TH | EN
TH | EN
หน้าแรกSustainabilityชวนทำความรู้จักเทคโนโลยี CCUS ในยุคที่จำเป็นต้องจัดการ กักเก็บ และใช้ประโยชน์คาร์บอน

ชวนทำความรู้จักเทคโนโลยี CCUS ในยุคที่จำเป็นต้องจัดการ กักเก็บ และใช้ประโยชน์คาร์บอน

นอกเหนือจากเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ หรือ AI ที่บรรดาผู้เชี่ยวชาญต่างฟันธงว่าจะเป็นดาวเด่นของปี 2024 แล้ว อีกหนึ่งเทคโนโลยีที่ได้รับความสนใจอย่างมาก ก็คือ Climate Tech หรือเทคโนโลยีที่ว่าด้วยการจัดการรับมือกับภาวะโลกร้อนทั้งหลาย อย่าง Carbon Capture, Usage, and Storage (CCUS) หรือ การดักจับ กักเก็บ และใช้ประโยชน์ ก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ ซึ่งได้ชื่อว่าหนึ่งในตัวการสำคัญที่ทำให้เกิดสภาพภูมิอากาศแปรปรวน

ทั้งนี้ ณ ปัจจุบัน เทคโนโลยี CCUS ได้รับการจับตามองในฐานะความหวังที่จะเข้ามาช่วยให้เป้าหมายลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกจนบรรลุศูนย์ (Net Zero) ของนานาประเทศเข้าใกล้ความจริงได้มากขึ้น

งานนี้ The Story Thailand จึงชวนมาทำความรู้จักกันว่า เทคโนโลยี CCUS ที่เป็นที่กล่าวขวัญถึงนี้คืออะไร ทำงานอย่างไร และมีความสำคัญอย่างไร

เทคโนโลยี Carbon Capture, Usage, and Storage (CCUS) คืออะไร?

CCUS หมายถึง ชุดเทคโนโลยีที่ช่วยบรรเทาการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ (CO2) จากแหล่งกำเนิดขนาดใหญ่ เช่น โรงไฟฟ้า โรงกลั่น และโรงงานอุตสาหกรรมอื่น ๆ หรือการกำจัด ก๊าซคาร์บอน ที่มีอยู่ออกจากชั้นบรรยากาศ

โดย London School of Economics อธิบายว่า เทคโนโลยี CCUS น่าจะมีบทบาทสำคัญในการบรรลุเป้าหมายสภาพภูมิอากาศโลก และตอบโจทย์เป้าหมายขององค์กรชั้นนำ ได้แก่ International Energy Agency (IEA), International Renewable Energy Agency (IRENA), Intergovernmental Panel on Climate Change (IPCC) และ Bloomberg New Energy Finance (BNEF) ซึ่งองค์กรเหล่านี้ ต่างก็สร้างแนวโน้มด้านพลังงานในระยะยาว ที่อาศัยการขยายตัวอย่างรวดเร็ว ของ CCUS เพื่อจำกัดการเพิ่มขึ้นของอุณหภูมิโลกไว้ที่ 1.5°C

CCUS ทำงานอย่างไร?

การประยุกต์นำ CCUS มาใช้ ประกอบด้วย 3 ขั้นตอนแรก ก็คือ การจับ การขนส่ง และการจัดเก็บหรือการใช้งาน (capture, transport and storage/ usage) ของก๊าซคาร์บอน หรือ CO2 ซึ่งวิธีการหลักในการดักจับ CO2 ได้แก่: การดักจับหลังการเผาไหม้; การดักจับก่อนการเผาไหม้; และการดักจับหลังการเผาไหม้โดยใช้ออกซิเจนบริสุทธิ์ (post-combustion; pre-combustion; and oxy-fuel combustion)

