บริษัท อาร์เอส จำกัด (มหาชน) หรือ อาร์เอส กรุ๊ป เปิดบ้านแจงกลยุทธ์ขับเคลื่อนธุรกิจประจำปี 2565 ให้กับนักลงทุนและบุคคลทั่วไปที่สนใจ มั่นใจปีนี้ยังขยับตัวเติบโตต่อไปได้ ด้วยการมุ่งสู่เทคโนโลยีบล็อกเชนแบบเต็มตัว ที่จะนำมาเสริมโมเดลธุรกิจ เอ็นเตอร์เทนเมิร์ซ (entertainmerce) ให้สมบูรณ์มากยิ่งขึ้น ตั้งเป้าเดินหน้าสยายปีกรุกคืบทุกธุรกิจครอบคลุมทุกคอนเทนต์ พร้อมจัดการแปลงทรัพยาการอาร์เอสให้พร้อมช่วงชิงประโยชน์และโอกาสจากโลกเศรษฐกิจดิจิทัล
สุรชัย เชษฐโชติศักดิ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท อาร์เอส จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า ช่วงกว่า 2 ปีที่ผ่านมา การระบาดของไวรัสโควิด-19 ทำให้อาร์เอสปรับโมเดลธุรกิจครั้งใหญ่ ซึ่งหมายถึงการทำธุรกิจแบบ เอ็นเตอร์เทนเมิร์ซ ซึ่งในช่วงกว่า 2 ปีที่ผ่านมา โมเดลเอ็นเตอร์เทนเมิร์ซ ได้พิสูจน์ให้เห็นแล้วว่า อาร์เอสกรุ๊ปมาถูกทางแล้ว ดังนั้น ในปี 2565 เอ็นเตอร์เทนเมิรซ์ของอาร์เอสจะเป็นรูปแบบที่ชัดเจนมากขึ้น สมบูรณ์มากขึ้น และไร้รอยต่อยิ่งขึ้น ซึ่งการเปิดตัวป๊อบคอยน์เมื่อช่วงต้นเดือนมกราคม ในฐานะสมาร์ทมาร์เก็ตติ้งแพลตฟอร์มจะทำให้ระบบนิเวศขของอาร์เอสกรุ๊ปขยายใหญ่ และมีประสิทธิภาพสูงสุด รวมถึงเป็นการสร้างโอกาสการเติบโตใหม่ ๆ ให้กับธุรกิจในเครืออาร์เอส
“เอ็นเตอร์เทนเมิร์ซ ทำให้เรารู้ว่า การทำธุรกิจต้องมีความแตกต่างหลากหลาย และความแตกต่าง ทำให้เราแข็งแกร่ง และมีความสามารถในการแข่งขันและเติบโตต่อไปได้ แต่ต่อให้ไปได้ดีอย่างไร เราก็ต้องไม่หยุดที่จะพัฒนา ซึ่งการพัฒนาต่อจากนี้ของอาร์เอส นอกจากการหาเทคโนโลยีนวัตกรรมแล้วยังหมายรวมถึงการสรรหาพาร์ทเนอร์ใหม่ ๆ เพื่อขยายระบบนิเวศของอาร์เอสให้ครอบคลุมมากขึ้น” สุรชัย กล่าว
ทั้งนี้ ในส่วนของเทคโนโลยีนวัตกรรม ปีนี้อาร์เอส กรุ๊ป ยังคงให้ความสำคัญกับการพัฒนาผลิตภัณฑ์และบริการที่หลากหลายสำหรับผู้บริโภคอยู่เหมือนเดิม แต่จะหันมาให้น้ำหนักกับรูปแบบดิจิทัลมากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นดิจิทัลโปรดักส์ ดิจิทัลคอนเทนต์ และดิจิทัลเซอร์วิส โดยผ่านการทำงานของป๊อบคอยน์เพื่อยกระดับให้ อาร์เอส กรุ๊ป เป็นองค์กรที่ใช้เทคโนโลยีบล็อกเชนเป็นตัวขับเคลื่อนธุรกิจ โดยกลุ่มลูกค้าหลักยังเป็นกลุ่ม Baby Boomer, Gen X และ Gen Y ตอนต้นเหมือนเดิม เพียงแต่จะมีการใช้เทคโนโลยีของป๊อปคอยน์ทำให้ลูกค้าได้รับผลประโยชน์จากอาร์เอสมากขึ้นหรือมีช่องทางเข้าถึงใกล้ชิดกับบริษัทมากขึ้น
ขณะเดียวกัน เทคโนโลยีบล็อกเชนยังจะเป็นช่องทางเข้าถึงลูกค้ากลุ่มใหม่ ๆ อย่าง Gen Y ตอนปลาย Gen Z และ Alpha ซึ่งชื่นชอบการใช้เทคโนโลยี และ ปรับตัวประยุกต์ใช้เทคโนโลยีได้อย่างรวดเร็ว ซึ่งการใช้ป๊อปคอยน์จะดึงให้ลูกค้าที่เป็นคนรุ่นใหม่เข้ามาเป็นส่วนหนึ่งและรู้จักอาร์เอส กรุ๊ป ได้สะดวกมากขึ้น ยังไม่นับรวมสิทธิพิเศษอีกมากมายที่จะได้รับจากการเป็นป๊อบสเตอร์ (Popster) ในคอมมูนิตี้ของป๊อปคอยน์
“ป๊อบคอยน์ คืออาวุธสำคัญของการเปลี่ยนผ่านอาร์เอส กรุ๊ปให้เข้าสู่โลกยุคดิจิทัล ผมบอกได้ว่า ปี 2565 นี้ จะเป็นปีที่อาร์เอสจะสามารถเก็บเกี่ยวและต่อยอดจากโครงสร้างพื้นฐานทางเทคโนโลยีที่เราได้ปูไว้ พูดได้ว่าช่วง 2 ปีที่ผ่านมา คือการวางรากฐานเตรียมความพร้อม ดังนั้นในปีนี้ก็คือการเริ่มต้นเก็บเกี่ยวและเติบโต”
ขณะเดียวกัน ในส่วนของการหาพันธมิตรทางธุรกิจ สุรชัยกล่าวชัดเจนว่า เป็นอีกหนึ่งแนวทางสำคัญของโลกธุรกิจยุคใหม่ที่บริษัทองค์กรทั้งหลายต้องจับมือแล้วโตไปด้วยกัน โดยการร่วมมือจะช่วยให้ระบบนิเวศ มีความแข็งแรงมากยิ่งขึ้น ซึ่งจะสอดคล้องและตอบโจทย์เป้าหมายการเติบโตของอาร์เอสกรุ๊ปในปี 2565 นี้ ที่มุ่งเน้นการเติบโตอย่างยั่งยืน
“การร่วมลงทุนจะช่วยให้อาร์เอสมีธุรกิจที่ครอบคลุมตั้งแต่ต้นน้ำยันปลายน้ำ และช่วยในการสร้างแบรนด์ให้กับกลุ่มธุรกิจในเครือให้เป็นที่รู้จักและมีช่องทางในการเข้าถึงได้มากขึ้น”
ทั้งนี้ สุรชัย หรือ เฮียฮ้อ ยังใช้โอกาสนี้ ชี้แจงถึง 4 กลยุทธ์สำคัญที่ใช้เป็นแนวทางในการขับเคลื่อนการเติบโตของบริษัทในระยะยาว คือ 1) การสร้างเศรษฐกิจดิจิทัลด้วยโมเดลเอ็นเตอร์เทนเมิร์ซ โดยการสร้างแพลตฟอร์มเชื่อมโยงอีคอมเมิร์ซและออนไลน์คอนเทนต์ ให้น้ำหนักกับดิจิทัลคอนเทนต์ และนำสินทรัพย์ของอาร์เอสมาแปลงเป็นสินทรัพย์ดิจิทัลเพื่อสร้างรายได้ใหม่ ๆ หรือใช้ประโยชน์ได้สูงสุด และใช้ป็อปคอยน์เป็นเครื่องมือสำคัญในการแปลงสินทรัพย์ของอาร์เอส กรุ๊ปให้เป็นโทเคนดิจิทัลบนบล็อกเชน
