TH | EN
TH | EN
หน้าแรกBusinessเปิดบทวิเคราะห์ “ตลาด EV โตทั้งระบบนิเวศ” หน้าใหม่-หน้าเก่า ตบเท้าชิงตลาด

เปิดบทวิเคราะห์ “ตลาด EV โตทั้งระบบนิเวศ” หน้าใหม่-หน้าเก่า ตบเท้าชิงตลาด

การจับมือกับระหว่างค่ายรถยนต์ชั้นนำของญี่ปุ่นอย่างฮอนด้า กับผู้ผลิตอุปกรณ์ไฟฟ้าอิเล็กทรอนิกส์บ้านเดียวกันอย่าง โซนี่ เพื่อร่วมกันพัฒนารถยนต์ไฟฟ้านับเป็นข่าวดังที่เรียกเสียงฮือฮาจากหลายฝ่าย และทำให้ใครหลายคนอดคาดหวังและรอคอยยานยนต์ไฟฟ้าภายใต้ความร่วมมือของสองยักษ์จากแดนอาทิตย์อุทัยแห่งนี้ไม่ได้

แม้จะไม่ได้มีการระบุรายละเอียดที่ชัดเจน แต่ทั้งสองบริษัทได้มีการลงนามในบันทึกความเข้าใจ (เอ็มโอยู) ร่วมกัน โดยต่างฝ่ายต่างจะรับผิดชอบพัฒนาในด้านที่ตนเองถนัด คือโซนีดูแลเรื่องระบบเซ็นเซอร์ ระบบจับภาพ เครือข่ายการสื่อสาร และความบันเทิงภายในรถ ขณะที่ ฮอนด้ารับผิดชอบในเรื่องของเทคโนโลยีที่เกี่ยวกับรถยนต์ทั้งหมด

ความเคลื่อนไหวครั้งนี้แสดงให้เห็นว่าอุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้ามีแนวโน้มขยายตัวเติบโตได้ดีมากเพียงใด และจะเป็นเรื่องที่ผิดพลาดอย่างมาก หากบริษัทเทคโนโลยีชั้นนำในเวลานี้จะไม่หาทางมีส่วนร่วมกับตลาดอีวี 

ยกตัวอย่างเช่นในกรณีของโซนี การเข้าร่วมอีวีด้วยการผันตัวเป็นผู้ผลิตเองอาจไม่ใช่ไอเดียที่ดีมากนัก เพราะต้องลงทุนทั้งแต่เรื่องกำลังคน การออกแบบ การพัฒนา และโรงงานผลิตทั้งหมด ซึ่งไม่คุ้มค่าแน่นอน แต่ถ้าเป็นในกรณีร่วมลงทุน โซนี มองเห็นโอกาสที่จะต่อยอดเพิ่มรายได้จากการเข้าร่วมลงทุน อย่างการให้บริการข้อมูลแบบสมัครสมาชิก คอนเทนต์เกม หรือฟังก์ชันอื่น ๆ ที่โซนีสามารถนำเข้าไปติดตั้งภายในรถยนต์ไฟฟ้าได้ 

EV โตรับกระแส Green 

ทั้งนี้ ยานยนต์ไฟฟ้า หรือ Electronic Vehicles (EV) ถือเป็นหนึ่งในเมกะเทรนด์ที่มีโอกาสขยายตัวเติบโตได้อีกมากสำหรับโลกเศรษฐกิจยุคดิจิทัลอย่างอุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้าที่ตอบโจทย์ทั้งในแง่ของประโยชน์ใช้สอยและไม่เป็นพิษเป็นภัยต่อสิ่งแวดล้อม 

จากผลการศึกษาของ Facts and Factors ฉบับล่าสุดซึ่งเผยแพร่เมื่อช่วงต้นเดือนมีนาคมที่ผ่านมา โดยเก็บข้อมูล ประมวลและวิเคราะห์ตลาดรถยนต์ไฟฟ้าจากหลายปัจจัย เช่น ประเภทของยานยนต์ไฟฟ้า (สองล้อ/รถโดยสาร/ขนส่งสาธารณะ) ประเภทของระบบพลังงาน (ไฟฟ้า100%/ไฮบริด) หรือตามรายภูมิภาค เพื่อคาดการณ์ทิศทางตลาดอีวี ในช่วงปี 2022 – 2028 พบว่า มูลค่าขนาดตลาดยานยนต์ไฟฟ้ามีแนวโน้มเติบโตแตะระดับ 980,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ภายในปี 2028 จากมูลค่าเดิมในปี 2021 ที่ 185,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ 