ทั้งนี้ เทคโนโลยีดักจับหลังการเผาไหม้ (post-combustion) จะแยก CO2 ออกจากก๊าซไอเสีย โดยใช้สารบางอย่าง เช่น ตัวทำละลายเคมี หลังจากเชื้อเพลิงถูกเผาไหม้ ขณะที่เทคโนโลยีดักจับก่อนการเผาไหม้ (pre-combustion) เกี่ยวข้องกับการเปลี่ยนเชื้อเพลิงให้เป็นส่วนผสมของก๊าซที่ประกอบด้วยไฮโดรเจนและคาร์บอนไดออกไซด์ก่อนที่จะเผาไหม้ เมื่อแยก CO2 ออกแล้ว ส่วนผสมที่อุดมด้วยไฮโดรเจนที่เหลือจะสามารถใช้เป็นเชื้อเพลิงได้ และการดักจับหลังการเผาไหม้โดยใช้ออกซิเจนบริสุทธิ์ (oxy-fuel combustion) เป็นการดักจับหลังการเผาไหม้โดยการให้ออกซิเจนบริสุทธิ์ทำปฏิกิริยา ซึ่งจะทำให้ได้สัดส่วนของ CO2 สูงถึง 80% จากนั้นก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ที่ปล่อยออกมาจะถูกดักจับในภายหลัง

ผู้เชี่ยวชาญอธิบายว่า อุปกรณ์ของเทคโนโลยี Post-combustion และ oxy-fuel สามารถติดตั้งในโรงงานแห่งใหม่หรือดัดแปลงไปยังสิ่งอำนวยความสะดวกที่มีอยู่ซึ่งเดิมสร้างขึ้นโดยไม่มีอุปกรณ์ที่ว่านี้ได้ ขณะที่เทคโนโลยี  Pre-combustion จำเป็นต้องมีการปรับเปลี่ยนการทำงานของโรงงานเกือบทั้งหมด ดังนั้นจึงเหมาะสมกับโรงงานที่สร้างขึ้นใหม่มากกว่า

รายงานระบุว่า ปัจจุบัน สิ่งอำนวยความสะดวกในการปฏิบัติงานที่ติดตั้ง CCUS สามารถดักจับ CO2 ได้ประมาณ 90% ที่มีอยู่ในก๊าซไอเสียทั้งหมดที่โรงงานปล่อยออกมา กระนั้นก็มีความเป็นไปได้ทางเทคโนโลยีที่จะบรรลุอัตราการดักจับที่สูงขึ้น ขณะที่การวิจัยกำลังดำเนินอยู่เพื่อลดต้นทุนในการดำเนินการดังกล่าว

นอกจากนี้  CO2 ยังสามารถดักจับได้โดยตรงจากบรรยากาศ โดยการดึงอากาศโดยใช้พัดลม แล้วส่งผ่านสภาพแวดล้อมที่ประกอบด้วยตัวดูดซับที่เป็นของแข็งหรือตัวทำละลายของเหลว แต่ทว่า แนวทางปฏิบัตินี้ใช้พลังงานมากกว่าและมีราคาแพงกว่าเนื่องจาก CO2 มีความเข้มข้นในบรรยากาศต่ำกว่าในก๊าซไอเสียมาก

ในส่วนของก๊าซ CO2 ที่ถูกดักจับแล้ว ก๊าซดังกล่าวจะถูกบีบอัดให้เป็นสถานะของเหลวและขนส่งโดยทางท่อ เรือ รางรถไฟ หรือรถบรรทุก หลังจากนั้น CO2 จะสามารถถูกฉีดเข้าไปในชั้นหินทางธรณีวิทยาที่ลึกได้ ซึ่งโดยปกติจะอยู่ที่ระดับความลึก 1 กิโลเมตร หรือมากกว่านั้น เพื่อเก็บไว้อย่างถาวรในแหล่งน้ำมันและก๊าซที่หมดสิ้นไปแล้ว รวมถึงก้นเหมืองถ่านหิน หรือชั้นหินอุ้มน้ำที่มีน้ำเกลือลึกที่ซึ่งธรณีวิทยามีความเหมาะสม โดยมีหลักฐานชี้ให้เห็นว่า มีพื้นที่จัดเก็บใต้ดินทั่วโลกมากกว่าที่จำเป็นต้องใช้จริง ๆ สำหรับการบรรลุเป้าหมายด้านสภาพภูมิอากาศ และเกือบทุกประเทศที่มีการปล่อยมลพิษสูงได้แสดงให้เห็นแล้วว่ามีทรัพยากรในการจัดเก็บ CO2 ปริมาณมากของตนเอง