2) เมื่อสามารถแปลงและเชื่อมต่อคอนเทนต์และสินทรัพย์ดิจิทัลได้อย่างครบวงจรแล้ว จะทำให้อาร์เอส กรุ๊ปเป็นบริษัทแห่งข้อมูล ที่สามารถนำข้อมูลมาวิเคราะห์และใช้งาน เช่น ต่อยอดหาโอกาสใหม่ ๆ ทางธุรกิจ หรือ พัฒนาผลิตภัณฑ์ที่มีอยู่ด้วยนวัตกรรมใหม่ ๆ เพื่อสร้างความแตกต่างเป็นต้น
3) การยกระดับบรรดาบริษัทผลิตสินค้าในเครือของอาร์เอส กรุ๊ปให้แข็งแกร่งยิ่งขึ้น เพื่อดึงดูดกลุ่มลูกค้าส่วนใหญ่ในตลาด (Mass Market) สร้างแบรนด์ให้เป็นที่รู้จัก และ 4) การเพิ่มมูลค่าให้แก่บริษัท ผ่านการควบรวม หรือร่วมลงทุนจับมือกับพันธมิตรใหม่ ๆ ในหลายวงการ รู้จักใช้ศักยภาพจากทุกธุรกิจในเครือเพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุด นำไปสู่การสร้างการเติบโตที่แข็งแกร่งให้กับระบบนิเวศของอาร์เอสตั้งแต่ต้นน้ำถึงปลายน้ำ และคว้าผลตอบแทนจากการเข้าไปร่วมลงทุนในบริษัทที่จดทะเบียนหรือเข้าไปจะทะเบียนในตลาด ตัวอย่างเช่น ปีนี้ บริษัทที่อาร์เอสเข้าไปร่วมลงทุนและมีแผนที่จะออกหุ้นไอพีโอปีนี้คือ CHASE Asia
“ปี 2565 คือเป็นโอกาสในวิกฤตที่จะมองหาพาร์ทเนอร์ทางธุรกิจ มีบริษัทคุณภาพดี ๆ มีความสามารถมากมายรอเราอยู่ เราเพียงเข้ามาช่วยเสริมจุดแข็ง ป้องกันจุดอ่อนของกันและกัน และช่วยให้เดินต่อไปข้างหน้าได้ ซึ่งอาร์เอสปีนี้มีแผนที่จะปิดดีลให้ได้อีก 2-3 ดีล ทั้งหมดเป็นพาร์ทเนอร์ในกลุ่มเอ็นเตอร์เทนและอีคอมเมิร์ซ เบื้องต้นตั้งงบไว้ที่ดีลละ 500-1,000 ล้านบาท”
ด้าน วิทวัส เวชชบุษกร ประธานเจ้าหน้าที่สายงานการเงิน เปิดเผยว่า กุญแจสำคัญที่จะทำให้อาร์เอส กรุ๊ป ก้าวไปสู่เป้าหมายตามที่ตั้งไว้ในปี 2565 คือ การดำเนินธุรกิจตามกลยุทธ์ LEAP โดย L ย่อมาจาก Lifestyle Wellbeing Solution, E คือ Entertainment Uplift, A คือ Asset Monetization และ P คือ Popcoin ซึ่งทั้งหมดจะนำพาอาร์เอสกรุ๊ปให้เติบโตก้าวกระโดดไปอย่างแข็งแกร่งและมั่นคง
