TH | EN
TH | EN
หน้าแรกColumnistBualuang Knowledge Sharingลงทุนต่างประเทศได้ง่าย ๆ กับ “Global Trade Master”

ลงทุนต่างประเทศได้ง่าย ๆ กับ “Global Trade Master”

ตลาดหุ้นต่างประเทศในปี 2565 ปรับตัวลงจากหลายปัจจัย อาทิ สงครามรัสเซีย-ยูเครน วิกฤตราคาพลังงานและอาหารโลกที่ส่งผลให้เงินเฟ้อพุ่งแตะระดับสูงสุดในรอบหลายสิบปี รวมทั้งความผันผวนในตลาดการเงินโลก หลังธนาคารกลางสหรัฐฯ ปรับขึ้นดอกเบี้ยเข้มงวดเพื่อสู้กับเงินเฟ้อ ส่งผลให้ดัชนี S&P 500 ซึ่งเป็นดัชนีหลักของสหรัฐฯ ปรับลง 19.4% ในปี 2565 ขณะที่ดัชนีฮั่งเส็งของฮ่องกงและดัชนี VN ของเวียดนาม ปรับลง 15.5% และ 32.8% ตามลำดับ อย่างไรก็ดี ผู้เขียนเชื่อว่า 3 ตลาดดังกล่าว จะมีแนวโน้มดีขึ้นในปี 2566 และมองว่ายังมีโอกาสให้นักลงทุนเข้าไปลงทุนได้เช่นกัน

เริ่มกันที่ตลาดหุ้นสหรัฐฯ ในปี 2565 ที่ผ่านมา ถูกกดดันจากการที่ธนาคารกลางสหรัฐฯ ขึ้นดอกเบี้ยอย่างต่อเนื่องเพื่อชะลอเงินเฟ้อ โดยดอกเบี้ยปัจจุบันอยู่ที่ระดับ 4.25-4.50% ซึ่งเป็นระดับที่สูงที่สุดในรอบ 15 ปี อีกทั้งยังมีการเกิด Inverted Yield Curve หรือ การที่ผลตอบแทนพันธบัตรสหรัฐฯ อายุ 2 ปี สูงกว่า 10 ปี เป็นระยะเวลานานกว่า 5 เดือน ซึ่งเป็นสถานการณ์ที่ไม่ปกติ สร้างความกังวลว่าอาจเกิดภาวะเศรษฐกิจถดถอยในปี 2566

ทั้งนี้ ผู้เขียนมองว่าหุ้นสหรัฐฯ ยังมีความเสี่ยงที่กำไรอาจถูกปรับคาดการณ์ลงในช่วงไตรมาส 1 เนื่องจากบริษัทจดทะเบียนจะมีการเผยผลประกอบการไตรมาส 4 ของปี 2565 โดยแต่ละบริษัทจะมีการเผยมุมมองและคาดการณ์กำไรในปีนี้ ซึ่งอาจมีมุมมองในเชิงลบมากขึ้น ทำให้อาจเป็นปัจจัยที่กดดันหุ้นสหรัฐฯ ในช่วงดังกล่าว จึงมองว่าหุ้นกลุ่มการแพทย์ที่มีความเป็น defensive และมีผลการดำเนินงานที่สม่ำเสมอน่าสนใจ เช่น CVS Health (CVS) UnitedHealth (UNH) และ Johnson & Johnson (JNJ) หรืออาจเริ่มพิจารณาหุ้น growth ที่ปรับฐานลงมาลึกจนมีความเป็นหุ้น value มากขึ้นในปัจจุบัน เช่น Alphabet (GOOGL) และ Zoom (ZM) เป็นต้น อย่างไรก็ดี ผู้เขียนเชื่อว่าหุ้นสหรัฐฯ จะมีแนวโน้มดีขึ้นในช่วงไตรมาส 2 ของปี 2566 จากการที่ธนาคารกลางสหรัฐฯ มีแนวโน้มที่จะหยุดขึ้นดอกเบี้ยตั้งแต่เดือนพฤษภาคม เป็นต้นไป

