ไฮเออร์ (Haier) ในฐานะผู้นำด้านผลิตภัณฑ์และนวัตกรรมเครื่องใช้ไฟฟ้าระดับโลก และแบรนด์เครื่องใช้ไฟฟ้าอันดับ 1 ของโลกติดต่อกัน 16 ปีซ้อน ได้ประกาศก้าวสำคัญด้านการลงทุนในประเทศไทย ด้วยการเปิดโรงงานผลิตเครื่องปรับอากาศแห่งใหม่ ณ จังหวัดชลบุรี มูลค่ากว่า 10,000 ล้านบาท บนพื้นที่ 324,000 ตารางเมตร โรงงานแห่งนี้ได้รับการออกแบบภายใต้แนวคิดการผลิตยุคใหม่ โดยใช้เทคโนโลยีอัจฉริยะ (Smart Manufacturing) และระบบจัดการที่ทันสมัย เพื่อตอบรับยุทธศาสตร์ S-Curve และ Thailand 4.0 โดยมีเป้าหมายเพื่อรองรับตลาดในประเทศและการส่งออก ด้วยกำลังการผลิตสูงสุดกว่า 6 ล้านเครื่องต่อปี
การลงทุนครั้งนี้ไม่เพียงเป็นการขยายกำลังการผลิต แต่คือจิ๊กซอว์ชิ้นสำคัญที่จะยกระดับบทบาทของไทยให้เป็นศูนย์กลางการผลิตเครื่องใช้ไฟฟ้าในอาเซียน และต่อยอดศักยภาพการแข่งขันในตลาดโลก
วิสัยทัศน์ผู้นำ: ตอกย้ำความเชื่อมั่นและยกระดับไทยสู่ฐานการผลิตเชิงยุทธศาสตร์
โจว หยุนเจี๋ย ประธานกรรมการบริหาร บริษัท ไฮเออร์ กรุ๊ป กล่าวว่า ประเทศไทยกำลังก้าวเข้าสู่ยุคอุตสาหกรรม New S-Curve ซึ่งเป็นกลไกสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจแห่งอนาคต โดยมีอุตสาหกรรมเครื่องใช้ไฟฟ้าเป็นหนึ่งในเสาหลักที่มีศักยภาพสูง การลงทุนครั้งใหญ่นี้จึงไม่เพียงสะท้อนความเชื่อมั่นของไฮเออร์ที่มีต่อเศรษฐกิจไทย แต่ยังตอกย้ำวิสัยทัศน์ในการยกระดับประเทศไทยให้เป็นฐานการผลิตเชิงยุทธศาสตร์ของอาเซียน ที่เชื่อมโยงครบทั้งห่วงโซ่อุปทาน การผลิต การวิจัยและพัฒนา ไปจนถึงการส่งออกสู่ตลาดโลก อีกทั้งยังเป็นหมุดหมายสำคัญของความร่วมมือไทย–จีน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในโอกาสครบรอบ 50 ปีความสัมพันธ์ทางการทูตในปีนี้ ซึ่งสะท้อนถึงความมั่นใจของนักลงทุนจีนต่อศักยภาพ ความมั่นคง และบทบาทเชิงยุทธศาสตร์ของไทยบนเวทีเศรษฐกิจโลก
“การเข้ามาลงทุนของไฮเออร์ยังตอกย้ำให้เห็นภาพลักษณ์ด้านความเชื่อมั่นประเทศไทยที่มีจุดแข็งทั้งการมีแรงงานฝีมือที่ปรับตัวได้รวดเร็ว, โครงสร้างพื้นฐานด้านโลจิสติกส์ที่เชื่อมต่อได้ครบทั้งภูมิภาค และระบบนิเวศทางอุตสาหกรรมที่สามารถรองรับผู้ประกอบการทุกระดับ ถือเป็น ‘Innovation Ecosystem’ ที่ความแตกต่างจากในภูมิภาค การลงทุนครั้งนี้ยังช่วยเสริมแบรนด์ ‘Made in Thailand’ ให้มีความแข็งแกร่งขึ้น โดยสะท้อนคุณภาพ มาตรฐาน และความน่าเชื่อถือ”
แผนการผลิต 3 เฟส: เป้าหมาย 12.5 ล้านเครื่องใน 3 ปี
