TH | EN
TH | EN
หน้าแรกBusinessนักเศรษฐศาสตร์มั่นใจ "วิกฤติคริปโท" ไม่กระทบเศรษฐกิจโดยรวม

นักเศรษฐศาสตร์มั่นใจ “วิกฤติคริปโท” ไม่กระทบเศรษฐกิจโดยรวม

บรรดานักเศรษฐศาสตร์ส่วนหนึ่ง แสดงความมั่นใจว่าความเสียหายที่เกิดขึ้นในอุตสาหกรรมคริปโทมูลค่ามากกว่าล้านล้านดอลลาร์สหรัฐในครั้งนี้ จะไม่ส่งผลกระทบลุกลามต่อเศรษฐกิจโลกที่กำลังอยู่ในภาวะเปราะบางอยู่ในขณะนี้ เหตุคริปโทยังไม่ได้เป็นสินทรัพย์ที่ใช้เป็นหลักประกันหนี้ในวงกว้าง

ช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา ถือเป็นเหตุการณ์ “สุดดิ่ง” สำหรับวงการอุตสาหกรรมคริปโทเคอร์เรนซีอย่างแท้จริง จนเล่นเอาบรรดานักเทรดคริปโททั้งรายย่อยและสถาบันขนาดใหญ่ รู้สึกร้อน ๆ หนาว ๆ กันทั่วหน้า โดยเฉพาะอย่างยิ่งที่ล่าสุด (19 มิถุนายน) ราคาบิตคอยน์ สกุลเงินดิจิทัลที่มีมูลค่าการซื้อขายมากที่สุดในโลก โดนเทขายหนักจนราคาร่วงลงมาแตะระดับต่ำสุดเป็นประวัติการณ์ที่ 17,800 ดอลลาร์สหรัฐ หลุดกรอบ 20,000 ที่นักวิเคราะห์หลายสำนักคาดการณ์กันไว้ก่อนหน้าเรียบร้อย

คำถามที่ตามมาก็คือ ในเวลาเพียงแค่ประมาณ 7 เดือนจากราคาสูงสุดเป็นประวัติการณ์ที่ 68,789.63 ดอลลาร์สหรัฐ กลับดิ่งลงหนักสุดที่ 17,749 ดอลลาร์สหรัฐ (ณ เวลาที่เขียนรายงาน) ได้อย่างไร 

คำอธิบายที่รวบสั้น กระชับ และเข้าใจได้ง่ายที่สุด ก็คือว่า เหตุการณ์บาดเจ็บจนเลือดอาบในตลาดคริปโทครั้งนี้ ส่วนหนึ่งเกิดจากแรงกดดันจากสถานการณ์ของเศรษฐกิจมหภาค บวกกับภาวะเงินเฟ้อที่ทวีความรุนแรงมากขึ้นเรื่อย ๆ บีบให้บรรดาธนาคารกลางหลายประเทศท้่วโลก นำโดยธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) ประกาศเดินหน้าปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยอย่างต่อเนื่อง ตั้งเป้าสกัดเงินเฟ้อที่พุ่งกว่า 8% ให้ลงมาอยู่ในอัตราเงินเฟ้อเป้าหมายที่ 2% ให้จงได้

สิ่งที่ตามมาจากการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยก็คือ สภาพคล่องที่ทำให้เศรษฐกิจร้อนแรงหายไปจากตลาดอย่างรวดเร็ว การลงทุนในสินทรัพย์เสี่ยงอย่างคริปโท เป็นเรื่องที่ต้องคิดถี่่ถ้วยให้รอบคอบมากกว่าเดิมหลายเท่าตัว เกิดแรงเทขายล็อตใหญ่เพื่อหันไปถือครองสินทรัพย์ที่ปลอดภัย และหันไปถือครองสินทรัพย์ที่ให้ผลตอบแทนที่ดีกว่าอย่างพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ 

นอกจากนี้ ในช่วงที่ผ่านมายังได้เห็นบรรดาบริษัทเรือธงในอุตสาหกรรมคริปโทหลายแห่ง ออกมาประกาศปลดคนงาน เลิกจ้างเป็นจำนวนมาก หุ้นของเหล่าบริษัทที่ถือครองคริปโทก็ตกลงฮวบฮาบ กลายเป็นปัจจัยลบ แม้แต่บริษัทชั้นนำในอุตสาหกรรมคริปโทก็ไม่อาจหลีกหนีผลกระทบของสถานการณ์ในครั้งนี้ได้ บางรายถึงกับอยู่ในภาวะล้มละลาย

