DKSH บริษัทชั้นนำด้านการขยายตลาดที่ดำเนินธุรกิจในประเทศไทยมายาวนานเกือบ 120 ปี เปิดบ้าน ‘ศูนย์กระจายสินค้าอุปโภคบริโภค (CGDC)’ ณ ถนนบางนา-ตราด กม.20 เผยเบื้องหลังความสำเร็จของหน่วยธุรกิจสินค้าอุปโภคบริโภค (FMCG) โชว์ศักยภาพเครือข่ายซัพพลายเชนที่ครอบคลุมและทันสมัยที่สุดแห่งหนึ่งของประเทศ
พร้อมตอกย้ำวิสัยทัศน์การลงทุนอย่างต่อเนื่องในไทย ในฐานะตลาดที่สำคัญที่สุดของกลุ่ม DKSH ทั่วโลก ชูเทคโนโลยีโดรนสำรวจสต็อก รถบรรทุก EV และโซลาร์เซลล์ ควบคู่ไปกับการพัฒนาที่ยั่งยืน พร้อมประกาศแผนขยายศูนย์กระจายสินค้าระดับภูมิภาคอีก 3 แห่งในขอนแก่น เชียงใหม่ และสุราษฎร์ธานี เพื่อรองรับการเติบโตในอนาคต
ศูนย์กระจายสินค้าแห่งนี้ ถือเป็นจุดยุทธศาสตร์สำคัญที่ใช้เทคโนโลยีขั้นสูงในการยกระดับซัพพลายเชนสินค้าอุปโภคบริโภค ให้มีประสิทธิภาพและมีความรับผิดชอบต่อสิ่งแวดล้อม ตอกย้ำถึงบทบาทของ DKSH ในฐานะพันธมิตรที่น่าเชื่อถือสำหรับแบรนด์ชั้นนำในเอเชีย ซึ่งอยู่เคียงข้างชาวไทยมากว่า 119 ปี ด้วยการนำเทคโนโลยีชั้นนำมาผสานกับประสบการณ์ เพื่อส่งมอบสินค้าคุณภาพไปสู่พื้นที่ต่าง ๆ ทั่วประเทศได้อย่างรวดเร็วและปลอดภัย
ประเทศไทย: หัวใจสำคัญของ DKSH กรุ๊ป
นีล แมคแคน รองประธานฝ่ายบริหารซัพพลายเชน ประเทศไทยและลาว บริษัท DKSH (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า ประเทศไทยคือส่วนที่สำคัญที่สุดของธุรกิจทั้งหมดในกลุ่ม DKSH ด้วยประวัติศาสตร์การดำเนินงานที่ยาวนานเกือบ 120 ปี และสร้างรายได้คิดเป็นสัดส่วนถึง 30% ของทั้งกรุ๊ป DKSH ได้ผ่านร้อนผ่านหนาวและพิสูจน์ให้เห็นถึงความมุ่งมั่นที่มีต่อตลาดประเทศไทยมาโดยตลอด
“เราอยู่ที่นี่มา 120 ปี เราผ่านช่วงเวลาทั้งที่เศรษฐกิจเติบโตอย่างแข็งแกร่งและช่วงที่ชะลอตัว เรามุ่งมั่นที่จะเติบโตและพัฒนาธุรกิจของเราต่อไป ไม่ว่าเศรษฐกิจจะรุ่งเรืองหรือซบเซา” นีล แมคแคน กล่าว
สำหรับในประเทศไทย เฉพาะหน่วยธุรกิจสินค้าอุปโภคบริโภค DKSH เป็นกำลังสำคัญในการขับเคลื่อนแบรนด์กว่า 129 แบรนด์ ด้วยทีมงานกว่า 6,500 คน และเครือข่ายการกระจายสินค้าที่เจาะลึกเข้าถึงร้านค้ากว่า 140,000 แห่งทั่วประเทศ ตั้งแต่ไฮเปอร์มาร์เก็ตขนาดใหญ่ไปจนถึงร้านค้าปลีกรายย่อย (Mom and Pop stores) ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้ DKSH เป็นผู้เล่นรายใหญ่ที่เข้าใจภูมิทัศน์ค้าปลีกและพฤติกรรมผู้บริโภคชาวไทยอย่างลึกซึ้ง
