มหาวิทยาลัยมหิดล ร่วมกับ สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) และบริษัท เน็ตเบย์ จำกัด (มหาชน) รับมอบหุ่นยนต์ Hapybot หุ่นยนต์เคลื่อนที่อัจฉริยะผู้ช่วยแพทย์ จำนวน 3 ตัว เพื่อนำไปใช้งานจริงภายในโรงพยาบาลสังกัดมหาวิทยาลัยมหิดล 3 แห่ง ได้แก่ สถาบันการแพทย์จักรีนฤบดินทร์ คณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี ศูนย์การแพทย์กาญจนาภิเษก คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล และโรงพยาบาลเวชศาสตร์เขตร้อน คณะเวชศาสตร์เขตร้อน มหาวิทยาลัยมหิดล
-“นก” อันดับ 1 เพลงไทยคนใช้มากที่สุดบน TikTok
-เลอโนโว เปิดตัวเวิร์กสเตชั่น ThinkPad P14s และ P15s
ศาสตราจารย์ นายแพทย์บรรจง มไหสวริยะ รักษาการแทนอธิการบดี มหาวิทยาลัยมหิดล กล่าวว่า มหาวิทยาลัยมหิดล มียุทธศาสตร์สำคัญหลายประการที่จะช่วยขับเคลื่อนและร่วมพัฒนาประเทศ พร้อมที่จะนำองค์ความรู้ต่าง ๆ ช่วยเหลือสนับสนุนเมื่อเกิดปัญหา โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงสถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 หรือ โควิด-19 รวมทั้งการสร้างความร่วมมือกับทั้งภาครัฐและเอกชนในการต่อยอดผลงานวิจัยต่าง ๆ เพื่อช่วยบรรเทาปัญหา
ในขณะที่บุคลากรทางการแพทย์มีงานล้นมือ ต้องปฏิบัติหน้าที่ควบคุมสถานการณ์ตลอด 24 ชั่วโมง เทคโนโลยีทางด้านวิศวกรรมหุ่นยนต์มีส่วนช่วยบุคลากรทางการแพทย์ได้อย่างมาก จึงถูกนำมาใช้ในโรงพยาบาลเพื่อทำงานร่วมกับมนุษย์ เพื่อช่วยลดการสัมผัสผู้ป่วยติดเชื้อ สามารถใช้ในการติดตามคนไข้บนหอผู้ป่วย ใช้ในการดูแลและการพยาบาล ใช้ขนส่งอาหาร อุปกรณ์ทางการแพทย์ และเวชภัณฑ์ยา สิ่งเหล่านี้ คือ เหตุผลความสำคัญและความจำเป็นเร่งด่วนของการที่ต้องนำหุ่นยนต์เข้ามาช่วยงานมากขึ้น เพื่อลดความเสี่ยง และช่วยแบ่งเบาภารกิจของบุคลากร
ศาสตราจารย์ ดร.ไพรัช ธัชยพงษ์ ประธานคณะกรรมการวิชาการและเทคนิคเพื่อรองรับสถานการณ์แพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) กล่าวว่า เนื่องด้วยสถานการณ์การระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรน่า 2019 (โควิด-19) ที่มีการแพร่ระบาดอย่างต่อเนื่องในประเทศ สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) ให้ความสำคัญในการนำผลงานวิจัยและเทคโนโลยีไปใช้ในการช่วยเหลือประเทศชาติเป็นภารกิจพิเศษ และกำหนดผลงานวิจัยและเทคโนโลยีของ สวทช. ที่มีศักยภาพในเชิงสุขภาพและการแพทย์ และดำเนินการเพื่อสนับสนุนความต้องการการใช้เครื่องมือรองรับการดูแลรักษาผู้ป่วยโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 พร้อมทั้งประสานงานภาครัฐและเอกชนที่เกี่ยวข้องให้เกิดความร่วมมือ