นักวิเคราะห์อีกส่วนหนึ่งคาดการณ์ว่า ตลาดอีวีมีโอกาสเติบโตแตะมูลค่าล้านล้านดอลลาร์สหรัฐภายในอีกไม่กี่ปีข้างหน้า โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อบรรดาค่ายผู้ผลิตรถยนต์ที่ใช้พลังงานเชื้อเพลิงทั่วโลกต่างออกมาประกาศจุดยืนมุ่งสู่การผลิตรถยนต์ไฟฟ้าเต็มตัว 

  • วอลโว่ตั้งเป้าผลิตรถยนต์ไฟฟ้าเต็มรูปแบบภายในปี 2030 พร้อมจัดงบลงทุนพัฒนา 1,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐต่อปี 
  • โฟล์กสวาเก้นตั้งเป้าผลิตรถยนต์ไฟฟ้าให้ได้ 50% ในปี 2030 และหันมาผลิตเต็มตัวในปี 2050 ส่วนโตโยต้าตั้งเป้าผลิตรถยนต์ให้ได้ 8 ล้านคันในปี 2030 
  • BMW ลุยผลิตรถยนต์พลังงานทางเลือก 100% ในปี 2050 เช่นเดียวกันฟอร์ด มอเตอร์ 

ขณะเดียวกัน อีกหลายค่ายรถยนต์ที่แม้จะไม่ได้ประกาศเป้าหมายอย่างชัดเจน แต่ก็มีแผนปล่อยตัวโมเดลรถยนต์ไฟฟ้าออกมาใหม่ ๆ เช่นกัน อย่างค่ายเจนเนอร์รัล มอเตอร์ส (จีเอ็ม) ที่เตรียมปล่อยรถฮัมเมอร์ขับเคลื่อนไฟฟ้า หรือค่ายฮอนด้าที่เตรียมอวดโฉมอีวี 2 รุ่นซึ่งร่วมสร้างกับจีเอ็มในปี 2024 ขณะที่ฮุนไดมีแผนเปิดตัวอีวีและไฮโดรเจน 23 รุ่นภายในปี 2025 หรือเขยิบเข้าใกล้ไทยหน่อยก็คือค่ายรถยนต์จากจีน อย่าง เกรทวอลล์มอเตอร์ (GWM) และ เอ็มจี (MG) ที่มีแผนจะนำรถยนต์ไฟฟ้าราคาเอื้อมถึงเข้ามาเปิดตัวในตลาดไทยมากขึ้นเรื่อย

ปัจจุบัน ผู้เล่นหลัก ๆ ของตลาดยานยนต์ไฟฟ้าโลกประกอบด้วย 

  • Tesla Inc.
  • Okinawa Autotech Pvt. Ltd.
  • Ford Motor
  • Hyundai Motor Company
  • Kia Corporation
  • Tata Motors
  • BYD Company Limited
  • Hero Electric
  • Nissan Motors Co. Ltd.
  • Volkswagen AG
  • General Motors
  • Rivain
  • Daimler AG
  • Chevrolet
  • BMW AG.
  • Mahindra Electric Mobility Limited
  • Toyota Motor Corporation

จากรายชื่อทั้งหมดของผู้เล่นหลัก ๆ ที่มีอยู่ทำให้ผู้เชี่ยวชาญตั้งข้อสังเกตว่า ตลาดอีวีถือเป็นตลาดที่ค่อนข้างใหม่อย่างแท้จริง กล่าวคือการผลิตรถยนต์ไฟฟ้า 100% ไม่ถูกครอบงำ จำกัด หรือกีดกันจากบรรดาค่ายรถยนต์ยักษ์ใหญ่ที่มีอยู่ในตลาดอีกต่อไป บวกกับมีแรงสนับสนุนจากภาครัฐเข้ามาเกี่ยวข้อง เสริมด้วยความต้องการใช้งานจากผู้บริโภคที่ตระหนักถึงความสำคัญของการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม 

ดังนั้น จึงไม่ใช่เรื่องน่าแปลกใจที่จะเห็นสารพัดค่ายรถยนต์ดั้งเดิมหันมาทุ่มงบหลายพันล้านเพื่อทรานส์ฟอร์มตนเองเข้าสู่การผลิตยานยนต์ไฟฟ้า เช่นเดียวกับที่มีบริษัทหน้าใหม่ซึ่ง ยึดเอา “เทสลา” ผู้ผลิตรถยนต์ไฟฟ้าชั้นนำรายแรก ๆ ของโลกเป็นต้นแบบ เปิดเป็นบริษัทใหม่เพื่อผลิตรถยนต์ไฟฟ้าขึ้นมาโดยเฉพาะ ภายใต้งบสนับสนุนก้อนใหญ่จากบรรดานายทุนทั้งหลาย หรือจากการผ่านการระดมทุนในตลาด  

