TH | EN
TH | EN
หน้าแรกStartupNIA เผยรายงาน "ระบบนิเวศสตาร์ตอัพเกษตรไทย"

NIA เผยรายงาน “ระบบนิเวศสตาร์ตอัพเกษตรไทย”

วิกฤติการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 ตั้งแต่ต้นปีพ.ศ. 2563 ทำให้เกิดการชะลอตัวของเศรษฐกิจโลกในทุกภาคส่วน แต่ในภาคการเกษตรถือว่าได้รับผลกระทบน้อย และมีแนวโน้มฟื้นตัวได้เร็ว เมื่อเทียบกับอุตสาหกรรมอื่น โดยในประเทศไทยภาคการเกษตรมีความสำคัญอย่างยิ่งต่อเศรษฐกิจของประเทศ เนื่องจากแรงงานถึง 1 ใน 3 อยู่ในภาคการเกษตร

อย่างไรก็ตาม ภาคการเกษตรของประเทศไทยยังขาดศักยภาพในการพัฒนานวัตกรรมชั้นแนวหน้า และต้องพึ่งพาเทคโนโลยีที่นำเข้าจากต่างประเทศเป็นหลัก ดังนั้น จึงต้องเร่งส่งเสริมให้เกิดสตาร์ตอัพด้านการเกษตร หรือ AgTech Startup ขึ้นเพื่อให้เป็นผู้นำแห่งการเปลี่ยนแปลง (change maker) และเป็นกำลังหลักในการพัฒนานวัตกรรมที่ตอบโจทย์ความต้องการของภาคการเกษตรสามารถพึ่งพาตัวเองได้มากขึ้นสอดคล้องกับนโยบายเกษตร 4.0 ของรัฐบาล

ตอบโจทย์ปัญหาที่ท้าทายด้วยการสร้างระบบนิเวศที่เข้มแข็ง

ภาคการเกษตรมีปัญหาและความซับซ้อนทั้งในเชิงระบบและนโยบายที่รอให้สตาร์ตอัพเข้ามาช่วยแก้ไข สิ่งสำคัญ คือ ต้องให้เกิดความร่วมมือจากทุกภาคส่วนในการสร้างระบบนิเวศที่แข็งแกร่งและเอื้อต่อการพัฒนาสตาร์ตอัพด้านการเกษตร ดังนั้น สำนักงานนวัตกรรมแห่งชาติ (องค์การมหาชน) หรือ NIA จึงร่วมกับมหาวิทยาลัยแม่โจ้จัดทำ “สมุดปกขาวการขับเคลื่อนพัฒนาระบบนิเวศสตาร์ตอัพด้านการเกษตรของประเทศไทย” ขึ้นเป็นครั้งแรกโดยการสำรวจและวิเคราะห์ข้อมูลทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้องเพื่อนำไปสู่การกำหนดกรอบนโยบายที่สามารถนำไปปฏิบัติให้เกิดขึ้นได้จริงอย่างมีทิศทางพร้อมเรียนรู้ประสบการณ์เพื่อปรับบริบทให้เหมาะกับภาคเกษตรไทย

จากผลการสำรวจพบข้อมูลที่น่าสนใจและเป็นประโยชน์ในหลายมิติโดยในพ.ศ. 2563 มีสตาร์ตอัพด้านการเกษตรจำนวน 53 ราย (กลุ่มเทคโนโลยีการบริหารจัดการฟาร์มเซนเซอร์และระบบ IoT มีจำนวนสูงสุด) อายุธุรกิจเฉลี่ย 4.7 ปี สามารถแบ่งเป็นระยะเริ่มต้น (Seed State) ร้อยละ 52.5 ระยะทดสอบไอเดีย (Pre-seed) ร้อยละ 27.5 และระยะเติบโตอย่างรวดเร็ว (Growth) ร้อยละ 20 ซึ่งจะกระจายตัวในกรุงเทพฯและปริมณฑล

มุมมองด้านการได้รับเงินลงทุนอยู่ในระดับเดียวกับประเทศเพื่อนบ้าน อย่างมาเลเซีย เวียดนาม และพม่า แต่น้อยกว่าประเทศอินโดนีเซีย และสิงคโปร์ หลายเท่า ตัวเงินลงทุนมีการกระจายตัวตามกลุ่มเทคโนโลยีย่อยค่อนข้างดี โดยกลุ่มเทคโนโลยีการบริหารจัดการฟาร์มเซนเซอร์และระบบ IoT ได้รับเงินลงทุนมากที่สุด ขณะที่กลุ่มการจัดการหลังการเก็บเกี่ยวขนส่งและตรวจสอบย้อนกลับได้รับเงินลงทุนน้อยที่สุด

