ผมรู้สึกตื่นเต้นด้วยความยินดีกับข่าวที่ “พระอินทร์” และ “พระยม” จะกลับคืนสู่ประเทศไทย หลังจากที่พลัดพรากไปนานกว่า 50 ปี ทำให้คิดถึง “พระนารายณ์” ที่เสด็จกลับมาเมื่อกว่า 30 ปีก่อน และเนื้อเพลงที่ร้องว่า “เอาไมเคิลแจ็กสันคืนไป เอาพระนารายณ์คืนมา” ซึ่งโด่งดังอย่างมากเมื่อปี 2531
เพลงนี้แต่งขึ้นระหว่างการรณรงค์เรียกร้องให้มีการคืนโบราณวัตถุชิ้นสำคัญกลับคืนประเทศไทย นั่นคือ ทับหลังนารายณ์บรรทมสินธุ์ ที่ถูกคนบาปผู้ละโมบแอบขโมยส่งไปขายต่างประเทศ
- German Travel Mart 2020 เปลี่ยนรูปแบบงานเป็นดิจิทัล
- ท่องเที่ยวเยอรมันเปิดการเดินทางเสมือนจริงรับยุคโควิด-19
ตอนนั้นเครื่องบินของยูไนเต็ด แอร์ไลน์ บินจากเมืองชิคาโก ประเทศสหรัฐอเมริกา มุ่งสู่สนามบินดอนเมือง ประเทศไทย พร้อมกับนำทับหลังนารายณ์บรรทมสินธุ์กลับมา ในวันที่ 10 พฤศจิกายน 2531
ตอนนี้เหตุการณ์แบบเดียวกันเกิดขึ้นอีกครั้ง วันที่ 28 พฤษภาคม 2564 เครื่องบินโคเรียนแอร์จากเมืองลอสแอนเจลิส สหรัฐอเมริกา ได้นำทับหลังพระอินทร์ประทับเหนือหน้ากาล และทับหลังพระยมทรงกระบือ มาถึงสนามบินสุวรรณภูมิ ในช่วงเวลาค่ำ
หลายคนอาจจะสงสัยว่า “ทับหลัง” คือ อะไร
ทับหลังเป็นแผ่นศิลาทรงสี่เหลี่ยมผืนผ้าที่วางทับเหนือกรอบประตูทางเข้าปราสาท ทำหน้าที่รับและถ่ายเทน้ำหนักส่วนบนของอาคาร ส่วนที่ถูกลักลอบขโมย คือ ชิ้นงานศิลปะจำหลักลวดลายที่ติดประดับด้านหน้าของทับหลังอีกที
โดยนิยมทำจากหินทรายเพราะเนื้อไม่แข็งแกะสลักได้ง่ายงานจำหลักมักเป็นภาพตามคติความเชื่อทางศาสนา ลวดลายที่ปรากฏแตกต่างกันไปตามสมัยนิยม ซึ่งนักโบราณคดีใช้เป็นหลักฐานบ่งบอกยุคสมัยของการสร้าง ทับหลังทั้งสามคาดว่าถูกลักลอบนำออกนอกประเทศไทยช่วงเวลาไล่เลี่ยกันระหว่างปี 2004-2508
ต่อมามีผู้พบเห็นจัดแสดงในพิพิธภัณฑ์มีชื่อของประเทศสหรัฐอเมริกา จึงเกิดปฏิบัติการทวงคืนสมบัติของชาติขึ้นทับหลังนารายณ์บรรทมสินธุ์เป็นชิ้นงานที่ติดบนมณฑปด้านทิศตะวันออกปราสาทประธาน ณ ปราสาทหินพนมรุ้ง ซึ่งเป็นศาสนสถานขอมโบราณตั้งแต่พุทธศตวรรษที่ 15 ตั้งอยู่บนปากปล่องของยอดภูเขาไฟที่ดับสนิทนานแล้ว อำเภอเฉลิมพระเกียรติ จังหวัดบุรีรัมย์
ภาพจำหลักลวดลายพระนารายณ์บรรทมบนอาสนะในวงขนดของอนันตนาคราชที่มีหนึ่งพันเศียร มีดอกบัวผุดออกมาจากพระนาภี (สะดือ) มีพระลักษมี พระชายานั่งปรนนิบัติแทบพระบาท ชิ้นนี้เป็นงานสลักเก็บรายละเอียดได้อย่างพิสดาร ถือเป็นศิลปกรรมชั้นเลิศหนึ่งในงานปราสาทขอมที่อยู่ในประเทศไทย