โรงงานแห่งใหม่นี้มีการวางแผนการผลิตอย่างเป็นระบบ โดยตั้งเป้า 3 ปี (พ.ศ. 2568-2570) จะผลิตเครื่องปรับอากาศรวมกว่า 12.5 ล้านเครื่อง คิดเป็นมูลค่าราว 63,650 ล้านบาท โดยที่ เฟสที่ 1 (ปี 2568) เริ่มเดินสายการผลิตในเดือนกันยายน ตั้งเป้าผลิต 3 ล้านเครื่อง มูลค่าประมาณ 14,700 ล้านบาท เฟสที่ 2 (ปี 2569) ขยายกำลังผลิตเป็น 3.5 ล้านเครื่อง มูลค่า 17,800 ล้านบาท และเฟสที่ 3 (ปี 2570) เดินหน้าเต็มกำลังการผลิตที่ 6 ล้านเครื่อง มูลค่าราว 31,150 ล้านบาท
เมื่อเทียบกับยอดขายในประเทศที่ปัจจุบันอยู่ที่ราว 500,000 ยูนิตต่อปี จะเห็นได้ชัดว่ากำลังการผลิตส่วนใหญ่ถูกวางไว้เพื่อการส่งออกไปยังภูมิภาคอาเซียน ตะวันออกกลาง ยุโรปตะวันออก และอเมริกาเหนือในอนาคต
ไฮเออร์ยังคงเดินหน้ากลยุทธ์เชิงรุกเพื่อเสริมความแข็งแกร่งของแบรนด์ในภูมิภาคอย่างต่อเนื่อง ทั้งการขยายช่องทางการจัดจำหน่าย การพัฒนาผลิตภัณฑ์ที่ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์สมาร์ทยุคใหม่ และการสร้างสรรค์กิจกรรมการตลาด โดยบริษัทได้ตั้งเป้าหมายชัดเจนในปี 2568 คาดการณ์ยอดขายเครื่องปรับอากาศภายในบ้าน 5,500 ล้านบาท คาดการณ์ยอดขายเครื่องปรับอากาศเชิงพาณิชย์ 1,108 ล้านบาท และตั้งเป้าหมายส่วนแบ่งตลาดกว่า 13% เป้าหมายทั้งหมดนี้เพื่อตอกย้ำบทบาทผู้นำอุตสาหกรรมเครื่องปรับอากาศทั้งในระดับภูมิภาคและระดับโลก
โรงงานอัจฉริยะแห่งใหม่: Green, Sustainable และขับเคลื่อนเศรษฐกิจชุมชน
โรงงานอัจฉริยะแห่งใหม่ จะ Green, Sustainable และขับเคลื่อนเศรษฐกิจชุมชน โรงงานผลิตเครื่องปรับอากาศไฮเออร์แห่งที่ 2 ตั้งอยู่ในนิคมอุตสาหกรรมดับบลิวเอชเอ อีสเทิร์นซีบอร์ด 3 (WHA ESIE 3) จังหวัดชลบุรี มีบทบาทสำคัญ ในการเป็นโรงงานสีเขียวและยั่งยืน ที่ถูกออกแบบภายใต้แนวคิด Green & Sustainable Manufacturing ใช้เทคโนโลยีที่ช่วยลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมและคาร์บอนฟุตพริ้นท์ จะสร้างงานในพื้นที่กว่า 3,000 ตำแหน่ง เพื่อกระจายรายได้สู่ท้องถิ่นและส่งเสริมเศรษฐกิจชุมชนให้เติบโตอย่างยั่งยืน และเสริมสร้างห่วงโซ่อุปทานที่แข็งแกร่งภายในประเทศ ตั้งแต่การผลิตชิ้นส่วนจนถึงการประกอบขั้นสุดท้าย ช่วยลดต้นทุนการนำเข้าและเพิ่มความยืดหยุ่นในการแข่งขัน
