ปท็อปเครื่องใหม่เพื่อใช้ในการเรียน

ตอนนี้เบลเยียมยกเลิกข้อจำกัดเกือบทั้งหมดเกี่ยวกับการป้องกันโรคโควิดแล้วเพื่อปูทางให้กับการกลับมาของเทศกาลดอกไม้ ดนตรีและศิลปะในบรัสเซลส์

บราซิล

บราซิลเป็นประเทศในอเมริกาใต้ที่ได้คะแนนสูงที่สุด (อันดับที่ 23) ในดัชนีการปรับตัวโดยมีคะแนนความสามารถในการเปลี่ยนแปลงได้อย่างรวดเร็วอยู่อันดับที่ 5 แม้ชาวบราซิลจะยอมรับว่ารัฐบาลผิดพลาดในการรับมือกับการระบาดใหญ่ของโควิดในตอนแรก แต่ระบบสาธารณสุขของประเทศก็สามารถจัดการให้มีการฉีดวัคซีนให้กับประชากรจำนวนมากรวมถึงอัตราการฉีดวัคซีนเกือบ 100% ในเมืองที่ใหญ่ที่สุดอย่างเซาเปาโลจนกลายเป็นหนึ่งใน “เมืองหลวงแห่งวัคซีน” ของโลก

ด้วยทรัพยากรที่ไม่เพียงพอสำหรับระบบเศรษฐกิจขนาดใหญ่ของประเทศ บราซิลไม่สามารถประกาศล็อกดาวน์ได้นาน ชาวบราซิลจึงต้องทำหน้าที่ของตนเองด้วยสวมหน้ากากอนามัยและใช้มาตราการเว้นระยะห่างทางสังคม แต่หลายคนเชื่อว่าการไม่ทำให้เศรษฐกิจสะดุดเป็นการช่วยให้ประเทศรอดพ้นจากวิกฤติ 

“ชาวบราซิลมองว่าตัวเองเป็นผู้รอดชีวิต และพวกเรามักจะหาวิธีที่จะผ่านพ้นวิกฤติไปได้” นาตาลี เดดั๊ก ผู้ร่วมก่อตั้งบริษัทวางแผนการท่องเที่ยว Love and Road กล่าว “เรามีความหวังในใจเสมอว่าจะต้องมีวันที่ดีกว่านี้”

วันดี ๆ ที่รอคอยอาจจะมาถึงแล้ว เพราะบราซิลยกเลิกข้อจำกัดหลายอย่าง เช่น การสวมหน้ากาก อย่างไรก็ตาม นักเดินทางยังคงต้องแสดงผลตรวจโควิดเป็นลบ ใบรับรองสุขภาพและหลักฐานการฉีดวัคซีน 

เดดั๊ก บอกว่า บราซิลเป็นอะไรที่มากกว่าเมืองใหญ่และป่าอเมซอน แหล่งท่องเที่ยวอื่น ๆ ที่ผู้มาเยือนห้ามพลาดคือเมืองชายหาดทางตอนใต้ของประเทศ เช่น ฟลอเรียโนโปลิสและอุทยานแห่งชาติอะพาราดอส ดา เซียร์ร่าซึ่งมีโรงแรมที่ดำเนินกิจการโดยครอบครัวและฟาร์มสเตย์

ที่มา: เว็บไซต์บีบีซี

STAY CONNECTED

0แฟนคลับชอบ
440ผู้ติดตามติดตาม
spot_img

Lastest News

MUST READ