ในการเรียกร้องขอคืนครั้งนั้น ไทยมีหลักฐานสำคัญคือ ภาพถ่ายครั้งสมเด็จฯ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ เสด็จประพาสปราสาทพนมรุ้งเมื่อวันที่ 26 มกราคม พ.ศ.2472 กับภาพถ่ายของ มานิต วัลลิโภดม นักโบราณคดีกรมศิลปากร ที่มีปรากฏในหนังสือรายงานการสำรวจขุดแต่งโบราณสถานในภาคตะออกเฉียงเหนือภาค 2 พ.ศ.2503-2504 ภาพทั้งสองเผยให้เห็นทับหลังที่แตกหักเป็น 2 ชิ้น ภายหลังถูกโจรกรรมหายไป จนปี พ.ศ.2008 กรมศิลปากรตรวจยึดได้ส่วนที่เป็นชิ้นเล็ก ในร้านขายของแอนทิคชื่อกรุงเก่า ย่านราชประสงค์
อีก 7 ปีต่อมา ในปี พ.ศ.2515 ศาสตราจารย์ ม.จ.สุภัทรดิศ ดิศกุล คณบดีคณะโบราณคดี มหาวิทยาลัยศิลปากร ในขณะนั้น และดร.ไฮแรม วูดเวิร์ด อาสาสมัครสันติภาพที่มาสอนพิเศษ ได้พบส่วนที่เป็นชิ้นใหญ่จัดแสดงในสถาบันศิลปะแห่งชิคาโก จึงทำหนังสือแจ้งกรมศิลปากรแนะนำเรื่องการขอคืนระหว่างปี พ.ศ.2516-2521 กรมศิลปากรทำหนังสือร้องเรียนถึงรัฐบาลสหรัฐฯ และหน่วยงานต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้อง แต่ไม่เป็นผล จนกระทั่งปี พ.ศ.2530 เมื่อการบูรณะปราสาทพนมรุ้งใกล้เสร็จสมบูรณ์ เตรียมเปิดเป็นอุทยานประวัติศาสตร์พนมรุ้ง ฝ่ายสภาผู้แทนราษฎรได้ทำหนังสือโดยตรงถึงผู้อำนวยการสถาบันศิลปะแห่งชิคาโก
ภายในประเทศก็มีการรณรงค์ครั้งใหญ่ ชาวบุรีรัมย์กว่า 15,000 คนได้ชุมนุมกันเพื่อเรียกร้องขอทับหลังคืน วงคาราวบาวก็ช่วยกระตุ้นให้คนไทยเรียกร้องร่วมกันด้วยการแต่งเพลงทับหลัง กระแสเรียกร้องอย่างจริงจังส่งผลให้สถาบันศิลปะแห่งชิคาโก แสดงท่าทีพร้อมแก้ปัญหาอย่างเป็นมิตร โดยเสนอให้มีการแลกเปลี่ยนโบราณวัตถุที่มีคุณค่าทางศิลปะเท่าเทียมกัน
ฝ่ายไทยไม่ยอมรับข้อเสนอ แต่ยินดีจำลองประติมากรรมที่มีความสำคัญทางศิลปะและคุณค่าทางการศึกษาเป็นการตอบแทน ผู้ครอบครองก็ไม่สนใจ ยังคงต้องการการแลกเปลี่ยนตามที่ตนเสนอสถานการณ์เป็นดั่งสำนวนที่ว่า “อ้อยเข้าปากช้าง เห็นทียากที่จะได้ของเราคืน”
การต่อรองระหว่างสองฝ่ายดำเนินอีกหลายครั้ง ก็ไม่อาจได้ข้อยุติ แต่ระหว่างนั้นสื่อมวลชนในสหรัฐอเมริกาให้ความสนใจเสนอข่าวกันเอิกเกริกจนมีการประชุมสภาเมืองชิคาโกในเรื่องปัญหาทับหลัง ปรากฏว่ามีผู้ให้การสนับสนุนฝ่ายไทยจำนวนมาก กดดันให้สถาบันศิลปะแห่งชิคาโกต้องตัดสินใจส่งมอบทับหลังนารายณ์บรรทมสินธุ์คืนแก่ประเทศไทย
นี่เป็นบทเรียนการต่อสู้ที่กินเวลานานถึง 15 ปี กว่าจะได้สมบัติของชาติกลับคืนมา
ปี พ.ศ. 2559 บทเรียนการเรียกร้องครั้งใหม่ได้เริ่มขึ้น
ประชาชนกลุ่มหนึ่งรวมตัวกันเพื่อติดตามหาประติมากรรมสัมฤทธิ์ “พระโพธิสัตว์ประโคนชัย” อายุ 1,300 ปี จำนวน 18 องค์ และพระสำริดกว่า 300 องค์ ที่หายไปจากปราสาทปลายบัด 2 จังหวัดบุรีรัมย์ โดยถูกลักลอบนำออกไปขายต่างประเทศ