ขณะเดียวกัน อีกทางเลือกหนึ่งนอกเหนือจากการจัดเก็บถาวรคือการใช้ CO2 ที่จับได้เป็นข้อมูลป้อนเข้าสำหรับผลิตภัณฑ์และบริการเชิงพาณิชย์ แต่ผลกระทบต่อสภาพภูมิอากาศจากสิ่งนี้ยังไม่ชัดเจนและต้องมีการตรวจสอบศึกษาอย่างรอบคอบต่อไป

CCUS มีศักยภาพในการจัดการกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศอย่างไร?

ในความเห็นของนักวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี CCUS สามารถมีบทบาทเชิงกลยุทธ์สำหรับความพยายามลดการปล่อยคาร์บอนทั่วโลกได้หลายวิธี ซึ่งรวมถึง: (i) การลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกในอุตสาหกรรมที่ ‘ยากต่อการลด’ (อุตสาหกรรมที่ยากต่อการลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนโดยเฉพาะ); (ii) ผลิตไฟฟ้าคาร์บอนต่ำและไฮโดรเจน ซึ่งสามารถนำไปใช้ในการลดการปล่อยคาร์บอนในกิจกรรมต่าง ๆ และ (iii) กำจัด CO2 ที่มีอยู่ออกจากบรรยากาศ

โดยบทบาทที่หลากหลายของ CCUS ยังช่วยให้การจัดหาพลังงานมีความหลากหลายและยืดหยุ่นมากขึ้น ซึ่งในทางกลับกันก็มีส่วนทำให้เกิดความมั่นคงด้านพลังงาน ซึ่งกลายเป็นเรื่องสำคัญที่รัฐบาลทั่วโลกให้ความสำคัญเพิ่มมากขึ้น

ยิ่งไปกว่านั้น เทคโนโลยี CCUS ยังเสนอทางเลือกที่คุ้มค่าที่สุด ณ ปัจจุบัน ในหลายภูมิภาคสำหรับการลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนอย่างล้ำลึกของอุตสาหกรรมที่ลดปริมาณยากจำนวนหนึ่ง เช่น เหล็ก เหล็กกล้า และสารเคมี

นอกจากนี้ เทคโนโลยี CCUS ยังเป็นตัวเลือกทางเทคโนโลยีเพียงตัวเลือกเดียวที่รู้จักกันดีในการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกในการผลิตปูนซีเมนต์ ซึ่งเป็นอุตสาหกรรมที่ก่อให้เกิดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกเกือบ 7% ของโลก

ทั้งนี้ สืบเนื่องจากแนวทางในการมุ่งผลิตไฟฟ้าและไฮโดรเจนในลักษณะคาร์บอนต่ำ เทคโนโลยี CCUS จึงสามารถป้อนเข้าสู่ความพยายามที่จะเปลี่ยนภาคส่วนต่างๆ ที่กว้างขึ้นให้ห่างจากการพึ่งพาเชื้อเพลิงฟอสซิลได้ อีกทั้ง เทคโนโลยี CCUS นี้ยังสามารถติดตั้งบนโรงไฟฟ้าที่ใช้ถ่านหิน ก๊าซธรรมชาติ พลังงานชีวมวล หรือของเสีย ได้ โดยไม่ต้องเสียงบสร้างขึ้นใหม่

