ไม่ว่าจะสถานการณ์ปกติหรือภาวะโรคระบาดอย่าง Covid-19 แบบนี้ ธุรกิจสุขภาพ (Healthcare) ยังคงมีบทบาทและความสำคัญต่อผู้คนทั่วโลกตลอดเวลา
เหตุผลแรกคงหนีไม่พ้น ‘ยารักษาโรค’ คือ 1 ในปัจจัย 4 ในการดำรงชีวิตมนุษย์ เพราะโรคภัยไข้เจ็บ…เป็นของคู่กัน เกิดขึ้นได้ตลอดเวลา
- Google Earth เผยการเปลี่ยนแปลงของโลก ครั้งใหญ่ที่สุดในรอบหลายปี
- 344 ปี กับการเป็นไปได้ของ “คอคอดกระ” ไทย
ยิ่งตอนนี้โลกกำลังต่อสู้กับโรคระบาด Covid-19 มานานกว่า 16 เดือน ทางออกเดียวคือ ‘วัคซีน’ ที่จะเป็นอาวุธสำคัญให้มนุษยชาติใช้ต่อกรกับไวรัสตัวนี้ได้
การพัฒนาวัคซีนอย่างเร่งด่วน มีส่วนทำให้บริษัท Healthcare ระดับโลกมีบทบาทสำคัญอีกครั้ง ไม่ว่าจะเป็นบริษัท Pfizer บริษัท BioNtech บริษัท AstraZeneca บริษัท Moderna บริษัท Johnson & Johnson หรือบริษัท Sinovac Biotech รวมทั้งบริษัทอื่น ๆ ทั่วโลก ที่พยายามคิดค้นวัคซีนป้องกัน Covid-19 ที่ให้ประสิทธิภาพดีที่สุด
นี่เป็นแค่ตัวอย่างที่สะท้อนว่า ธุรกิจ ‘สุขภาพ’ มีอิทธิพลต่อการดำรงชีวิตมนุษย์มากแค่ไหน แล้วโอกาสหุ้นในธุรกิจกลุ่มนี้…จะเป็นโอกาสการลงทุนในอนาคตได้อย่างไร
รู้จักกับธุรกิจ ‘Healthcare’ ระดับโลก
อุตสาหกรรม Healthcare สามารถแบ่งเป็นธุรกิจย่อย 4 กลุ่มหลักและ 1 ภาคบริการ ดังนี้
- กลุ่มธุรกิจ Pharmaceutical บริษัทยา ซึ่งผลิตและจำหน่ายยา แบ่งเป็น 2 ประเภท ได้แก่ ยา Original ยาที่จดสิทธิบัตร และยา Generic ยาสามัญ หรือยาที่หมดสิทธิบัตรแล้ว
สำหรับสิทธิบัตรยาจะมีอายุ 20 ปี ซึ่งเจ้าของจะสามารถผลิตและจำหน่ายได้แต่เพียงผู้เดียว ดังนั้นในช่วงที่ถือสิทธิบัตรยา เป็นเวลาทองในการสร้างรายได้และกำไร
บริษัทในกลุ่มนี้ ได้แก่ บริษัท Johnson & Johnson (สหรัฐอเมริกา) บริษัท Roche (สวิสเซอร์แลนด์) บริษัท Takeda (ญี่ปุ่น) และบริษัท Sanofi (ฝรั่งเศส)
- กลุ่มธุรกิจ Biotechnology การศึกษาค้นคว้าสิ่งมีชีวิตเพื่อนำมาใช้ประโยชน์ การค้นคิดและพัฒนาวัคซีนจัดอยู่ในกลุ่มนี้ด้วย
บริษัทในกลุ่มนี้ ได้แก่ บริษัท AmGen บริษัท Biogen และบริษัท Gilead ของสหรัฐฯ และ Bayer ของเยอรมัน
- กลุ่มธุรกิจ Healthcare Equipment & Supplies การผลิตเครื่องมืออุปกรณ์การแพทย์ ซึ่งแบ่งเป็น 3 ประเภท ได้แก่
- อุปกรณ์ใช้แล้วทิ้ง (Single-Use Devices) เข็มฉีดยา หลอดฉีดยา ถุงมือยาง มีสัดส่วน 20% ของการผลิต
- อุปกรณ์ใช้คงทน (Durable Medical Devices) เตียงคนไข้ รถเข็น เครื่องมือแพทย์ใช้เทคโนโลยีสูง เครื่องมือวินิจฉัยโรคต่าง ๆ มีสัดส่วน 75% ของการผลิต
- น้ำยาวินิจฉัยโรค (Reagents and test Kits) สำหรับใช้ในห้องปฏิบัติการ มีสัดส่วน 5% ของการผลิต
บริษัทในกลุ่มนี้ ได้แก่ เช่น บริษัท Abbott Laboratories บริษัท Medtronic และบริษัท DePuy Synthes ของสหรัฐฯ และ Siemens ของเยอรมัน