เบื้องหลังซัพพลายเชนอัจฉริยะขับเคลื่อนด้วยเทคโนโลยี
นรินทร์ รัชนีกรไกรลาศ ผู้อำนวยการอาวุโส ฝ่ายซัพพลายเชน หน่วยธุรกิจสินค้าอุปโภคบริโภค บริษัท DKSH (ประเทศไทย) จำกัด ได้ฉายภาพเครือข่ายโลจิสติกส์อันแข็งแกร่ง ประกอบด้วยศูนย์กระจายสินค้า (DC) หลัก 5 แห่ง และฮับ (Hub) อีก 5 แห่งในจังหวัดยุทธศาสตร์ โดยศูนย์ CGDC ที่บางนา ซึ่งเริ่มดำเนินการตั้งแต่ปี พ.ศ. 2549 ถือเป็นศูนย์ที่ใหญ่ที่สุด ด้วยพื้นที่ 65,000 ตร.ม. (เทียบเท่า 6 สนามฟุตบอล) รองรับสินค้าได้มากกว่า 5,000 รายการ (SKUs) มีพื้นที่จัดเก็บ 66,000 พาเลท พร้อมรถขนส่งกว่า 370 คัน และดำเนินงานตลอด 24 ชั่วโมง 6 วันต่อสัปดาห์
หัวใจสำคัญของการดำเนินงานคือการนำเทคโนโลยีขั้นสูงเข้ามาเพิ่มประสิทธิภาพและความแม่นยำในทุกขั้นตอน ได้แก่
- เทคโนโลยีอัจฉริยะ: ภายในศูนย์มีการนำเทคโนโลยีขั้นสูงมาปรับใช้เพื่อยกระดับความเป็นเลิศในการดำเนินงาน ตั้งแต่แดชบอร์ด KPI แบบเรียลไทม์ เทคโนโลยี RFID ไปจนถึงการใช้ โดรนในการบริหารจัดการสต็อก ซึ่งปฏิวัติกระบวนการแบบเดิมที่ต้องใช้คน โดยโดรนจะทำงานเชื่อมกับระบบ AI และ SAP สามารถบินสำรวจและประมวลผลจำนวนสินค้าได้อย่างรวดเร็วและแม่นยำ
- ระบบดิจิทัลเต็มรูปแบบ: การดำเนินงานทั้งหมดอยู่บนระบบ SAP ที่ทำงานร่วมกับซอฟต์แวร์ Process Optimization ทำให้เกิดระบบการจัดการอัจฉริยะตั้งแต่การรับสินค้าเข้า (Inbound) การจัดเก็บ (Smart Put Away) ไปจนถึงการหยิบสินค้า (Picking) ผ่านอุปกรณ์ RF Scan ที่มีความแม่นยำสูงสุด
- บริการเสริมมูลค่าครบวงจร (Value-Added Services): DKSH พร้อมให้บริการที่ครอบคลุมทุกความต้องการของลูกค้า เช่น บริการบรรจุผลิตภัณฑ์ใหม่ (Custom Packing Solutions) บริการติดฉลากสินค้า (Labeling Services) และบริการควบคุมคุณภาพสินค้าตามช่องทางจัดจำหน่าย (Channel-Specific Quality Control)
- การขนส่งอัจฉริยะ (Smart Transportation): ด้วยปริมาณการจัดส่งเกือบ 9 ล้านเคสต่อเดือน DKSH ใช้ระบบ Transport Management System (TMS) ควบคู่กับแอปพลิเคชัน “QuickSign” เพื่อติดตามสถานะการจัดส่งได้แบบเรียลไทม์ เมื่อสินค้าส่งถึงร้านค้า ระบบจะแจ้งเตือนไปยังทีมขายทันทีเพื่อวางแผนในรอบถัดไป