ขณะเดียวกัน การผลิตพลังงานไฟฟ้าคาร์บอนต่ำที่สร้างขึ้นสามารถทดแทนเชื้อเพลิงฟอสซิลในฐานะแหล่งพลังงานได้ รวมถึงในการขนส่งส่วนบุคคล การทำความร้อนในพื้นที่ และการสกัดความร้อนที่อุณหภูมิต่ำและปานกลางในอุตสาหกรรม อีกทั้ง ไฮโดรเจนยังสามารถทดแทนเชื้อเพลิงฟอสซิลได้โดยตรงมากขึ้นในกระบวนการเผาไหม้ หรือเป็นวัตถุดิบตั้งต้นในการใช้งานทางอุตสาหกรรม หรือในการขนส่งระยะไกล

นอกจากนี้ มีหลักฐานที่บ่งชี้ว่าการกำจัดก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ออกจากชั้นบรรยากาศจะเป็นเครื่องมือสำคัญในการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ทั่วโลกเพิ่มมากขึ้น โดยรายงานการประเมิน IPCC ล่าสุดเตือนว่าการนำเทคโนโลยีกำจัดก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ (carbon dioxide removal  – CDR) มาใช้นั้น ‘หลีกเลี่ยงไม่ได้’ หากต้องบรรลุการปล่อยก๊าซสุทธิเป็นศูนย์

อย่างไรก็ตาม CDR ควรใช้เพื่อเสริม ไม่ใช่แทนที่ และดำเนินการในวงกว้างขึ้นในการบรรเทาคาร์บอน หนึ่งในสองวิธีหลัก ในการกำจัด CO2 ออกจากชั้นบรรยากาศ ได้แก่ พลังงานชีวภาพที่มีการดักจับและกักเก็บคาร์บอน (BECCS) และการดักจับและกักเก็บคาร์บอนในอากาศโดยตรง (DACCS) ทั้งสองวิธีมีรากฐานทางเทคโนโลยีร่วมกันกับ CCUS DACCS ช่วยให้สามารถดักจับ CO2 จากชั้นบรรยากาศได้โดยตรง ในขณะที่ BECCS สามารถส่งผลให้มีการกำจัด CO2 สุทธิจากแหล่งชีวมวลอย่างยั่งยืน

สถานะปัจจุบันของการพัฒนา CCUS ทั่วโลกเป็นอย่างไร?

จนถึงขณะนี้ การพัฒนาเทคโนโลยี CCUS ได้รับแรงผลักดันที่สำคัญในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา โดยได้แรงหนุนจากเป้าหมายด้านความยั่งยืนที่หมายรวมถึงการปกป้องอุณหภูมิโลกที่แน่วแน่เอาจริงเอาจังมากขึ้น บวกกับการหันมาสนับสนุนเทคโนโลยีเพื่อสภาพภูมิอากาศอย่างจริงจัง ทั้งนี้ ในปี 2022 หลายประเทศทั่วโลกได้มีการเพิ่มสิ่งปลูกสร้างและติดตั้งอุปกรณ์ที่เกี่ยวกับเทคโนโลยี CCUS ใหม่ถึง 61 แห่ง ขณะที่ ปัจจุบัน ยังมีโครงการติดตั้งเทคโนโลยีที่เกี่ยวกับ CCUS อีก 30 แห่ง อยู่ในระหว่างการก่อสร้าง 11 แห่ง และอยู่ในระหว่างการพัฒนาอีก 153 แห่ง และแน่นอนว่า ในฐานะผู้นำทางเทคโนโลยี CCUS สหรัฐอเมริกา เป็นประเทศที่มีโครงการ CCUS มากกว่าประเทศอื่น ๆ ทั่วโลก ยิ่งเมื่อรัฐบาลสหรัฐฯ มีการออกกฎหมายการลดอัตราเงินเฟ้อ หรือ Inflation Reduction Act  ในปี 2022 ก็ยิ่่งทำให้หลายฝ่ายคาดว่า จะมีการขับเคลื่อนการนำเทคโนโลยี CCUS นี้ไปใช้เพิ่มเติมในปีต่อๆ ไป