นอกจากนี้ยังมีคณะกรรมการที่ให้ความเห็นชอบผลงานวิจัยที่สำเร็จและผ่านข้อกำหนดด้านมาตรฐานและความปลอดภัยเครื่องมือแพทย์จนสามารถนำไปใช้ให้เกิดประโยชน์ในการดูแลรักษาผู้ป่วยโรคติดเชื้อไวรัสโคโรน่า 2019 รวมถึงยังติดตามและประเมินผลความก้าวหน้าในการดำเนินงาน เพื่อการใช้ประโยชน์จากผลงานวิจัย
สำหรับหุ่นยนต์ HAPYBot นี้ บริษัท เน็ตเบย์ (มหาชน) จำกัด ได้จัดทำขึ้นเพื่อเป็นการช่วยเหลือต่อสังคมในกิจกรรม CSR เพื่ออำนวยความสะดวกให้กับแพทย์และพยาบาลในการป้องกันโรคระบาดฯ ดังกล่าว และได้รับการตรวจสอบและทดสอบมาตรฐานความปลอดภัยทางการแพทย์จาก ศูนย์ทดสอบผลิตภัณฑ์ไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ (PTEC) สวทช. ในการทดสอบระบบอิเล็กทรอนิกส์ ความปลอดภัย และมาตรฐานของหุ่นยนต์ เช่น แบตเตอร์รี่ในหุ่นยนต์ต้องเป็นแบตเตอรี่ที่มีความปลอดภัยสูง ไม่เกิดระเบิดเมื่อมีการชาร์จไฟเพิ่ม ระบบไฟฟ้าไม่ส่งสัญญาณไฟฟ้าที่ปล่อยคลื่นความถี่ไปรบกวนอุปกรณ์ทางการแพทย์ของโรงพยาบาล และระบบซอฟต์แวร์ รวมถึงระบบปฏิบัติการในการสั่งงานที่มีมาตรฐาน เพื่อความปลอดภัยในการใช้งานภายในโรงพยาบาลอย่างเป็นทางการ
ผู้ช่วยศาสตราจารย์ นายแพทย์วีระพงษ์ ภูมิรัตนประพิณ คณบดีคณะเวชศาสตร์เขตร้อน มหาวิทยาลัยมหิดล กล่าวว่า ในช่วงวิกฤติโควิด-19 ที่ผ่านมา ที่โรงพยาบาลเวชศาสตร์เขตร้อน ได้มีการนำหุ่นยนต์ HAPYBot ที่ผลิตโดยบริษัทเน็ตเบย์ มาทดสอบการใช้งานจริงเพื่อลดการสิ้นเปลืองของอุปกรณ์ป้องกันส่วนบุคคล (Personal Protective, PPE) และความเสี่ยงการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด -19 ในบุคลากรทางการแพทย์ที่ดูแลผู้ป่วย
โดยได้รับการสนับสนุนจาก สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) ในการทดสอบระบบอิเล็กทรอนิกส์ ความปลอดภัย และมาตรฐานของหุ่นยนต์ ซึ่งหุ่นยนต์ Hapybot มีความสามารถใน 4 ด้าน ประกอบด้วย
-การขนส่ง (Transport)
-การนำทาง (Guide)
-การแนะนำ-บรรยาย (Cruise)
-การสนทนาแบบเห็นหน้า (TeleConference)
โดยสามารถเคลื่อนที่อิสระได้ด้วยตัวเอง ด้วยความเร็ว 2.5 – 3 กิโลเมตรต่อชั่วโมง เพื่อประโยชน์ในการใช้ขนส่งยา วัคซีน และเวชภัณฑ์การแพทย์ รวมถึงสิ่งของอื่น ๆ พร้อมช่องเก็บแบบปิดเปิดและล็อคด้วยไฟฟ้า มีความจุ 17 ลิตร สามารถรองรับน้ำหนักบรรทุกได้ 10 – 15 กิโลกรัม โดยตัวเครื่องมีหน้าจอสำหรับพยาบาลเพื่อสื่อสารกับผู้ป่วย ซึ่งสามารถพูดคุยสนทนาแบบเห็นหน้าได้โดยไม่ต้องเชื่อมต่อกับระบบเน็ตเวิร์คของโรงพยาบาล
สำหรับคุณสมบัติพิเศษของหุ่นยนต์มีหลายฟังก์ชัน ในด้านการใช้ระบบ AI เข้ามาช่วยสร้างแผนการเดินทางได้อัตโนมัติ กำหนดพื้นที่ที่ต้องการหลีกเลี่ยงการเดินเมื่อมีอุปสรรคหรือสิ่งกีดขวาง ตลอดจนสามารถเปลี่ยนเส้นทางได้โดยอัตโนมัติ นอกจากนี้ยังสามารถเชื่อมต่อกับระบบลิฟต์สั่งเปิด-ปิดกับประตูอัตโนมัติได้ รวมทั้งมีระบบ access control ที่สามารถตั้งรหัสผ่านเพื่อป้องกันการใช้งานจากผู้ที่ไม่ได้รับอนุญาต และป้องกันการสูญหายของยา