ต้องยอมรับว่า ความโกลาหลที่เกิดขึ้นทำให้นักลงทุน โดยเฉพาะเทรดเดอร์ในวงการคริปโทหวาดกลัวไปตาม ๆ กัน เพราะในเวลาเพียงไม่กี่เดือน มูลค่าของคริปโทก็หายไปแล้วมากกว่า 2 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ ทำเงินออมของเหล่าเทรดเดอร์รายย่อยที่อุตส่าห์เจียดเงินเก็บไปลงทุน หวังได้เงินก้อนจากคริปโทซึ่งถูกมองว่าเป็นการลงทุนที่ปลอดภัยหายวับไปในพริบตา 

หลายฝ่ายเริ่มกังวลว่า ความมั่งคั่งที่ลดลงอย่างกะทันหันจากการล่มสลายของคริปโตอาจไปกระตุ้นให้ภาวะเศรษฐกิจถดถอยขยายกระจายตัวไปในวงกว้างมากขึ้น

ทั้งนี้ มูลค่าตลาดของคริปโทเคอร์เรนซีที่ต่ำกว่า 1 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐในขณะนี้ ถือได้ว่าน้อยกว่ามูลค่าครึ่งหนึ่งของ Apple และเล็กน้อยมากเมื่อเทียบกับขนาดจีดีพีของสหรัฐฯ มหาอำนาจอันดับหนึ่งของเศรษฐกิจโลกที่ 21 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐฯ และยิ่งเล็กน้อยเข้าไปอีกเมื่อเทียบกับมูลค่าตลาดที่อยู่อาศัยของสหรัฐฯที่ 43 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ

กระนั้น ด้วยความที่ครัวเรือนในสหรัฐฯ ถือครองมูลค่า 1 ใน 3 ของตลาดคริปโททั่วโลกตามการประมาณการของโกลด์แมน แซคส์ ขณะที่ผลสำรวจของ Pew Research Center ยังพบว่า 16% ของผู้ใหญ่ชาวอเมริกันยอมรับว่ามีการนำเงินไปลงทุน ซื้อขาย หรือใช้สกุลเงินดิจิทัล ดังนั้น จึงย่อมมีระดับความลึกของผลกระทบต่อการเทขายในตลาดคริปโทในขณะนี้แน่นอน 

อย่างไรก็ตาม อะไรที่เกิดขึ้นในคริปโท ก็จะอยู่แต่ในคริปโท

บรรดานักเศรษฐศาสตร์ และนายธนาคารทั้งหลายแสดงความเห็นอย่างมั่นใจว่า ไม่กังวลเกี่ยวกับผลกระทบจากคริปโทว่าจะมีผลต่อเศรษฐกิจสหรัฐฯ ในวงกว้างด้วยเหตุผลหลักหนึ่งเดียว นั่นคือการที่คริปโทไม่ได้ผูกติดอยู่กับหนี้สิน

โจชัว กันส์ (Joshua Gans) นักเศรษฐศษสตร์จากมหาวิทยาลัยโตรอนโตกล่าวว่า ผู้คนไม่ได้ใช้คริปโทเป็นหลักประกันหนี้ในโลกแห่งความเป็นจริง สิ่งที่เกิดขึ้นเป็นเพียงการสูญเสียกระดาษจำนวนมาก ประเด็นนี้จึงอยู่ในระดับต่ำสำหรับปัญหาเศรษฐกิจ ส่วนที่ทำให้ข่าวคราวคริปโทดูยิ่งใหญ่สั่นสะเทือนเป็นเรืองของแง่มุมในการนำเสนอและความกระหายใคร่รู้มากกว่า 

ดังนั้น กล่าวได้ว่า ความสัมพันธ์ระหว่างคริปโทเคอร์เรนซีกับหนี้จึงเป็นกุญแจสำคัญของสถานการณ์ในเวลานี้ 

ทั้งนี้ โดยทั่วไปแล้ว สำหรับประเภทสินทรัพย์แบบดั้งเดิมส่วนใหญ่ มูลค่าของสินทรัพย์นั้นได้รับการประเมินว่าจะทรงตัวปานกลางในช่วงระยะเวลาหนึ่ง นั่นคือเหตุผลที่สินทรัพย์ที่มีความเป็นเจ้าของกำกับเหล่านั้นสามารถนำมาใช้เป็นหลักประกันในการกู้ยืมเงินได้

กันส์ อธิบายว่า คุณลักษณะข้างต้นเป็นสิ่งที่ไม่เคยเห็นในสินทรัพย์คริปโท เนื่องจากคริปโทเป็นสินทรัพย์ที่มีความผันผวนสูง ทำให้ยากต่อการใช้เป็นหลักประกันในการกู้ยืมโดยอาศัยพื้นฐานนั้น เพราะฉะนั้น ผู้คนส่วนใหญ่จึงใช้คริปโทเคอร์เรนซีหนึ่งในการกู้ยืมอีกคริปโทเคอร์เรนซีหนึ่ง ความเคลื่อนไหวคริปโททั้งหมดจึงจำกัดอยู่ในโลกในคริปโท