ทั้งนี้ Inflation Reduction Act ถือเป็นกฎหมายที่ว่าด้วยการสนับสนุนการลงทุนด้านพลังงานสะอาดครั้งที่ใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์สหรัฐฯ โดยมีมูลค่าอยู่ที่ 4.3 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ซึ่งกฎหมายดังกล่าวมีเป้าหมายหลักเพื่อต่อสู้กับภาวะโลกร้อน ดังนั้นจึงครอบคลุมถึงการสนับสนุนการดำเนินงานที่เกี่ยวข้องกับการลดการปล่อยก๊าซคาร์บอน

ขณะที่ในภูมิภาคยุโรป หลายประเทศ เช่น สหราชอาณาจักร เนเธอร์แลนด์ และนอร์เวย์ กำลังมองหาแนวทางที่จะพัฒนาเทคโนโลยี CCUS ในกลุ่มอุตสาหกรรมระดับภูมิภาคร่วมกัน ทำให้งผู้ปล่อยหลายรายจะได้รับประโยชน์เชิงเศรษฐกิจจากโครงสร้างพื้นฐานการขนส่งและการจัดเก็บที่ใช้ร่วมกัน

‘การใช้’ (Usage) คาร์บอนคืออะไร และเหมาะสมกับความพยายามในการจัดการกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศอย่างไร?

คำนิยามของคำว่า การใช้งาน (หรือการใช้ประโยชน์) [Usage/ Utilisation] ในบริบทของก๊าซคาร์บอนนี้ หมายถึงการใช้ CO2 ที่จับได้เพื่อผลิตผลิตภัณฑ์หรือบริการที่วางตลาดในเชิงพาณิชย์ การใช้ CO2 ไม่จำเป็นต้องลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกหรือก่อให้เกิดผลประโยชน์สุทธิต่อสภาพภูมิอากาศ เมื่อผลกระทบทางอ้อมและผลกระทบอื่น ๆ มีการคำนวนรวมเข้าไปแล้ว ยกตัวอย่างเช่น Enhanced Oil Recovery (EOR) ซึ่งฉีด CO2 เข้าไปในแหล่งเก็บน้ำมันและก๊าซธรรมชาติเพื่อเพิ่มการสกัด โดยถือเป็นหนึ่งในรูปแบบการใช้ CO2 ที่เป็นที่รู้จักมากที่สุดและมีการใช้มานานหลายทศวรรษ

ทั้งนี้ สืบเนื่องจากเทคโนโลยี CCUS เริ่มมุ่งหาศักยภาพในการลดการปล่อยคาร์บอนมากขึ้น โครงการส่วนใหญ่ที่อยู่ในระหว่างการก่อสร้างหรือการพัฒนาขั้นสูงทั่วโลกจึงมีไว้เพื่อการจัดเก็บ CO2 โดยเฉพาะ แทนที่จะเป็น EOR แบบเดิม เพราะแม้ว่า EOR สามารถใช้และจัดเก็บ CO2 ในปริมาณมาก แต่ก็อาจไม่ก่อให้เกิดผลประโยชน์สุทธิต่อสภาพภูมิอากาศ และอาจเป็นอันตรายได้เมื่อพิจารณาถึงการที่โลกยังต้องพึ่งพาน้ำมันที่สกัดจากกระบวนการ

ขณะเดียวกัน ในการใช้งานเชิงพาณิชย์ส่วนใหญ่จนถึงปัจจุบัน ซึ่งรวมถึง EOR การผลิตปุ๋ย การผลิตอาหารและเครื่องดื่ม และการทำความเย็น ตัวก๊าซคาร์บอน หรือ CO2 จะถูกใช้โดยตรง โดยไม่มีการเปลี่ยนแปลงทางเคมี การใช้งานที่เกี่ยวข้องกับการแปลงใด ๆ ขณะที่การใช้ก๊าซคาร์บอน (CO2) มาเปลี่ยนให้เป็นผลิตภัณฑ์ที่มีประโยชน์ เช่น วัสดุก่อสร้างและพลาสติกผ่านกระบวนการทางเคมีและชีวภาพ ยังไม่มีการพัฒนาเพิ่มเติม