ยิ่งไปกว่านั้น ในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา ความต้องการรถยนต์ไฟฟ้าเริ่มมีมากขึ้นเรื่อย ๆ ซึ่งเฉพาะในช่วงปีที่ผ่านมา ยอดขายรถยนต์ไฟฟ้าเติบโตอย่างรวดเร็ว โดยรายงานของ Reportlinker.com พบว่า ลำพังแค่เพียงครึ่งปีแรกของปี 2021 ยอดขายรถอีวีเพิ่มขึ้น 160% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปี 2020 และมีสัดส่วนคิดเป็น 26% ของยอดขายรถยนต์ทั้งหมดในตลาดในช่วงเวลาดังกล่าว 

สถานีชาร์จ EV

ทั้งนี้ ยอดขายที่เพิ่มขึ้นมา นอกจากความต้องการที่มากขึ้นแล้ว ส่วนหนึ่งยังเป็นผลมาจากการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐาน เช่น สถานีชาร์จรถยนต์ไฟฟ้า เพิ่มมากขึ้น โดยไม่เพียงเป็นเรื่องของการลงทุนในการเพิ่มจำนวนสถานีชาร์จเท่านั้น แต่เป็นการลงทุนในด้านของการวิจัยและพัฒนาเพื่อทำให้ระบบชาร์จมีประสิทธิภาพที่ดีขึ้น 

โครงสร้างพื้นฐานที่สนับสนุนยานยนต์ไฟฟ้าในหลายด้าน ช่วยประหยัดต้นทุนค่าใช้จ่ายและลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม โดยรายงานระบุว่าในปี 2021 ตลาดโครงสร้างพื้นฐานสถานีชาร์จสำหรับอีวีมีมูลค่าอยู่ที่ 8,805 ล้านดอลลาร์สหรัฐ และคาดว่าจะขยายตัวเพิ่มขึ้นมาถึง 23,395 ล้านดอลลาร์สหรัฐในปี 2028 โดยมีอัตราการเติบโตระหว่างปี 2021 -2028 อยู่ที่ประมาณ 15%

แบตเตอรี่ EV 

นอกจากสถานีชาร์จอีวีแล้ว ความต้องการใช้แบตเตอรี่ลิเธียม-ไอออน สำหรับยานยนต์ไฟฟ้าก็เพิ่มขึ้นเช่นกัน โดยมีการคาดการณ์ว่า ความต้องการแบตเตอรี่จะสูงถึง 9,300 กิกะวัตต์-ชั่วโมง (GWh) ภายในปี 2030 เพิ่มขึ้นมากกว่า 1,600% จากปี 2020 ซึ่งหมายความว่า ความต้องการใช้แร่ลิเธียมมีสิทธิ์พุ่งขึ้นแตะ 3 ล้านตันภายในปี 2030 จากเดิมที่ 82,000 ตันในปี 2020

จีนถือเป็นประเทศที่มีการผลิตลิเธียมมากที่สุด ซึ่งเจ้าตลาดก็คือ CATL ที่ขณะนี้มีรายงานว่าบริษัทกำลังพิจารณาขยายฐานการผลิตไปตั้งโรงงานในสหรัฐฯ หวังป้อนซัพพลายให้กับโรงงานผลิตรถยนต์ไฟฟ้าที่กำลังเพิ่มขึ้นอยู่ในขณะนี้ ขณะที่ ค่ายรถบางค่าย เช่น ซูซูกิ ก็ประกาศสร้างโรงงานผลิตรถยนต์ไฟฟ้า พร้อมด้วยโรงงานผลิตแบตเตอี่รีมูลค่า 1,400 ล้านดอลลาร์สหรัฐในอินเดีย  

อีกทั้ง หลายค่ายผู้ผลิตแบตเตอรี่ลิเธียมทั่วโลก เช่น BYD และ CATL ของจีน หรือ Next Energy (ONE), หรือ Northvolt (ผู้ผลิตแบตให้กับวอลโว่สัญชาติสวีเดน) ต่างก็เดินหน้าแข่งขันกันออกแบบและพัฒนาแบตเตอร์รี ให้มีน้ำหนักเบา ใช้งานง่าย ชาร์จไฟได้เร็ว จุพลังงานได้เยอะและนาน 