พวกเขาตั้งชื่อว่า “กลุ่มสำนึก 300 องค์” หรือ Thailand Pride Project เพื่อสะท้อนสำนึกของข้าราชการไทยบางคนที่มีพฤติกรรมวางเฉยโดยการปฏิเสธข่าวการหายไปของศิลปะประโคนชัยเหล่านี้การทำงานอย่างจริงจังของพวกเขาทำให้ค้นพบโบราณวัตถุของไทยชิ้นอื่น ๆ รวมถึงการพบทับหลังพระอินทร์ประทับเหนือหน้ากาล และทับหลังพระยมทรงกระบือ จัดแสดงอยู่ที่พิพิธภัณฑ์ ชอง–มูนลี เอเชียน อาร์ต มิวเซียม ที่เมืองซานฟรานซิสโก รัฐแคลิฟอร์เนีย สหรัฐอเมริกา
พวกเขาค้นหาข้อมูล หาพยานหลักฐาน รวมทั้งพยานบุคคลในพื้นที่ที่เคยรับรู้เรื่องราวการมีอยู่ของทับหลังทั้งสอง จนได้ความจริงว่าทับหลังพระอินทร์ประทับเหนือหน้ากาล เคยอยู่คู่กับปราสาทเขาโล้นซึ่งเป็นประสาทหลังเดียว ตั้งอยู่เหนือยอดเขาโล้นในจังหวัดสระแก้ว ซึ่งคาดว่าสร้างขึ้นในระหว่างพุทธศตวรรษที่ 16-17 กรมศิลปากรมีหลักฐานเขียนบันทึกไว้ประมาณปี พ.ศ.2502 และมีภาพถ่ายเก่าของศาสตราจารย์ มจ.สุภัทรดิศ ดิศกุล เมื่อปี พ.ศ.2510
ส่วนทับหลังพระยมทรงกระบือ มีภาพถ่ายเก่าขาวดำจากการสำรวจทางโบราณคดีของ มานิต วัลลิโภดม ระหว่างช่วงปี พ.ศ.2503-2504 เป็นหลักฐานยืนยันว่าขณะนั้นทับหลังอยู่ปราสาทฝั่งทิศใต้ของปราสาทหนองหงส์ จังหวัดบุรีรัมย์ ศาสนสถานของศาสนาฮินดูเมื่อราว 1,000 ปีที่แล้ว
ทางกลุ่มฯ ยังได้ร่วมกับสถาบันการศึกษา นักวิชาการ และประชาชน จัดกิจกรรมเผยแพร่ข้อมูลเกี่ยวกับกระบวนการลักลอบค้าโบราณวัตถุข้ามชาติ และโบราณวัตถุที่สูญหายไป ทำให้ชาวบ้านทั้งสองจังหวัดเรียกร้องให้ภาครัฐทวงสมบัติของชาติคืนมา
ปี 2560 รัฐบาลจึงมีคำสั่งแต่งตั้งคณะกรรมการติดตามโบราณวัตถุของไทยในต่างประเทศ โดยมอบหมายให้กรมศิลปากรดำเนินการ เดือนสิงหาคมปี พ.ศ.2563 กรมศิลปากรส่งหนังสือติดตามทวงคืนโบราณวัตถุถึงสำนักงานสืบสวนเพื่อความมั่นคงแห่งมาตุภูมิ สหรัฐอเมริกา พร้อมข้อมูลและหลักฐานเพื่อยืนยันว่าโบราณวัตถุนั้นมีถิ่นกำเนิดในไทย และถูกลักลอบนำออกไปแบบผิดกฎหมายในที่สุดอัยการสหรัฐและเจ้าหน้าที่ความมั่นคงแห่งมาตุภูมิ ได้อายัดทับหลังทั้งสองที่จัดแสดงในพิพิธภัณฑ์ชอง-มูนลี และดำเนินการตามกระบวนยุติธรรมจนทางพิพิธภัณฑ์ฯ ยอมรับว่าทับหลังทั้งสองเป็นกรรมสิทธิ์ของไทย
งานนี้ราบรื่นกว่าเมื่อ 30 กว่าปีก่อน เนื่องจากสหรัฐฯ มีนโยบายปราบปรามเครือข่ายค้าโบราณวัตถุข้ามชาติและการฟอกเงินอย่างเด็ดขาด มีการตรวจยึดโบราณวัตถุในพิพิธภัณฑ์ทั่วประเทศ และส่งคืนประเทศเจ้าของที่แท้จริงจำนวนมาก
การต่อสู้ทวงคืนสมบัติชาติรอบนี้ใช้เวลาทั้งสิ้น 5 ปี จึงประสบผลสำเร็จ
วันนี้ “พระอินทร์” และ “พระยม” ได้กลับคืนสู่ประเทศไทยแล้ว พร้อมของแถมมาด้วยเป็นพระพุทธรูป 13 องค์ ที่ถูกขบวนการลักลอบจำหน่ายโบราณวัตถุนำออกไปจากประเทศไทย
แต่นี่ไม่ใช่ครั้งสุดท้าย ยังมีสมบัติชาติอีกจำนวนมากที่รอการทวงคืนจากคนบาปที่ละโมบ
สมชัย อักษรารักษ์