หากเปรียบเทียบข้อมูลการลงทุนในสตาร์ตอัพด้านการเกษตรของประเทศไทยกับในระดับโลกพบว่า กลุ่มเทคโนโลยีการจัดการฟาร์มแบบใหม่มีการลงทุนในสัดส่วนที่สูงเป็นอันดับ 2 เช่นเดียวกับในระดับโลก แต่กลุ่มเทคโนโลยีชีวภาพของประเทศไทยได้รับการลงทุนอยู่ในลำดับที่ 6 แตกต่างอย่างมากกับในระดับโลกซึ่งเงินลงทุนในกลุ่มเทคโนโลยีนี้สูงเป็นอันดับ 1 

ทั้งนี้ จากการเก็บข้อมูลและสัมภาษณ์ สตาร์ตอัพด้านการเกษตรร่วมกับศึกษาข้อมูลจากการะดมทุนจำนวน 41 รายพบว่า มีจำนวนเงินลงทุนสูงถึง 772 ล้านบาทซึ่งร้อยละ 66.7 เป็นการลงทุนภายนอกไม่ได้รับเงินลงทุนจากหน่วยงานร่วมลงทุนที่เป็น VC CVC หรือ Angel Investor สะท้อนให้เห็นว่าระบบนิเวศของประเทศไทยอยู่ในระยะเริ่มต้นที่ต้องอาศัยการผลักดันและร่วมมือจากทุกภาคส่วน เพื่อเพิ่มจำนวนและศักยภาพของสตาร์ตอัพให้มีความสามารถในการแข่งขันและการเติบโตอย่างรวดเร็ว โดยเฉพาะในกลุ่มการใช้เทคโนโลยีชีวภาพทางการเกษตรที่มีปริมาณเงินลงทุนน้อยเมื่อเทียบกับในต่างประเทศที่มีการลงทุนในกลุ่มนี้สูงมาก

ในแง่ศักยภาพของสตาร์ตอัพนั้น ส่วนใหญ่มีวุฒิการศึกษาระดับปริญญาตรี โดยมีพนักงานอย่างน้อย 1 รายที่มีวุฒิการศึกษาเกี่ยวข้องกับด้านการเกษตร ประเด็นที่น่าสนใจ คือ อายุของผู้ก่อตั้งส่วนใหญ่อยู่ในช่วง 25-50 ปี แสดงให้เห็นว่ายังขาดแคลนสตาร์ตอัพในช่วงอายุ 20-25 ปีซึ่งเป็นช่วงอายุที่มีความกล้าเสี่ยงทำสิ่งใหม่ ๆ และมีสมรรถภาพร่างกายสูง

อีกมุมมองที่น่าสนใจยิ่ง คือ การเลือกเข้าสู่วงการสตาร์ตอัพด้านเกษตร มีแรงจูงใจในการตั้งบริษัทเพื่อช่วยเหลือสังคมถึงร้อยละ 82.5 ชี้ให้เห็นว่าผู้ประกอบการส่วนใหญ่ไม่ได้ต้องการเพียงผลกำไรแต่ยังมีเป้าหมายจะทำให้ผู้ที่เกี่ยวข้องในระบบนิเวศเติบโตไปพร้อมกัน ซึ่งน่าจะเป็นผลดีกับระบบนิเวศในระยะยาว ถึงแรงบันดาลใจส่วนตัวที่ตั้งใจจะแก้ปัญหาให้เกษตรกรอยู่ดีกินดีขึ้นรวมถึงการแลกเปลี่ยนประสบการณ์และข้อมูลร่วมกัน

อีกมุมมองและทัศนคติของภาคส่วนในระบบนิเวศ คือ การเปิดใจให้กว้างในการทำงานร่วมกับผู้อื่นและพัฒนาเทคโนโลยี โดยยึดความต้องการของเกษตรกรหรือผู้ใช้งานเป็นหลัก ขณะที่ภาครัฐควรปรับปรุงกฎระเบียบที่เกี่ยวข้องกับการใช้เทคโนโลยีและกิจการสตาร์ตอัพเกษตรให้เหมาะสมกับสถานการณ์ปัจจุบันอยู่เสมอ ทั้งยังควรส่งเสริมการให้ความรู้ตลอดจนสร้างความเข้าใจในด้านเทคโนโลยีให้กับเกษตรกร

