TH | EN
TH | EN
หน้าแรกColumnistจริงหรือไม่? คริปโทฯ (Cryptocurrency) ใช้พลังงานสูง ส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม

จริงหรือไม่? คริปโทฯ (Cryptocurrency) ใช้พลังงานสูง ส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม

เพราะเหตุใด Cryptocurrency ถึงใช้พลังงานไฟฟ้าสูง ส่งผลกระทบให้โลกร้อนจนนักสิ่งแวดล้อมต้องออกมาเตือน เราหาคำตอบของเรื่องนี้มาให้ ไปติดตามกันเลย

คริปโท (Cryptocurrency) เป็นสินทรัพย์ดิจิทัลที่ตอนนี้มีคนจำนวนมากให้ความสนใจ นักลงทุนมากมายที่สามารถรับความเสี่ยงนี้ได้ ต่างก็สรรหาวิธีเพื่อให้ตนเองได้เป็นเจ้าของคริปโทเหล่านี้ ซึ่งบางคนที่มีอุปกรณ์พร้อม ก็จะใช้คอมพิวเตอร์ในการขุดเหรียญ (Cryptomining) เพื่อให้ได้มาครอบครอง

แต่กว่าจะได้มาสักคอยน์นั้น คอมพิวเตอร์จะต้องใช้ปริมาณพลังงานไฟฟ้ามากพอสมควร ทำให้นักสิ่งแวดล้อมหลายคนออกมาแสดงความกังวลเกี่ยวกับการขุดเหรียญคริปโทเพราะพวกเขาคิดว่าการกระทำเหล่านี้อาจส่งผลเสียให้กับสิ่งแวดล้อมได้

ทำความรู้จักกับการขุดคริปโท (Cryptomining)

การขุดเหรียญคริปโท (Cryptocurrency) เป็นการทำธุรกิจแบบพิเศษ ต้องอาศัยเครื่องคอมพิวเตอร์ที่มีกำลังในการคำนวณสูงมาก ฮาร์ดแวร์ที่ใช้งานจึงต้องมีประสิทธิสูงด้วยเช่นกัน เพื่อที่จะได้แก้สมการโจทย์คณิตศาสตร์ที่ระบบสร้างขึ้นมา และทันทีที่แก้สมการนั้น ๆ ได้ ก็จะได้รับเหรียญคริปโท (Cryptocurrency) เป็นของตอบแทน ซึ่งกระบวนการทั้งหมดนี้ จะต้องใช้ปริมาณพลังงานไฟฟ้าในการขุดสูงมาก

ข้อมูลการใช้พลังงานไฟฟ้าใน Cryptocurrency

ในบรรดาสกุลเงินคริปโท (Cryptocurrency) ทั้งหมด บิตคอยน์ (Bitcoin) คือสกุลเงินที่ผู้คนนิยมขุดมากที่สุด จากข้อมูลล่าสุดของ Statista ได้เผยแพร่ออกมา พบว่าในระยะเวลา 1 ปี จะมีการใช้พลังงานไฟฟ้าในการขุด หรือทำธุรกรรม Bitcoin ประมาณ 143 TWh หรือราว ๆ 0.62% ของการบริโภคพลังงานไฟฟ้าของทั้งโลกรวมกัน

นอกจากนั้นการขุด Bitcoin ยังเป็นการเพิ่มปริมาณการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์สู่ชั้นบรรยากาศ โดยข้อมูลจาก Digiconomist พบว่ามีตัวเลขสูงถึง 55.86 ล้านตันคาร์บอนไดออกไซด์ (MtCO2) [Access: May 2021] ซึ่งเป็นตัวเลขที่ใกล้เคียงกับของประเทศเปรูมาก ๆ นี่จึงเป็นสาเหตุที่ทำให้นักสิ่งแวดล้อมหลายคนรู้สึกกังวลใจ กลัวว่าการขุดคริปโทฯ (Cryptocurrency) จะเป็นการเร่งให้โลกของเรามีอุณหภูมิสูงขึ้นเร็วกว่าเดิม

อย่างไรก็ตาม เมื่อเปรียบเทียบพลังงานไฟฟ้าที่ใช้ไปใน Bitcoin กับอุตสาหกรรมอื่น ๆ อย่างทองคำและระบบธนาคาร กลับพบว่าระบบธนาคารใช้พลังงานมากที่สุด โดยสูงถึง 263.72 TWh ต่อปี รองลงมาเป็นอุตสาหกรรมทองคำที่ประมาณ​ 240.61 TWh ต่อปี จึงยังคงเป็นประเด็นถกเถียงว่าการใช้พลังงานไฟฟ้าไปกับ Bitcoin นั้นเป็นเรื่องที่ยอมรับได้หรือไม่

อนาคตของCryptocurrency

จากการใช้พลังงานไฟฟ้าที่สูงมากของการขุดหรือทำธุรกรรม Cryptocurrency ทำให้ปัจจุบันมีแนวโน้มที่รัฐบาลและหน่วยงานกำกับดูแลอื่น ๆ จะหันมาให้ความสนใจกับการจัดการ Carbon Footprint รวมถึงการเปลี่ยนมาใช้พลังงานสะอาด เช่น น้ำ ลม แสงอาทิตย์ในการขุด Cryptocurrency แทน ซึ่งใน มณฑลเสฉวน ประเทศจีนก็ได้มีการนำแนวคิดนี้มาใช้เพื่อกระตุ้นให้อุตสาหกรรม Blockchain ใช้ประโยชน์จากพลังงานน้ำส่วนเกิน

ถึงแม้การขุดเหรียญคริปโท (Cryptocurrency) จะใช้พลังงานไฟฟ้าสูงมาก ซึ่งอาจเทียบเท่ากับปริมาณการใช้พลังงานไฟฟ้าของประเทศหนึ่งเลยทีเดียว แต่ก็เห็นได้ชัดว่ามีความพยายามที่จะส่งเสริมและผลักดันการนำพลังงานหมุนเวียนชนิดต่าง ๆ มาใช้ในการขุดและทำธุรกรรม Cryptocurrency ซึ่งจะช่วยลดปริมาณก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ และยังเป็นการชะลอการเพิ่มขึ้นของอุณหภูมิโลกอีกด้วย

Reference:
https://thomasthailand.co/investment/cryptocurrency/
https://www.statista.com/chart/18632/estimated-annual-electricity-consumption-of-bitcoin/
https://www.visualcapitalist.com/visualizing-the-power-consumption-of-bitcoin-mining/
https://yearbook.enerdata.net/electricity/electricity-domestic-consumption-data.html
https://digiconomist.net/bitcoin-energy-consumption 
https://thaipublica.org/2019/08/cryptocurrency-bitcoin-energy-consumption-cbeci/
https://bitcoinaddict.org/2021/05/17/banking-system-uses-significantly-more-energy-than-bitcoin/ 

บทความอื่น ๆ ที่น่าสนใจ

ดีแทค โชว์ผลการดำเนินงานแข็งแกร่งในปี 2564 จากการเร่งขยายเครือข่าย การเติบโตของลูกค้าเพิ่มขึ้น

กสิกรไทย ปี 65 ดันเป้าสินเชื่อโต 6-8% ตั้งเป้าผู้นำบริการดิจิทัล สร้างยอดเติบโตใน AEC+3

STAY CONNECTED

0แฟนคลับชอบ
440ผู้ติดตามติดตาม
spot_img

Lastest News

MUST READ