อีกทั้งสามารถตรวจสอบและรายงาน วัน-เวลา ที่ รับ-ส่ง ยา และระยะทางจากจุดเริ่มต้นถึงปลายทาง รวมถึงระบุผู้ส่ง-รับของได้ ซึ่งต่อไปคาดว่าจะมีการพัฒนาหุ่นยนต์แบบ Telemedicine ที่มีกล้องความละเอียดสูง ซึ่งใช้ช่วยแพทย์ในการตรวจวินิจฉัยผู้ป่วย สามารถดูผ่านหุ่นยนต์ได้โดยที่แพทย์กับผู้ป่วยอยู่คนละที่
โรงพยาบาลเวชศาสตร์เขตร้อน ได้จัดระบบการดูแลผู้ป่วยติดเชื้อโควิด – 19 โดยจัดให้มี ARI Clinic (Acute Respiratory Illness Clinic) ที่อยู่นอกตัวอาคาร สำหรับการดูแลผู้ป่วยที่มีอาการทางเดินหายใจโดยเฉพาะ เพื่อป้องกันการแพร่กระจายเชื้อโควิด – 19 กับผู้ป่วยกลุ่มอื่น อีกทั้งได้จัดให้มี Cohort Ward สำหรับดูแลผู้ป่วยติดเชื้อโควิด-19 โดยเฉพาะ ตลอดจนได้รับความร่วมมือกับภาคเอกชน จัดให้มีตู้ Negative Pressure และ Positive Pressure เพื่อเก็บสิ่งส่งตรวจจากผู้ป่วยและป้องกันการแพร่กระจายเชื้อ นอกจากนี้ ยังอยู่ระหว่างการร่วมพัฒนา Negative Pressure Helmet กับ สวทช. ซึ่งมีลักษณะคล้ายหมวกกันน็อก มีแรงดันลบภายในตัวหมวก ใช้สำหรับผู้ป่วยที่มีการติดเชื้อทางเดินหายใจ เพื่อป้องกันการแพร่กระจายเชื้อออกนอกหมวกสู่ภายนอก
นายพิชิต วิวัฒน์รุจิราพงษ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัทเน็ตเบย์ จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า บริษัทเน็ตเบย์ ดำเนินการเพื่อตอบแทนสังคมในกิจกรรม CSR มาอย่างต่อเนื่อง โดยได้มอบหุ่นยนต์สำหรับโรงพยาบาลฝีมือคนไทยรายแรกที่ผ่านมาตรฐานความปลอดภัยสาธารณสุข 10 ตัวทั่วประเทศ โดย 3 ตัวแรก มอบให้กับโรงพยาบาลในเครือมหาวิทยาลัยมหิดล ได้แก่
-สถาบันการแพทย์จักรีนฤบดินทร์ คณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี
-ศูนย์การแพทย์กาญจนาภิเษก คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล
-โรงพยาบาลเวชศาสตร์เขตร้อน คณะเวชศาสตร์เขตร้อน มหาวิทยาลัยมหิดล
เพื่อรองรับปัญหาโควิด 19 ลดความเสี่ยงหมอและพยาบาลติดเชื้อ ซึ่งมีแนวคิด “Better Faster Cheaper” โดย หุ่นยนต์ HAPYBot จึงได้ถูกคิดค้นให้ทำหน้าที่ขนส่ง นำทาง เคลื่อนที่อิสระ เพื่อขนส่ง ยา วัคซีน และเวชภัณฑ์การแพทย์ อาหาร รวมถึงสิ่งของ อื่นๆ ได้ ตัวหุ่นยนต์มีช่องเก็บแบบปิด,เปิดและล็อคด้วยไฟฟ้า ขนาดจุ 17 ลิตร รองรับน้ำหนักบรรทุกได้ 10-15 กิโลกรัม ในช่องเก็บของในตัวหุ่นยนต์สามารถใส่ประเภทน้ำได้ เพราะเป็นช่องหล่อในตัวชิ้นเดียว ไม่มีรอยต่อ กันน้ำไม่ให้รั่วไปกระทบยังระบบหุ่นยนต์ สามารถสั่งการผ่านหน้าจอสัมผัสบนตัวหุ่นยนต์ หรือสั่งการด้วย computer web base, tablet, mobile application และ QR code ได้ โดยไม่ต้องเชื่อมต่อกับระบบ network ของโรงพยาบาล ทำให้การจัดส่งยาไปยังที่หมายได้หลายที่ ขึ้นกับคำสั่งการใช้งาน นอกจากนี้หุ่นยนต์ฯ ได้ผ่านการตรวจสอบมาตรฐานจาก สวทช. แล้ว