นอกจากนี้ แหล่งเงินทุนควรมุ่งเน้นไปที่การลงทุนในระยะยาวเป็นหลักเพื่อได้มีโอกาสพัฒนาเทคโนโลยีเชิงลึก หรือ Deep Techให้มีศักยภาพเพียงพอสำหรับการแข่งขันในระดับโลก

แผนที่นำทางการพัฒนาระบบนิเวศสตาร์ตอัพเกษตรของประเทศไทย

จากการวิเคราะห์ข้อมูลในการศึกษาในครั้งนี้ แบ่งเป้าหมายการพัฒนาออกเป็น 4 ระยะได้แก่

  • 1) การเกิดขึ้น (Emergence) เป็นช่วงที่เริ่มมีการก่อตั้งสตาร์ตอัพเกษตรแต่ยังมีจำนวนไม่มากและสมาชิกในระบบนิเวศยังทำงานในลักษณะที่เป็นอิสระต่อกัน
  • 2) การรวมตัว (Agglomeration) เริ่มมีจำนวนเพิ่มมากขึ้นและมีการทำงานร่วมกันระหว่างสมาชิกในระบบนิเวศเพื่อให้เกิดประโยชน์แก่ส่วนรวม
  • 3) โลกาภิวัตน์ (Globalization) ระบบนิเวศภายในประเทศมีการแลกเปลี่ยนทรัพยากรเช่นเงินทุนบุคลากรและเทคโนโลยีกับต่างประเทศอย่างต่อเนื่อง
  • 4) การสอดประสาน (Harmonization) สมาชิกในระบบนิเวศทำงานสอดประสานกันส่งผลให้มูลค่าของระบบนิเวศเพิ่มขึ้นแบบทวีคูณ 

ดร. พันธุ์อาจ ชัยรัตน์ ผู้อำนวยการ สำนักงานนวัตกรรมแห่งชาติ (องค์การมหาชน) หรือ NIA เปิดเผยว่า การเติบโตของสตาร์ตอัพด้านเกษตรจะเห็นได้จากการลงทุนขนาดใหญ่จากนักลงทุนทั้งในและต่างประเทศ และจากการสำรวจในปี 2563 มีจำนวนสตาร์ทอัพด้านเกษตรเพียง 53 บริษัท แต่ปัจจุบันมีสตาร์ตอัพด้านเกษตรรายใหม่เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องจากจำนวนของสตาร์ตอัพด้านเกษตรที่เข้าร่วมกิจกรรมส่งเสริมให้เกิดการจุดประกายแนวคิดการพัฒนาธุรกิจและการเติบโตของสตาร์ตอัพด้านเกษตร ซึ่งคาดว่ามีอยู่เกือบถึง 70 บริษัท

ดังนั้น ยุทธศาสตร์การดำเนินงานในระยะต่อไปของ NIA จึงมุ่งเน้นการเป็นสะพานเชื่อมเพื่อพัฒนาสตาร์ตอัพด้านเกษตรให้มีโอกาสทำงานร่วมกับทุกภาคในระบบผ่านกลไกและเครื่องมือ 4 แนวทาง ได้แก่ การเพิ่มปริมาณการปรับปรุงคุณภาพการเพิ่มความหลากหลายและการสร้างความร่วมมือ

ทั้งนี้ เพื่อการพัฒนาสตาร์ตอัพด้านเกษตรของไทยให้มีคุณภาพสามารถเป็นผู้นำการพลิกโฉมวงการเกษตร (Agriculture Transformation) ได้อย่างความยั่งยืน และหากสนใจข้อมูลเพิ่มเติมสามารถเข้าไป ดาวน์โหลดสมุดปกขาวการขับเคลื่อนพัฒนาระบบนิเวศวิสาหกิจเริ่มต้นด้านการเกษตรของประเทศไทย ได้ที่ หรือ E-book ที่ https://anyflip.com/zimhm/qdek/

STAY CONNECTED

0แฟนคลับชอบ
440ผู้ติดตามติดตาม
spot_img

Lastest News

MUST READ