นักวิเคราะห์และผู้เชี่ยวชาญทั้งหลายชี้ว่า การประเมินผลกระทบต่อสภาพภูมิอากาศจากการใช้ทั้งวงจรของ CO2 ถือเป็นสิ่งสำคัญ โดยต้องพิจารณาทั้งแหล่งที่มาและการใช้งานขั้นสุดท้ายของ CO2 ตัวอย่างเช่น การใช้ CO2 ที่จับได้จากแหล่งกำเนิดเชื้อเพลิงฟอสซิลจะส่งผลกระทบต่อ ‘งบประมาณคาร์บอน’ โดยรวมในชั้นบรรยากาศแตกต่างไปจากการใช้ CO2 ที่จับมาจากอากาศโดยตรง

(‘งบประมาณคาร์บอน’ หรือ carbon budget คือ ปริมาณการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ที่สามารถปล่อยออกมาได้โดยไม่ให้อุณหภูมิโลกที่เพิ่มขึ้นถึง 2 องศาเซลเซียสเหนือระดับก่อนการปฏิวัติอุตสาหกรรม)

แม้ว่าโลกจะพิจารณาเฉพาะพื้นที่ของการใช้ CO2 ที่ให้ผลประโยชน์สุทธิต่อสภาพภูมิอากาศ แต่ปริมาณ CO2 ที่ต้องกักเก็บผ่าน เทคโนโลยี CCUS เพื่อลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกในวงกว้างนั้นมีมากกว่าปริมาณการใช้ CO2 ในตลาดปัจจุบันมาก อีกทั้งยังมีการคาดกาารณ์ไว้แล้วว่าตลาดจะไม่เติบโตอย่างมีนัยสำคัญในระยะสั้นเช่นกัน ดังนั้น แม้การใช้ CO2 จะเป็นพื้นที่สำคัญสำหรับการตรวจสอบเพิ่มเติม แต่อย่างน้อยสิ่งที่ต้องมุ่งเน้นในทันทีขณะนี้คือการรักษาความปลอดภัยในการจัดเก็บถาวรสำหรับ CO2 ที่ดักจับได้

ข้อกังวลหลักเกี่ยวกับเทคโนโลยี CCUS คืออะไร?

ปัจจัยที่น่ากังวลสำหรับเทคโนโลยี CCUS ในปัจจุบันก็คือ ค่าใช้จ่ายที่สูง ซึ่งต้นทุนค่าใช้จ่ายนี้อาจเป็นข้อเสียเปรียบที่หลายประเทศนำมาใช้เป็นข้ออ้างมากที่สุดในการนำเทคโนโลยี CCUS มาใช้ โดยอุปกรณ์และสิ่งปลูกสร้าง ตลอดจนโคงสร้างที่ความสะดวกให้กับเทคโนโลยี CCUS ต้องใช้เงินทุนสูงมากในการปรับใช้ แถมยังใช้พลังงานมากในการดำเนินงาน ซึ่งทำให้เทคโนโลยี CCUS มีราคาแพงเป็นพิเศษ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อต้นทุนพลังงานสูงขึ้น นอกจากนี้ยังมีความเสี่ยงและความไม่แน่นอนเกี่ยวกับประสิทธิภาพทางเทคโนโลยีของการดำเนินงานของเทคโนโลยี CCUS  ที่ยังคงอยู่ในระหว่างการศึกษาวิจัย