ขณะที่หุ้นฮ่องกงยังปรับลงในปี 2565 ซึ่งเป็นการปรับลง 3 ปีติดต่อกัน กดดันจากการจัดระเบียบบริษัทเทคโนโลยี วิกฤตหนี้ในภาคอสังหาริมทรัพย์ และการใช้นโยบาย Zero-COVID ในจีน เป็นต้น อย่างไรก็ดี ผู้เขียนมองว่าปีนี้จะเป็นปีที่หุ้นฮ่องกงฟื้นตัวดีขึ้น หลังรัฐบาลจีนส่งสัญญาณผ่อนคลายมาตรการควบคุมโควิดต่อเนื่อง และมีแนวโน้มที่จะยกเลิกในช่วงไตรมาส 1 อีกทั้งจีนและฮ่องกงได้เปิดพรมแดนระหว่างกันตั้งแต่ต้นเดือนมกราคม จึงคาดว่าจะหนุนให้เศรษฐกิจฮ่องกงฟื้นตัวดีขึ้นด้วย หลังนักท่องเที่ยวจีนมีสัดส่วนถึง 66% ของนักท่องเที่ยวทั้งหมด และมองว่าจะเป็นปัจจัยบวกต่อหุ้นอิงเปิดเมือง เช่น Anta Sports (2020) Yum China (9987) โดยคาดการณ์จาก Bloomberg consensus เผยว่า GDP จีนมีแนวโน้มโตราว 5%YoY ในปีนี้ ขณะที่ GDP ฮ่องกงมีแนวโน้มโต 2.8%YoY ด้านการจัดระเบียบก็เริ่มคลี่คลายลง หลังรัฐบาลเผยว่าจะสนับสนุนบริษัทแพลตฟอร์มอินเทอร์เน็ตให้เป็นส่วนหนึ่งในการพัฒนาประเทศ จึงมีมุมมองบวกต่อหุ้นเทคโนโลยียักษ์ใหญ่ เช่น  Alibaba (9988) Tencent (700) JD.com (9618) Meituan (3690) เป็นต้น

ก่อนไปถึงมุมมองตลาดสุดท้าย คือ หุ้นเวียดนาม ทางหลักทรัพย์บัวหลวงขอแนะนำแพลตฟอร์มการลงทุนต่างประเทศใหม่ Global Trade Master (GTM) ที่เริ่มเปิดให้บริการไปเมื่อวันที่ 5 มกราคม 2566 ที่ผ่านมา ซึ่งมีความน่าสนใจ คือ นักลงทุนสามารถซื้อขายหุ้นเวียดนามผ่านแพลตฟอร์มออนไลน์ได้ เพิ่มความสะดวกสบายให้กับนักลงทุนไทยสายหุ้นเวียดนาม นอกจากนี้ แพลตฟอร์ม ดังกล่าวยังมีจุดเด่น ดังนี้

  1. มีบริการให้สามารถซื้อขาย Fractional Shares หุ้นสหรัฐฯ ได้ กล่าวคือ นักลงทุนสามารถซื้อขายหุ้นจำนวนน้อยกว่า 1 หุ้น เป็นทศนิยมได้สูงสุด 5 ตำแหน่ง (ต่ำสุด 0.00001 หุ้น) และมีมูลค่าการลงทุนขั้นต่ำการซื้อขายเพียง 1 ดอลลาร์สหรัฐ ทำให้นักลงทุนสามารถเข้าถึงหุ้นสหรัฐฯ ได้ง่ายขึ้น
  2. มีบริการข้อมูลเชิงพื้นฐานเพื่อช่วยประกอบการตัดสินใจลงทุน เช่น อัตราส่วนทางการเงิน มุมมองจากนักวิเคราะห์ ราคาเป้าหมายจาก consensus การเปรียบเทียบบริษัทคู่แข่ง เป็นต้น และยังมีบริการสรุปวิเคราะห์เชิงเทคนิคและสรุปสัญญาณซื้อขายให้อีกด้วย
  3. ให้นักลงทุนซื้อขายได้รวดเร็ว หรือเพิ่มกลยุทธ์ด้วยคำสั่งซื้อขายหุ้นตามเงื่อนไขอัตโนมัติ ไม่ต้องเฝ้าหน้าจอกับ Advanced Order