- กลุ่มธุรกิจ Healthcare Provider การบริหารโรงพยาบาล มีรายได้จากค่ายา บริการของบุคลากรการแพทย์ การตรวจแล็บหรือเอ็กซ์เรย์ และห้องพักผู้ป่วย
บริษัทในกลุ่มนี้ ได้แก่ บริษัท Unitedhealth Group และบริษัท Teladoc Health ของสหรัฐฯ
- บริการ Healthcare Insurance ประกันสุขภาพ อาจจะมีคาบเกี่ยวกับกลุ่มการเงินและประกัน มีความสำคัญมากในหลาย ๆ ประเทศที่ค่ารักษาพยาบาลแพง แต่สวัสดิการของรัฐน้อย อย่างสหรัฐฯ
‘สังคมคนสูงอายุ’ โอกาสของธุรกิจ ‘Healthcare’
การแพร่ระบาดของ Covid-19 ส่งผลให้กิจกรรมทางเศรษฐกิจชะงักงันไปทั่วโลก จากมาตรการล็อกดาวน์ และการรักษาระยะห่างทางสังคม (Social Distancing)
วิกฤตครั้งนี้ ก็เป็นตัวเร่งให้เกิดการพัฒนาวัคซีนอย่างรวดเร็ว รวมไปถึงความต้องการในด้านระบบสาธารณสุขที่ดีกว่าเดิม แล้วอะไรที่ทำให้ธุรกิจ Healthcare ยังสามารถเติบโตได้อีก?
คำตอบ คือ สังคมผู้สูงอายุ ซึ่งกำลังเป็น Mega Trend ระดับโลก และเป็นประเด็นท้าทายทุกรัฐบาลในการออกนโยบายเพื่อรับมือจำนวนคนสูงวัยที่เพิ่มขึ้นทุก ๆ ปี เพราะอายุขัยของผู้คนปัจจุบันยืนยาวขึ้น ขณะที่อัตราการเกิดใหม่กลับลดลงในหลาย ๆ ประเทศ ทำให้สัดส่วนประชากรสูงวัยเมื่อเทียบกับประชากรทั้งหมดเพิ่มมากขึ้น
Deloitte คาดการณ์ว่า ประชากรที่มีอายุ 65 ปีทั่วโลก จะมีสัดส่วน 11.8% ของประชากรทั้งหมดในปี 2566 โดยประเทศที่จะมีสัดส่วนประชากรสูงวัยสูงที่สุด คงหนีไม่พ้นญี่ปุ่น คาดว่าอยู่ที่ 29% รองลงมาคือ โซนยุโรปตะวันตกที่ 22%
องค์การสหประชาชาติ (United Nations หรือ UN) ให้แบ่งระดับการเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุ เป็น 3 ระดับ ได้แกุ่
- สังคมผู้สูงอายุ (Aging society) สัดส่วนประชากรอายุ 60 ปี ขึ้นไปมากกว่า 10% ของประชากรทั้งหมด หรือสัดส่วนประชากรอายุ 65 ปีขึ้นไปมากกว่า 7% ของประชากรทั้งหมด
- สังคมผู้สูงอายุโดยสมบูรณ์ (Aged society) สัดส่วนประชากรอายุ 60 ปี ขึ้นไปมากกว่า 20% ของประชากรทั้งหมด หรือสัดส่วนประชากรอายุ 65 ปีขึ้นไปมากกว่า 14% ของประชากรทั้งหมด
- สังคมผู้สูงอายุอย่างเต็มที่ (Super-aged society) หมายถึงสัดส่วนประชากรอายุ 65 ปีขึ้นไปมากกว่า 20% ประชากรทั้งหมด
นั่นหมายความว่า ญี่ปุ่นและยุโรปตะวันตกกำลังจะเป็น Super-aged society ในอีกไม่กี่ปีข้างหน้า และจะมีอีกหลาย ๆ ประเทศตามมาในอนาคต รวมทั้งไทยด้วย
เมื่อสังคมผู้สูงอายุกำลังขยายตัวในทุกมุมโลก ความต้องการระบบสาธารณสุข การรักษาพยาบาล และยารักษาโรคที่ดีจะเพิ่มขึ้นเป็นเงาตามตัว รวมทั้งจะต้องมีการวิจัยและพัฒนาเครื่องมือทางการแพทย์ วิธีการรักษา ยา และวัคซีน เพื่อมาสนับสนุนความต้องการจากกลุ่มคนไข้สูงวัยด้วย