ทั้งนี้ สำหรับกลุ่ม Lifestyle Wellbeing Solution บริษัทจะมุ่งเน้นไปที่ธุรกิจคอมเมิร์ซ อย่าง อาร์เอส มอลล์ (RS Mall) มัลติแพลตฟอร์มช้อปปิ้งสินค้าเพื่อการดูแลสุขภาพแบบองค์รวม มีการแบ่งสินค้าและบริการออกเป็น 4 กลุ่ม ซึ่งกลุ่มใหญ่สุด 60 % คือสินค้ากลุ่มบอดี้ เช่น ผลิตภัณฑ์อาหารเสริมเพื่อสุขภาพและความงาม
ขณะที่ อีก 5% คือกลุ่มมายด์ ได้แก่ กลุ่มผลิตภัณฑ์ประกันชีวิต เช่น ไทยประกันชีวิต บุพพการีมีเงินใช้ (เพื่อเพื่อผู้สูงอายุ), ไทยพาณิชย์ โพรเทค ประกัน แคนเซอร์ พลัส และสินค้ามงคล เป็นต้น ขณะที่อีก 2 กลุ่มที่เหลือคือสินค้ากลุ่มบ้านและสัตว์เลี้ยงที่ 20% และสินค้ากลุ่มท่องเที่ยวและกิจกรรมทางสังคมอยู่ที่ 15% ซึ่งครึ่งหนึ่งของสินค้าที่วางขายในอาร์เอส มอลล์ เป็นของไลฟ์สตาร์บริษัทในเครืออาร์เอส กรุ๊ป ภายใต้แบรนด์ Well u (เวล ยู), Vitanature+ (ไวตาเนเจอร์พลัส), CAMU C (คามู ซี) และ Lifemate (ไลฟ์เมต) ขณะที่อีก 50% เป็นสินค้าของพาร์ทเนอร์
“สำหรับไฮไลท์ผลิตภัณฑ์ปีนี้เป็นสินค้าที่มีสารสกัดจากกัญชงและ CBD ที่จะทยอยออกมาในแต่ละแบรนด์ และนอกจากจำหน่ายผลิตภัณฑ์ผ่าน RS Mall แล้ว ยังขยายช่องทางการจำหน่ายไปสู่ช่องทางการขายที่เหมาะสมกับแต่ละประเภทสินค้า เช่น ร้านสะดวกซื้อ โมเดิร์นเทรด ร้านค้าปลีก Specialty Store ร้านขายยา และเพ็ทชอป รวมถึงช่องทางอีคอมเมิร์ซด้วย ที่สำคัญยังนำ Popcoin มาเป็นเครื่องมือในการกระตุ้นยอดขาย และสร้าง Engagement เพื่อให้แบรนด์ใกล้ชิดกับลูกค้ามากขึ้น”
ทั้งนี้ อาร์เอสกรุ๊ป มีแผนจะทำสินค้า sku ใหม่ภายใต้ 4 แบรนด์ดังกล่าว 28 ชิ้น และจะทยอยเปิดตัวในแต่ละไตรมาสตลอดทั้งปี ขณะที่กลุ่มสินค้ากัญชงจะเปิดตัวอีก 7-8 sku คือ อาหารเสริมกัญชง, ฟังก์ชั่นนอลดริงก์กัญชง และผลิตภัณฑ์ดูแลสัตว์เลี้ยง พร้อมกระตุ้นยอดขายผ่านโปรแกรมสมาชิก โดยตั้งเป้าขยายฐานสมาชิกจาก 8 แสน ให้ได้ 1.2 ล้านราย
ในส่วนของ E หรือ Entertainment Uplift ยกระดับธุรกิจสื่อและบันเทิง ที่มีอยู่ ไล่เรียงตั้งแต่ สถานีโทรทัศน์ช่อง 8 ที่จะอัดแน่นด้วยคอนเทนต์ละคร ข่าว และกีฬา โดยเฉพาะมวย ซึ่งจะเปิดมาตรการเชิงรุกผ่านช่องทางออนไลน์ รวมถึงเฟซบุ๊กและอินสตาแกรมเพื่อสร้างฐานแฟนคลับ, สถานีวิทยุคูลลิซึ่มในฐานะช่องทางเพิ่มการมีส่วนร่วม