แตกแล้วโต “Spin off” จาก “ธนาคาร” สู่ “กลุ่มบริษัทเทคโนโลยีทางการเงิน“
ปรากฏการณ์ของธนาคารไทยพาณิชย์ที่แถลงข่าวออกมาเมื่อวาน (22 ก.ย.) อาจจะดูเป็นเรื่องแปลกที่ธนาคารพาณิชย์ขนาดใหญ่ที่มีอายุกว่า 115 ปี เป็นธนาคารพาณิชย์ไทยแห่งแรกตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ 5 ในนาม “สยามกัมมาจล” จะกล้าปรับเปลี่ยนอย่างมากมาย โดยเฉพาะการเปลี่ยนบทบาทการเป็นธนาคารพาณิชย์ที่รายได้หลัก คือ การรับฝากและปล่อยกู้ มาเป็นกลุ่มธุรกิจเทคโนโลยีทางการเงิน ได้ แต่หากย้อนหลังกลับไปดูการเปลี่ยนแปลงของธนาคารที่เป็นอันดับหนึ่งในห้าของธนาคารพาณิชย์ไทยก็จะเห็นว่า เป็นผู้นำในการเปลี่ยนแปลงพอสมควร ยกตัวอย่างเช่น
- เป็นธนาคารแห่งแรกที่นำระบบ ATM (Automatic Teller Machine) เข้ามาใช้เป็นแห่งแรก เมื่อ 24 มี.ค.2526 เรียกว่า”บริการเงินด่วน” ซึ่งระยะแรกเบิกจ่ายได้เฉพาะธนาคารที่เปิดบัญชีเท่านั้น ก่อนจะกลายเป็นความนิยม จนเกิด ATM Pool ซึ่งเบิกจ่ายได้ข้ามธนาคาร (และอีกไม่นานก็จะหมดความสำคัญไป เมื่อเทคโนโลยีเข้ามาทำการแทน)
- เป็นธนาคารที่นำนักการตลาดอย่าง “กรรณิกา ชลิตอาภรณ์” แห่งยูนิลีเวอร์ มานั่ง CEO ของธนาคารในปี 2550-2558 เพื่อบุกเบิกงานด้านรีเทลแบงก์กิ้ง
หัวใจ คือ “แตกแล้วโต” ทำในสิ่งที่แบงก์ไม่ถนัด
แผนการของธนาคารที่จะปรับเปลี่ยนตัวเองในลักษณะ “แตกแล้วโต” หลักการที่ได้รับอนุมัติจากบอร์ดของแบงก์ คือ
การตั้ง “SCB X” (เอสซีบีเอ็กซ์) เป็นโฮลดิ้งคอมพานี แล้วโยกผู้ถือหุ้น SCB ไปถือหุ้น SCB X แทน ในสัดส่วน 1:1 พร้อมนำเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯแทน (แต่ยังใช้ชื่อหุ้นเดิมคือ SCB) แล้วให้ SCB X เป็นบริษัทเทคโนโลยีการเงินระดับโลก ภายใต้วิสัยทัศน์ “ยานแม่ฟินเทค” โดยประกาศว่าภายใน 5 ปี SCB X กำไรโต 1.5-2 เท่า มาร์เก็ตแคป แตะ1 ล้านล้านบาท และโอนย้ายบริษัทย่อย และการโอนธุรกิจบัตรเครดิตและธุรกิจสินเชื่อส่วนบุคคลที่ไม่มีหลักประกัน ตั้งเป็นบริษัทใหม่ ตามแผนปรับโครงสร้างการถือหุ้น
- SCB Group จัดตั้ง “ยานแม่” ภายใต้ชื่อ SCBX (เอสซีบี เอกซ์) มุ่งสู่กลุ่มบริษัทเทคโนโลยีการเงินระดับภูมิภาค
- “บลูบิค” เข้าตลาดหลักทรัพย์ (BBIK) สานฝันบริษัทไทย ปักธงตลาดภูมิภาค
ธนาคารประเมินมูลค่าการโอนย้ายของบริษัทย่อยจะอยู่ที่ประมาณ 19,504 ล้านบาท และเพื่อให้เป็นไปตามแผนการปรับโครงสร้างการถือหุ้น คณะกรรมการอนุมัติให้มีการจ่ายเงินปันผลระหว่างกาลจากกำไรสุทธิและกำไรสะสมตามงบการเงินเฉพาะล่าสุดของธนาคารจำนวน 70,000 ล้านบาท ให้แก่ SCB X และผู้ถือหุ้นอื่น