Deloitte มองข้ามช็อตไปอีกว่า ประชากรที่ป่วยเป็นโรคเรื้อรัง อย่างเบาหวาน จะเพิ่มขึ้นถึง 48% เป็น 629 ล้านคนในปี 2588 นำโดยประเทศใหญ่ ๆ อย่าง จีน 114.4 ล้านคน อินเดีย 72.9 ล้านคน และสหรัฐฯ 30.2 ล้านคน
เมื่อจำนวนผู้ป่วยและผู้สูงวัยเพิ่มขึ้น รัฐบาลแต่ละประเทศจำเป็นต้องใช้เงินลงทุนกับระบบสาธารณสุขอีกมหาศาล Deloitte มองว่า จะใช้เงินเพิ่มขึ้น 5% ต่อปี จนถึงปี 2566 เพิ่มจากปี 2557-61 ที่เพิ่มขึ้นปีละ 2.7%
ในปี 2566 เม็ดเงินที่ลงทุนในระบบสาธารณสุขคิดเป็น 10.2% ต่อ GDP โลก โดยสหรัฐฯ ยังเป็นประเทศที่ลงทุนกับระบบสาธารณสุขสูงที่สุด 12,262 ดอลลาร์สหรัฐต่อคนต่อปี ส่วนปากีสถานลงทุนต่ำที่สุดที่ 45 ดอลลาร์สหรัฐต่อคนต่อปีึ
เห็นทิศทางอย่างนี้แล้ว ไม่ว่าจะยุคสมัยไหนหรืออีกกี่สิบปีข้างหน้า ธุรกิจ ‘Healthcare’ ยังสามารถต้านทานกระแสของการเปลี่ยนแปลงได้เสมอ เพราะทันทีที่มีโรคระบาดใหม่ ๆ หรือมีโรคที่รักษาได้ยาก แพทย์และนักวิจัยทั่วโลกก็พร้อมจะพัฒนาเครื่องมือ ยา และวัคซีนมาเพื่อเอาชนะโรคร้าย
เราจึงได้เห็นเทคโนโลยีใหม่ ๆ เกิดขึ้นในแวดวงสาธารณสุขทั่วโลกตลอดเวลา เช่น แพลตฟอร์มการให้คำปรึกษาและวินิจฉัยโรคทางไกล หรือ Telemedicine เครื่องมือในห้องผ่าตัดที่ใช้ปัญญาประดิษฐ์ (Artificial Intelligence – AI) และหุ่นยนต์มาช่วยอำนวยความสะดวกให้แพทย์และพยาบาล
ในอนาคต เราอาจจะได้เห็นแพทย์ทำการผ่าตัดจากบ้าน โดยสั่งการผ่าน AI และให้หุ่นยนต์ในห้องผ่าตัดจัดการให้หมด ที่สำคัญคือ ใช้บุคลากรทางการแพทย์ในห้องผ่าตัดลดลงด้วย แก้ปัญหาบุคลากรขาดแคลนได้อีกทาง
นอกจากนี้ธุรกิจ Healthcare ยังสามารถแตกแขนงไปสู่นวัตกรรมทางการแพทย์เชิงลึกที่จะวิเคราะห์วินัจฉัยโรคในระดับพันธุกรรม เริ่มมีการพูดถึงศาสตร์ของ Genomics ที่หลายบริษัทเริ่มหาพันธมิตรพัฒนานวัตกรรมด้านนี้แล้ว
Jitta Wealth เล็งเห็นว่า ‘สังคมคนสูงวัย’ จะเป็นเมกะเทรนด์ระยะยาวในอีก 10-20 ปีข้างหน้า ในบริการกองทุนส่วนบุคคล Thematic มีธีม Healthcare มาเป็นอีกหนึ่งทางเลือกให้นักลงทุน โดยจะลงทุนในกองทุน iShares Global Healthcare ETF (IXJ)
IXJ อ้างอิงดัชนี S&P Global 1200 Health Care Index ลงทุนมากกว่า 100 บริษัททั้งขนาดเล็กและขนาดใหญ่ ในธุรกิจ Healthcare ที่กระจายอยู่ทั่วโลก
กองทุน IXJ จะลงทุนในธุรกิจ Healthcare ชั้นนำอย่างบริษัท Johnson & Johnson บริษัท Unitedhealth Group บริษัท Roche บริษัท Abbott Laboratories บริษัท Novartis บริษัท Pfizer บริษัท Merck & Co บริษัท Thermo Fisher Scientific บริษัท Abbvie และบริษัท Medtronic
ผลตอบแทนปี 2563 ของกองทุน IXJ อยู่ที่ 12.75% เฉลี่ย 10 ปีย้อนหลังที่ 13.12% ต่อปี
นอกจากนี้กองทุนส่วนบุคคล Thematic เปิดโอกาสให้คุณเลือกจัดพอร์ตลงทุน ETF ได้หลากหลายธุรกิจได้ตั้งแต่ 1-5 ธีม จากทั้งหมด 14 ธีม ลองเข้ามาดูธีมการลงทุนอื่น ๆ ได้ที่ https://jittawealth.com/thematic