การจัดกิจกรรมและการเก็บสะสมเหรียญป๊อบคอยน์, กลุ่มเพลง หรือ อาร์เอส มิวสิก ด้วยการทำคอนเทนต์ใหม่ ๆ ขึ้นไปวางบนแพลตฟอร์มออนไลน์มากขึ้นเพื่อสร้างรายได้เพิ่มให้กับธุรกิจ โดยจับมือกับพันธมิตรเพื่อออกซิงเกิ้ลใหม่ และยังสามารถฟังผ่านสตรีมมิ่งต่าง ๆ อาทิ Apple MUSIC, JOOX, Spotify และ TRUE ID รวมถึงพาร์ทเนอร์ AIS, DTAC และ TRUE
นอกจากนี้ อาร์เอส ยังมีแผนขยายช่องทางสร้างรายได้ใหม่ ๆ ด้วย A หรือ Asset Monetization ซึ่งเป็นการแปลงสินทรัพย์ของอาร์เอสที่มีอยู่ เช่น การผลิตคอนเทนต์และร่วมจัดอีเวนท์ระดับโลก การเตรียมเข้าสู่ตลาด NFT ของอาร์เอส มิวสิค รวมถึงการสร้างออนไลน์คอนเทนต์ร่วมกับช่องทางศิลปินในสังกัด เช่น เบิ้ล ปทุมราช แห่งอาร์สยาม กับ รายการ MISSION เฮ็ดสิเบิ้ล และรายการน่ารักสัตว์สัตว์
และสุดท้ายก็คือ P หรือ Popcoin ซึ่งเป็นสมาร์ท มาร์เก็ตติ้ง แพลตฟอร์มที่นำ เทคโนโลยีบล็อกเชนเข้ามาใช้สร้างโอกาสใหม่ ๆ ทางธุรกิจให้แก่ อาร์เอส กรุ๊ป รวมไปถึงการหาพาร์ทเนอร์ใหม่ ๆ ด้วย
วิทวัสย้ำว่า การใช้กลยุทธ์ทั้งในระยะยาวและระยะสั้นของ อาร์เอส กรุ๊ป จะเป็นการยกระดับโมเดลเอ็นเตอร์เทนเมิร์ซเพื่อให้ลูกค้าของอาร์เอสเกิดประสบการณ์การใช้งานที่น่าประทับใจ และดันให้อาร์เอสกลายเป็นองค์กรที่มีบิ๊กดาต้าใช้งานอย่งสมบูรณ์แบบ ส่งผลให้ อาร์เอส กรุ๊ป มีฐานข้อมูลลูกค้าที่ใหญ่ขึ้น สามารถวิเคราะห์และพัฒนาผลิตภัณฑ์และบริการใหม่ ๆ ให้ตอบโจทย์ความต้องการของผู้บริโภคที่หลากหลายมากขึ้น ซึ่งจะนำไปสู่การเติบโตและการขยายธุรกิจทั้งในแนวตั้งและแนวราบ ทำให้คาดการณ์ได้ว่า อาร์เอส กรุ๊ป จะมีรายได้รวมทะลุ 5,100 ล้านบาท ภายในปี 2565 นี้ โดยจะแบ่งเป็นกลุ่มคอมเมิร์ซ 2,750 ล้านบาท และกลุ่มมีเดียเอ็นเตอร์เทนเมนต์ 2,350 ล้านบาท ซึ่งมีสัดส่วนดิจิทัลทีวีและวิทยุ 1,400 ล้านบาท, ป๊อบคอย์และดิจิทัล 300 ล้านบาท, เพลง 325 ล้านบาท และคอนเสิร์ต-อีเวนต์อีก 325 ล้านบาท ส่วนกำไรสุทธิจะอยู่ที่ประมาณ 14-15% ของรายได้
บทความอื่น ๆ ที่น่าสนใจ
NUSA ปรับโครงสร้างครั้งใหญ่ ลดสัดส่วนอสังหาฯ มุ่งลงทุนด้านสุขภาพและพืชสีเขียว
SkinX แอปฯหาหมอผิวหนังออนไลน์รายแรกของไทย รวมแพทย์ดังกว่า 200 คน