อย่างไรก็ตาม เนื่องจากเป้าหมายด้านสภาพภูมิอากาศที่เข้มงวดขึ้นและราคาคาร์บอนที่เพิ่มขึ้น การลดการปล่อยก๊าซจึงไม่ใช่ทางเลือก แต่เป็นความจำเป็น ดังนั้น ต้นทุนและความเสี่ยงของเทคโนโลยี CCUS จึงควรได้รับการพิจารณานำมาเปรียบเทียบกับทางเลือกอื่นๆ ที่มีอยู่ในการลดการปล่อยคาร์บอน แทนที่จะ “ไม่ทำอะไรเลย” เพราะเทคโนโลยี CCUS ก็เหมือนกับเทคโนโลยีอื่นๆ ที่อยู่ในขั้นเริ่มต้นของการพัฒนา แต่เมื่อเทียบกับเทคโนโลยี Climate Tech อื่น ๆ CCUS ถือว่ามีต้นทุนที่ไม่สูงมากนัก ยกตัวอย่างเช่น การรวมการดักจับ CO2 เข้ากับการผลิตเหล็กทำให้ต้นทุนโดยประมาณเพิ่มขึ้นน้อยกว่า 10% เมื่อเทียบกับแนวทางที่ใช้ไฮโดรเจนที่ผลิตจากพลังงานหมุนเวียนมาใช้ลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนในกระบวนการผลิตเหล็กที่เพิ่มต้นทุนถึง 35–70% เมื่อเทียบกับวิธีการผลิตแบบทั่วไป

นักวิเคราะห์เชื่อมั่นว่า ต้นทุนของเทคโนโลยี CCUS จะยังคงลดลงต่อไปเมื่อตลาดขยายตัวและเทคโนโลยีพัฒนาขึ้น ตัวอย่างเช่น ต้นทุนในการกักเก็บ CO2 ในการผลิตพลังงานลดลง 35% จากโรงงาน CCUS ขนาดใหญ่แห่งแรกถึงแห่งที่สองในภาคนั้น นอกจากนี้ ต้นทุนยังต้องได้รับการประเมินในแง่ของผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจในวงกว้างด้วย โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เมื่อเทคโนโลยี CCUS จะเปิดทางให้มีการดำเนินงานของอุตสาหกรรมที่ใช้พลังงานเข้มข้นสามารถดำเนินต่อไปได้ในลักษณะที่สอดคล้องกับเป้าหมายการปล่อยก๊าซคาร์บอนเป็นศูนย์  เพื่อป้องกันไม่ให้งานและทรัพย์สินจำนวนมากที่พวกเขาสนับสนุนตกอยู่ภายใต้ภาวะชะงักงันใด ๆ

นอกจากนี้ อีกหนึ่งข้อควรกังวลสำหรับการใช้เทคโนโลยี CCUS นี้คือกรณีก๊าซคาร์บอนรั่วไหล (CO2 leakages) จากสถานที่กักเก็บที่่อาจนำไปสู่ความเสียหายต่อสิ่งแวดล้อมและกระทบต่อการลดการประหยัดการปล่อยก๊าซตามที่ตั้งใจไว้ อย่างไรก็ตาม กฎระเบียบที่เข้มงวดสำหรับการเลือกโครงการ การจัดการ และการตรวจสอบสถานที่จัดเก็บที่มีการบังคับใช้และอยู่ระหว่างการพัฒนา ก็ช่วยคลายความกังวลไปได้เปลาะหนึ่ง

นอกจากนี้ สถานที่จัดเก็บที่มีศักยภาพหลายแห่งที่ได้รับการพิจารณานั้นเป็นการก่อตัวทางธรณีวิทยาทางธรรมชาติที่มีการกักเก็บก๊าซต่างๆ รวมถึง ก๊าซคาร์บอนดไดออกไซด์  (CO₂) ตามธรรมชาติเป็นเวลาหลายล้านปีแล้ว ดังนั้น ทำให้ประเมินได้ว่าความเสี่ยงในการรั่วไหลของก๊าซคาร์บอนโดยรวมจึงค่อนข้างเป็นไปได้น้อยนั่นเอง

ที่มา London School of Economics

ข่าวอื่น ๆ ที่น่าสนใจ

เพิ่มแต้มต่อในธุรกิจ ด้วยการเปิดเผยข้อมูล ESG

“แลนด์บริดจ์” ฝันได้…ไปไม่ถึง

เป๊ปซี่โค เปิดโครงการ Greenhouse Accelerator ครั้งที่ 2 ในเอเชียแปซิฟิก ภายใต้แนวคิดความยั่งยืน

STAY CONNECTED

0แฟนคลับชอบ
440ผู้ติดตามติดตาม
spot_img

Lastest News

MUST READ