เวียดนามเป็นอีกหนึ่งตลาดที่ปรับฐานแรงในปี 2565 หลังถูกกดดันจากหลายปัจจัย เช่น การจับผู้บริหารที่มีการปั่นหุ้นของบางบริษัท ความกังวลบริษัทอสังหาริมทรัพย์ที่มีการออกหุ้นกู้ผิดกฎหมาย การขึ้นดอกเบี้ยนโยบายถึง 2% ภายในหนึ่งเดือน อย่างไรก็ดี ผู้เขียนมีมุมมองเชิงบวกต่อตลาดหุ้นเวียดนามมากขึ้นในปี 2566 หลังรัฐบาลและธนาคารกลางเวียดนามได้ออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจตั้งแต่ช่วงสิ้นปีที่ผ่านมา เช่น การขยายอัตราเติบโตสินเชื่อสูงสุดของธนาคารพาณิชย์ การเสนอผ่อนคลายเกณฑ์ในการออกหุ้นกู้ เป็นต้น

ขณะที่คาดการณ์จาก Bloomberg Consensus เผยว่า GDP เวียดนามจะโต 6.2%YoY ในปีนี้ ซึ่งสูงกว่าค่าเฉลี่ยของภูมิภาคอาเซียนที่ราว 4.9%YoY โดยธีมหุ้นเวียดนามที่ผู้เขียนมองว่าน่าสนใจในปีนี้ คือ กลุ่มเปิดเมือง เช่น ผู้พัฒนาห้างสรรพสินค้า Vincom Retail (VRE) คล้าย CPN ของไทย ผู้ผลิตและจำหน่ายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ Sabeco (SAB) และผู้นำด้านสินค้าอุปโภคบริโภคและร้านค้าปลีก Masan Group (MSN) คล้าย CPALL ของไทย หลังคาดการณ์จำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติในปีนี้จะอยู่ที่ราว 10 ล้านคน เพิ่มขึ้น 195%YoY (คิดเป็น 55% ของช่วงก่อนโควิดในปี 62) ทำให้คาดว่าจะเป็นปัจจัยหนุนต่อการบริโภคภายในประเทศเช่นกัน

กล่าวโดยสรุป แม้ตลาดหุ้นสหรัฐฯ จะยังคงมีความเสี่ยงจากแนวโน้มการถูกปรับลดคาดการณ์กำไรในช่วงไตรมาส 1 แต่ผู้เขียนมองว่าตลาดจะมีโมเมนตัมดีขึ้นตั้งแต่ไตรมาส 2 เป็นต้นไป ขณะที่ตลาดหุ้นฮ่องกงและเวียดนามคาดว่าจะมีแนวโน้มฟื้นตัวดีขึ้นในปีนี้ หลังปัจจัยกดดันหลายอย่างเริ่มคลี่คลาย

สำหรับนักลงทุนที่อยากจะลงทุนในหุ้นต่างประเทศ แพลตฟอร์มการลงทุนต่างประเทศใหม่ “Global Trade Master” ถือเป็นแพลตฟอร์มการลงทุนที่ให้บริการด้านการลงทุนทั้ง 3 ประเทศ สหรัฐฯ ฮ่องกง และเวียดนาม ที่น่าสนใจ โดยนักลงทุนสามารถศึกษาข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ เว็บไซต์ www.bualuang.co.th/globaltrademaster

บทความอื่น ๆ ของผู้เขียน

“Fixed Coupon Note” ทางเลือกลงทุนยุคเงินเฟ้อสูง-ตลาดผันผวน

5 คำแนะนำลงทุน อย่างไรให้สนุก ลุกนั่งสบาย

รายงาน BLS Top Funds แนะ 3 กองทุนเด่นโค้งสุดท้ายของปี 2565 

STAY CONNECTED

0แฟนคลับชอบ
440ผู้ติดตามติดตาม
spot_img

Lastest News

MUST READ