Alibaba โดดลง EV

ทั้งนี้ ภายใต้ตลาดที่โตวันโตคืน เพื่อให้สามารถตอบสนองความต้องการของตลาดได้อย่างรวดเร็วและทันท่วงที การจะเริ่มต้นจากศูนย์ก็ดูจะไม่ทันการณ์เสียแล้ว ดังนั้น ข่าวการจับมือร่วมมือพัฒนาเทคโนโลยีนวัตกรรมยานยนต์ไฟฟ้า อย่างฮอนด้าและโซนี่ จึงเริ่มมีให้เห็นมากขึ้น เช่นเดียวกันกับที่มีบริษัทเทคโนโลยียักษ์ใหญ่ อย่าง เทนเซนต์ หรือ อาลีบาบา ประกาศลงทุนในอุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้าก็มีให้ได้ยินมากขึ้นเช่นกัน 

ล่าสุด เมื่อไม่นานมานี้ อาลีบาบา ยักษ์ใหญ่อีคอมเมิร์ซสัญชาติจีนแง้มว่ารถอีวีที่บริษัทร่วมลงทุนกับทาง IM Motors และ SAIC ได้เข้าสู่กระบวนการผลิตเชิงพาณิชย์แล้ว และคาดว่าจะออกจำหน่ายได้ภายในช่วงปลายเดือนมีนาคมนี้ 

ทิม สตีเวน คอลัมนิสต์ด้านเทคโนโลยีประจำเว็บไซต์ cnet.com กล่าวว่า ปี 2022 ถือเป็นปีแห่งการเริ่มต้นของตลาดรถยนต์ไฟฟ้าอย่างแท้จริง หลังจากปล่อยให้เทสลาครองอันดับหนึ่งมานาน ซึ่ง สตีเวน อธิบายว่าที่บอกว่ายานยนต์ไฟฟ้าเพิ่งจะเริ่มต้นในปีนี้ เป็นเพราะสัดส่วนยอดขายตลาดรถยนต์ไฟฟ้าเมื่อเทียบกับตลาดรถยนต์โดยรวมทั้งหมดถือเป็นสัดส่วนที่เล็กมาก เช่น ในสหรัฐฯ ยอดขายอีวีมีสัดส่วนเพียงแค่ 2% เท่านั้น

ผู้เชี่ยวชาญอีกส่วนหนึ่ง รวมถึงสตีเวน ยอมรับว่าในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา ตลาดอุตสาหกรรมยานยนต์มีการเปลี่ยนแปลงมากกว่าที่เคยเกิดขึ้นในช่วง 50 ปีที่ผ่านมา สาเหตุหลักๆ ก็คือศักยภาพของเทคโนโลยียานยนต์ไฟฟ้าที่ได้รับการยอมรับเป็นวงกว้างมากขึ้น และประสิทธิภาพของยานยนต์ไฟฟ้ายังมีพื้นที่ในการพัฒนาทรานส์ฟอร์มไปได้อีกมาก

“รถยนต์จะมีสมรรถนะที่หลากหลายมากขึ้น และทำให้ประสบการณ์การขับขี่เป็นเรื่องที่สนุกมากขึ้น เรากำลังอยู่ในจุดเริ่มต้นที่จะได้เห็นว่ายานยนต์ไฟฟ้าจะสามารถทำอะไร หรือ เป็นอะไรได้อีกบ้าง ด้วยพลังขับเคลื่อนที่ไร้ขีดจำกัดกับระบบการยึดเกาะถนนและระบบควบคุมเสถียรภาพการทรงตัวที่ล้ำหน้ายิ่งขึ้น บวกกับเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (เอไอ) ที่ทำให้ศักยภาพของรถยนต์ไฟฟ้ากลายเป็นสิ่งที่มากกว่ายานพาหนะ” สตีเวนกล่าว

ขณะเดียวกัน หลายบริษัทเริ่มตระหนักแล้วว่า แม้การลงทุนจะมีความเสี่ยง แต่การเพิกเฉยต่ออีวียิ่งมีความเสี่ยงมากกว่า โดยผู้บริหารรระดับสูงของบริษัทช้ันนำหลายแห่ง รวมถึง โซนี เชื่อว่ายานยนต์ไฟฟ้ากำลังเปลี่ยนแปลงอุตสาหกรรมยานยนต์ในลักษณะเดียวกับที่ไอโฟนทำกับโทรศัพท์มือถือเมื่อทศวรรษที่แล้ว

STAY CONNECTED

0แฟนคลับชอบ
440ผู้ติดตามติดตาม
spot_img

Lastest News

MUST READ