โดยคาดว่าเงินปันผลส่วนใหญ่ที่จ่ายให้ SCB X จะถูกใช้เป็นค่าตอบแทนสำหรับการโอนบริษัทย่อยและธุรกิจบัตรเครดิตและธุรกิจสินเชื่อส่วนบุคคลที่ไม่มีหลักประกัน และเป็นเงินลงทุนสำหรับขยายธุรกิจในอนาคต และแต่งตั้งบริษัทหลักทรัพย์ เกียรตินาคินภัทร จำกัด (มหาชน) เป็นที่ปรึกษาทางการเงินอิสระ แสดงความเห็นเกี่ยวกับแผนปรับโครงสร้างถือหุ้นและเพิกถอนจากตลาดฯ
กลยุทธ์เสริมความแข็งแกร่งธนาคารควบคู่ไปกับการสร้างธุรกิจใหม่สำหรับอนาคตนั้น ในส่วนของธนาคารจะมุ่งเน้นการนำเทคโนโลยีมาใช้ร่วมกับการปรับลดกระบวนการขั้นตอนต่าง ๆ ให้ตอบสนองความต้องการของลูกค้าที่เปลี่ยนไปให้มากที่สุดในทุกช่องทาง ธนาคารจะเน้นความสำคัญกับการสร้างความพึงพอใจสูงสุดแก่ลูกค้าเป็นที่ตั้ง
SCB X ไม่ใช่แค่แบงก์ แต่คือ กลุ่มธุรกิจเทคโนโลยีการเงิน ที่จับมือกับพันธมิตรทำธุรกิจ
โครงสร้างใหม่ SCB X จะถือเป็นบริษัทแม่ของกลุ่ม โดยจะ Spin off “แตกแล้วโต” กับธุรกิจเดิมในเครือและธุรกิจใหม่ที่จะตั้งขึ้นใหม่ โดยมีพันธมิตรที่เชี่ยวชาญ ร่วมถือหุ้นในหลายธุรกิจ เช่น
- Card X จะ Spin-Off ธุรกิจบัตรเครดิตออกจากบริษัท
- Alpha X ร่วมมือกับ Millennium Group ทำธุรกิจปล่อยสินเชื่อสำหรับรถหรู
- Auto X ทำธุรกิจปล่อยสินเชื่อ ลีซซิ่ง เน้นกลุ่มรากหญ้า
- Tech X ร่วมมือกับบริษัทเทคโนโลยีระดับโลก ทำธุรกิจเทคโนโลยี
- AISCB ร่วมมือกับ AIS ทำสินเชื่อ Digital
- Robinhood ธุรกิจส่งอาหาร
- CPG-SCB VC Fund ร่วมมือกับเครือซีพีในการจัดตั้ง VC Fund (Venture Capital Fund)
นอกจากนั้น ยังมีธุรกิจอื่น ๆ เช่น Data X, SCB Securities, Token X, SCB ABACUS, Monix โดยเบื้องต้นจะแยกออกมาตั้งบริษัทใหม่ประมาณ 15-16 บริษัท
โดยให้เหตุผลสำคัญว่าเพื่อปลดล็อกข้อจำกัดกฎระเบียบแบบเดิมที่ธนาคารทำไม่ได้ อย่างไรก็ตาม SCB X ยังอยู่ภายใต้การกำกับของธนาคารแห่งประเทศไทย และธนาคารไทยพาณิชย์ (SCB) ยังให้บริการรับฝากเงิน ดูแลลูกค้าเหมือนเดิมทุกอย่าง เพียงแต่ธุรกรรมอื่น ๆ ที่ไม่ใช่การรับฝาก-ถอน จะไปอยู่ในบริษัทที่ตั้งขึ้นใหม่
เหตุผลที่ต้องทำ เพราะ Disruption
ภายใต้บริษัทแม่ชื่อใหม่ ที่เปลี่ยนจาก SCB เป็น SCB Xx (เอสซีบีเอกซ์) จะเป็นอย่างไร อาทิตย์ นันทวิทยาประธานเจ้าหน้าที่บริหารและประธานกรรมการบริหาร ธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด(มหาชน) ได้กล่าวในตอนหนึ่งของ message from CEO ว่า แนวโน้มที่ธนาคารจะถูก disrupt นั้น เริ่มมาเมื่อหกปีก่อน และจะชัดเจนมากขึ้นในอีก สามปีข้างหน้า จึงเป็นเวลาที่สำคัญที่จะตั้งคำถามแห่งอนาคตว่าอีกสามปีข้างหน้า SCB จะแปลงสภาพอย่างไร SCB จะต้องไม่จำกัดตัวเองอยู่ที่ธุรกิจธนาคารแบบดั้งเดิมอีกต่อไป หากแต่ต้องใช้ความเข้มแข็งทางการเงินของธุรกิจธนาคารปัจจุบันให้เป็นประโยชน์