แม้จะมีข้อยกเว้นอยู่บ้าง จากกรณีที่ MicroStrategy นำเงินที่ได้รับการสนับสนุนจากบิตคอยน์จำนวน 205 ล้านดอลลาร์สหรัฐในเดือนมีนาคมไปกู้กับธนาคาร Silvergate ที่เน้นการทำธุรกรรมกับคริปโทโดยเฉพาะ แต่โดยส่วนใหญ่แล้ว เงินกู้ที่ได้รับการสนับสนุนจากคริปโทเคอร์เรนซีก็มักมีผลอยู่แต่ในเฉพาะแวดวงอุตสาหกรรมคริปโทเท่านั้น 

ตามข้อมูลรายงานการวิจัยของมอร์แกน สแตนลีย์เมื่อไม่นานมานี้พบว่า บรรดาผู้ให้กู้ยืมส่วนใหญ่จะอนุมัติเงินกู้ยืมให้แก่นักลงทุนและบริษัทคริปโทเป็นหลัก เพราะฉะนั้น การรั่วไหลของความเสี่ยงจากการเพิ่มขึ้น หรือลดลงของมูลค่าราคาคริปโทไปสู่ระบบการธนาคารสกุลเงินดอลลาร์สหรัฐในวงกว้าง “อาจเป็นไปอย่างจำกัด”

เควิน โอ ลีย์รีย์ (Kevin O’Leary) นักลงทุนชั้นนำในวงการคริปโท ระบุว่า สำหรับพลังขับเคลื่อนอันล้นเหลือในสกุลเงินบิตคอยน์และคริปโทเคอร์เรนซีอื่น ๆ มาจากการถือของนักลงทุนรายย่อย ไม่ใช่นักลงทุนสถาบัน ซึ่ง กันส์ เห็นด้วยความคิดดังกล่าว พร้อมตั้งข้อสังเกตว่าเป็นธนาคารแน่หรือที่ก่อให้เกิดแรงเทขายครั้งนี้ 

กันส์อธิบายว่า ที่ผ่านมามีธนาคารและสถาบันการเงินส่วนหนึ่งแสดงความสนใจในคริปโท ในฐานะสินทรัพย์เพื่อการลงทุนประเภทหนึ่ง และเป็นสินทรัพย์ที่ธนาคารหรือสถาบันต้องมีเพื่อให้บริการด้านการลงทุนแก่ลูกค้า ซึ่งในความเป็นจริง การลงทุนที่ว่ามานี้ไม่ได้เกิดขึ้นมากนัก สังเกตได้จากการที่ธนาคารแต่ละแห่งจะกฎเกณฑ์ข้อบังคับของตนเอง เพื่อให้แน่ใจว่าการลงทุนในคริปโทเป็นไปอย่างเหมาะสม 

ด้านบรรดาผู้เชี่ยวชาญอีกส่วนหนึ่งแสดงความเห็นว่า ปริมาณการเปิดรับของนักลงทุนทั่วไปและนักลงทุนสถาบันต่อตลาดคริปโทในสหรัฐฯ ไม่ได้สูงมากนัก แม้ว่าผู้ค้าปลีกบางรายจะได้รับผลกระทบจากการชำระบัญชีในช่วงที่ผ่านมา แต่ความสูญเสียโดยรวมในตลาดคริปโทนั้นมีขนาดเล็กเมื่อเทียบกับมูลค่าสุทธิ 150 ล้านล้านดอลลาร์ของครัวเรือนในสหรัฐฯ

ก่อนหน้านี้ ในเดือนพฤษภาคม โกลด์แมน แซคส์ พบว่า การถือครองคริปโทมีขนาดเพียง 0.3% ของมูลค่าครัวเรือนในสหรัฐอเมริกาทั้งหมดเมื่อเทียบกับ 33% ที่ผูกติดอยู่กับหุ้น พร้อมคาดการณ์ว่าการใช้จ่ายโดยรวมที่ลดลงจากการที่ราคาคริปโทลดลงเมื่อเร็ว ๆ นี้ ถือเป็นเรื่องที่เล็กมาก

แม้จะมีนักวิเคราะห์อีกส่วนหนึ่งที่ออกมาแย้งว่า ปัญหาที่เกิดขึ้นมีสิทธิ์กระจายไปทั่วโลก แต่นักวิเคราะห์ส่วนใหญ่ประจำตลาดวอลล์สตรีท สหรัฐฯ กลับมองว่า การล่มสลายของตลาดคริปโทในครั้งนี้เป็นสิ่งที่ดีสำหรับเศรษฐกิจโดยรวม เพราะถือเป็น Stress Test รูปแบบหนึ่งเพื่อล้างข้อบกพร่องของตลาดที่มีให้เห็นอยู่อย่างชัดเจน 