การดำเนินงานทุกขั้นตอน อยู่ภายใต้มาตรฐานสูงสุดระดับสากลทั้ง ISO 9001:2015, ISO 14001:2015 และ ISO 45001:2018
ความยั่งยืนสู่การเติบโตอย่างรับผิดชอบ
ความยั่งยืนเป็นหัวใจสำคัญที่สอดแทรกอยู่ในการดำเนินงานของ CGDC ตั้งแต่การใช้ไฟ LED แบบประหยัดพลังงาน การติดตั้งแผงโซลาร์เซลล์ การคัดแยกขยะ การหมุนเวียนน้ำกลับมาใช้ใหม่ ตลอดจนการเริ่มนำรถบรรทุกไฟฟ้า (EV Truck) มาใช้ในการขนส่ง การติดตั้งแผงโซลาร์เซลล์เพียงอย่างเดียวสามารถช่วยลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ได้กว่า 325 ตันต่อปี เทียบเท่ากับการปลูกต้นไม้ถึง 14,700 ต้น ซึ่งเป็นหนึ่งในปัจจัยที่ทำให้ DKSH ได้รับการยกย่องให้เป็น Climate Action Leader 2025
นอกจากนี้ CGDC ยังคว้ารางวัลระดับประเทศด้านความปลอดภัย อาชีวอนามัย และสิ่งแวดล้อมหลายรายการ รวมถึงรางวัลด้านความปลอดภัยสูงสุดต่อเนื่อง 7 ปีซ้อน สะท้อนถึงความเชี่ยวชาญของ DKSH ในการให้ความสำคัญกับบุคลากรและสิ่งแวดล้อม พร้อมมุ่งสู่เป้าหมายความเป็นกลางทางคาร์บอน ภายในปี พ.ศ. 2573
มุ่งสู่อนาคตด้วยการลงทุนต่อเนื่อง
สำหรับก้าวต่อไป DKSH กำลังวางแผนขยายการลงทุนเพื่อสร้างศูนย์กระจายสินค้าระดับภูมิภาค (Regional DC) เพิ่มเติมอีก 3 แห่ง ได้แก่ ขอนแก่น เชียงใหม่ และสุราษฎร์ธานี เพื่อรองรับการเติบโตของตลาด โดยเฉพาะในภาคตะวันออกเฉียงเหนือที่มีกำลังซื้อสูงขึ้น และสุราษฎร์ธานีที่เป็นจุดยุทธศาสตร์สำคัญในการกระจายสินค้าสู่ภาคใต้
นีล แมคแคน กล่าวปิดท้ายว่า “นวัตกรรมและความยั่งยืนเป็นปัจจัยสำคัญในการขับเคลื่อนการเติบโตขององค์กรในระยะยาว การผสานเอาเทคโนโลยีล้ำสมัยอย่าง AI เข้ากับแนวทางปฏิบัติที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม จะช่วยให้พันธมิตรของเราสามารถเข้าถึงตลาดได้รวดเร็ว มีประสิทธิภาพ และดำเนินธุรกิจได้อย่างมีความรับผิดชอบมากขึ้น ศูนย์กระจายสินค้าแห่งนี้เป็นเครื่องยืนยันถึงความมุ่งมั่นของ DKSH ในการลงทุนด้านนวัตกรรมที่ไม่เพียงตอบโจทย์ความต้องการในปัจจุบัน แต่ยังวางรากฐานเพื่อการขยายตลาดอย่างยั่งยืนในอนาคต”
ข่าวอื่น ๆ ที่น่าสนใจ
ยุทธศาสตร์ AI ชาติ ชูธง ‘AI เป็นกลาง’ สู่ ‘อธิปไตยดิจิทัล’
TicketO เปิดตัวบน LINE Mini App ชู AI ปฏิวัติการจัดอีเวนต์ครบวงจร