อาทิตย์ กล่าวย้ำว่า SCB จะไม่เท่ากับธนาคารในความหมายเดิมอีก แต่จะแปลงเป็นกลุ่มธุรกิจเทคโนโลยีทางการเงิน ที่มีธุรกิจธนาคารเป็นส่วนหนึ่งของกลุ่ม และขยายเข้าสู่ธุรกิจการเงินส่วนบุคคลที่ธนาคารรูปแบบเดิมไม่สามารถตอบสนองได้ โดยจะร่วมมือกับพันธมิตรระดับประเทศและภูมิภาคที่แข็งแกร่ง
ประการสำคัญ จะยกระดับขีดความสามารถให้สร้างและบริหารจัดการแพลตฟอร์มทางเทคโนโลยีขนาดใหญ่ (technology platform) เพื่อสร้างความสามารถในการแข่งขันกับแพลตฟอร์มระดับโลก หลังจากนำร่องด้วย “โรบินฮู้ด ฟู้ดเดลิเวอรี่ และเข้าสู่ธุรกิจสินทรัพย์ดิจิทัล (digital asset business) ในระดับโลก และพัฒนาธุรกิจ digital asset ในด้านต่าง ๆ ใน business model เพื่อสร้างมูลค่ากลุ่มในระยะยาว
กลยุทธ์ “แตกแล้วโต” ไม่ใช่ของใหม่ แต่แบงก์ยังไม่เคยทำ
กลยุทธ์ Spin-off หรือ แตกแล้วโต ไม่ใช่ของใหม่ในแวดวงธุรกิจ ก่อนหน้านี้ บริษัทขนาดใหญ่หลายบริษัทได้ดำเนินการไปก่อนหน้านี้ อาทิ ปตท.จะเห็นว่ามีบริษัทลูกหลายบริษัทที่เติบโตและมั่นคงเทียบเท่ากับบริษัทแม่ หรือกรณีของบริษัทปูนซิเมนต์ไทย ที่วันนี้บริษัทลูกหลายแห่งเติบโตจนมูลค่าบริษัทโตขึ้นมาอีกไม่รู้กี่เท่า บริษัทเจริญโภคภัณฑ์ ที่มีบริษัทย่อยทำธุรกิจในหลาย ๆด้าน จนเติบโตในธุรกิจค้าปลีก ที่ไม่เล็กไปกว่าบริษัทแม่ที่ผลิตอาหารสัตว์ และบริษัทย่อยเหล่านี้ก็แตกไปทำธุรกิจที่เกี่ยวเนื่องออกไปนับสิบบริษัท
หรือล่าสุดกรณีของศรีตรัง แอโกรอินดัสทรี จำกัด (มหาชน) หรือ STA ซึ่งเป็นผู้ผลิตและส่งออกผลิตภัณฑ์ยางพารา ได้ทำการ Spin-off บริษัทลูกที่ชื่อ STGT ทำการผลิตและจัดจำหน่ายถุงมือยางที่ใช้ในวงการแพทย์ ปัจจุบัน STA มีมูลค่าประมาณ 40,000 ล้านบาท ขณะที่ STGT มูลค่าประมาณ 112,000 ล้านบาท โดยมีSTA ถือหุ้นใน STGT อยู่ 50.75%
(ข้อมูล ณ เดือนกุมภาพันธ์ 2564) หรือคิดเป็น 46,800 ล้านบาท หมายความว่า หุ้นที่ STA ถืออยู่ในบริษัทลูกคือ STGT มีมูลค่ามากกว่ามูลค่าของ STA ทั้งบริษัทเสียอีก
ข้อดีของการ Spin-off นั้นมีหลายประการ อาทิ
- บริษัทที่แยกออกมาสามารถระดมทุนได้เอง โดยผ่านการทำ IPO เท่ากับไม่เป็นภาระของบริษัทแม่
- มีความเป็นอิสระ และทำความรู้จักได้ในวงกว้าง
- เป็นทางเลือกให้นักลงทุนที่สนใจเฉพาะธุรกิจนั้น ๆ
- รับรู้มูลค่าที่แท้จริง ของบริษัทที่ถูก Spin-off ออกมาและสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับบริษัทแม่
เพียงแต่ ยังไม่เคยเกิดขึ้นกับธนาคาร จึงเป็นเรื่องรอการพิสูจน์ว่า การทำกลยุทธ์ Spin-off หรือเรียกว่า แตกแล้วโต จะสำเร็จได้หรือไม่ อย่างน้อย นักลงทุนได้แสดงปฏิริยาในหุ้น SCB ราคาขึ้นไป 20% ในช่วงเปิดตลาดวันนี้ (23 ก.ย)