อัลเคช ชาห์ (Alkesh Shah) นักยุทธศาสตร์ด้านคริปโทและสินทรัพย์ดิจิทัลระดับโลกของ Bank of America กล่าวว่า การล่มสลายของรูปแบบธุรกิจที่อ่อนแอกว่า เช่น TerraUSD และ Luna นั้นน่าจะดีต่อสุขภาพในระยะยาวของภาคส่วนนี้

ในความเห็นของชาห์ จุดอ่อนในภาคคริปโทและสินทรัพย์ดิจิทัลเป็นส่วนหนึ่งของการแก้ไขสินทรัพย์เสี่ยงในวงกว้าง ดังนั้น แทนที่จะผลักดันเศรษฐกิจโดยรวมให้ตกต่ำ ราคาคริปโทกลับกำลังติดตามราคาหุ้นในกลุ่มเทคโนโลยีที่ปรับตัวอยู่ในช่วงขาลง เนื่องจากทั้งคู่ยอมจำนนต่อแรงกดดันจากเศรษฐกิจมหภาคที่มากขึ้น รวมถึงอัตราเงินเฟ้อที่ทวีความรุนแรงขึ้นเรื่อย ๆ และการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยของเฟดที่ดูเหมือนไม่มีวันจบสิ้น 

“การปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยที่สูงกว่าที่คาดไว้ ประกอบกับความเสี่ยงจากภาวะเศรษฐกิจถดถอย ได้ส่งผลกระทบต่อสินทรัพย์เสี่ยงในวงกว้าง ซึ่งรวมถึงซอฟต์แวร์และสินทรัพย์คริปโท/ดิจิทัล เมื่อธนาคารกลางทั่วโลกปรับนโยบายการเงินให้เข้มงวดรัดกุมขึ้น เพื่อนร่วมงานด้านกลยุทธ์ของเราต่างคาดหวังว่าธนาคารกลางสหรัฐฯ จะทำให้สภาพคล่องประมาณ 3 ล้านล้านดอลลาร์หายไปจากตลาดทั่วโลก” ชาห์ระบุ 

ด้าน มาติ กรีนสแปน (Mati Greenspan) ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร (ซีอีโอ) Quantum Economics บริษัทด้านการวิจัยและลงทุนในคริปโท กล่าวเสริมว่า ปัจจัยด้านการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยของบรรดาธนาคารกลางทั้งหลาย มีผลอย่างมากต่อมูลค่าที่ดิ่งลงหนักของคริปโทเคอร์เรนซี 

กรีนสแปนกล่าวว่า ธนาคารกลางสามารถพิมพ์เงินจำนวนมากได้อย่างรวดเร็วเมื่อไม่จำเป็น ซึ่งนำไปสู่การรับความเสี่ยงที่มากเกินไปและการสร้างเลเวอเรจในระบบโดยประมาท ดังนั้น ในตอนนี้ที่กำลังถอนสภาพคล่อง คนทั้งโลกย่อมรู้สึกอึดอัด

แม้จะเบาใจได้ว่า ผลกระทบจากคริปโทเคอร์เรนซีมีขอบเขตที่จำกัด แต่การที่เงินดิจิทัลคือเทรนด์ของโลกที่มาพร้อมกับความก้าวหน้าของนวัตกรรมเทคโนโลยีต่าง ๆ ยกตัวอย่างเช่น เมตาเวิร์ส ที่หลายฝ่ายมองว่า เงินดิจิทัลคือส่วนจำเป็นที่จะทำช่วยให้ระบบนิเวศสมบูรณ์ยิ่งขึ้น ดังนั้น สิ่งที่ควรเตรียมตัว โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ภาครัฐ ก็คือกฎระเบียบในการกำกับดูแลควบคุม เพื่อป้องกันไม่ใช่คริปโทเคอร์เรนซีกลายเป็นเครื่องมือของคนกลุ่มหนึ่งในการเอาเปรียบคนส่วนใหญ่ในสังคม 

SOURCE CNBC, CNN, BBC

ข่าวอื่น ๆ ที่น่าสนใจ

KASIKORN X เปิดตัว Bigfin ช่วยนักลงทุนติดตาม-วิเคราะห์พอร์ตการลงทุนในคริปโทฯและสินทรัพย์ดิจิทัล

หลักทรัพย์บัวหลวง มองดัชนีครึ่งหลัง 1,700 จุด ชูกลยุทธ์กระจายความเสี่ยงรับมือความผันผวน

STAY CONNECTED

0แฟนคลับชอบ
440ผู้ติดตามติดตาม
spot_img

Lastest News

MUST READ