การลงทุนครั้งนี้ยังมาพร้อมกับการปรับโครงสร้างการผลิตครั้งสำคัญในประเทศไทย เพื่อให้โรงงานแต่ละแห่งมีความเชี่ยวชาญเฉพาะทาง (Specialization) มีการย้ายฐานการผลิตเครื่องปรับอากาศ (AC) สายการผลิตเครื่องปรับอากาศทั้งหมดจะถูกย้ายจากโรงงานเดิมที่จังหวัดปราจีนบุรี มารวมศูนย์ที่โรงงานแห่งใหม่ใน EEC นี้ เพื่อประสิทธิภาพสูงสุด และอัปเกรดโรงงานปราจีนบุรี พื้นที่เดิมจะถูกปรับเปลี่ยนและขยายไลน์การผลิตสำหรับ “ตู้เย็นและเครื่องทำความเย็น” ทั้งหมด ทำให้โรงงานปราจีนบุรีกลายเป็นศูนย์กลางการผลิตเครื่องทำความเย็นโดยเฉพาะ
เดิมพันครั้งใหญ่ท่ามกลางสงครามการค้า: มั่นใจ “สู้ได้” แม้มีกำแพงภาษี
ท่ามกลางความท้าทายทางการค้าโลก โดยเฉพาะประเด็นเรื่องกำแพงภาษี (Tariff) กับตลาดสหรัฐอเมริกา คุณโจว หยุนเจี๋ย ได้ให้คำตอบที่ชัดเจนว่า บริษัทได้ประเมินและคำนวณต้นทุนทั้งหมดแล้ว และพบว่า “สามารถแข่งขันได้” ความมั่นใจดังกล่าวแสดงให้เห็นว่าศักยภาพด้านต้นทุนและคุณภาพการผลิตจากโรงงานในไทยนั้นแข็งแกร่งพอที่จะเอาชนะอุปสรรคทางการค้าได้
สร้างงานครั้งใหญ่: 3,000 อัตราและสมดุลระหว่าง Automation กับแรงงานคน
แม้จะเป็นโรงงานที่ทันสมัยและขับเคลื่อนด้วยเทคโนโลยี Smart Manufacturing แต่ไฮเออร์ยังคงให้ความสำคัญกับ “แรงงานคน” โดยคาดว่าจะก่อให้เกิดการจ้างงานมากถึง 3,000 อัตรา ซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นแรงงานชาวไทย ภาพที่เกิดขึ้นจึงไม่ใช่โรงงานอัตโนมัติ 100% แต่เป็นการผสมผสานเทคโนโลยีที่ล้ำสมัยเข้ากับทักษะของแรงงานมนุษย์ เพื่อให้ได้ทั้งประสิทธิภาพและคุณภาพ พร้อมขับเคลื่อนอุตสาหกรรมสีเขียว (Green Industry) และลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม
“ไฮเออร์มีแผนการลงทุนระยะยาวที่ไม่ได้มุ่งเพียงแค่การสร้างโรงงาน แต่พร้อมต่อยอดสู่การพัฒนาระบบการผลิตครบวงจรในรูปแบบ Smart Factory ใช้ระบบอัตโนมัติและเทคโนโลยีดิจิทัลขั้นสูง ควบคู่กับการจัดตั้งศูนย์นวัตกรรมและ R&D เรามุ่งสนับสนุนการขับเคลื่อนเศรษฐกิจใหม่ (New S-Curve) ของประเทศไทย และมั่นใจว่าก้าวต่อไปของไฮเออร์จะช่วยผลักดันให้ไทยก้าวขึ้นเป็นศูนย์กลางการผลิตเครื่องใช้ไฟฟ้าอัจฉริยะที่สำคัญของอาเซียน”
การเปิดโรงงานแห่งใหม่ของไฮเออร์ในครั้งนี้ เป็นมากกว่าแค่การเพิ่มโรงงาน แต่คือการประกาศยุทธศาสตร์ครั้งสำคัญที่เลือกประเทศไทยเป็นหัวหอกในการบุกตลาดโลก ด้วยการลงทุนมหาศาล การวางแผนการผลิตที่แยบยล และความเชื่อมั่นในศักยภาพของประเทศ นี่คืออีกหนึ่งก้าวที่น่าจับตามองของยักษ์ใหญ่แห่งวงการเครื่องใช้ไฟฟ้า ที่จะส่งผลต่อภาพรวมอุตสาหกรรมทั้งในไทยและในเวทีโลกอย่างแน่นอน
ข่าวอื่น ๆ ที่น่าสนใจ
‘ธรรมชาติไม่ใช่ของฟรี’ พลิกเศรษฐกิจไทย ในโลกใบใหม่
S&P 500 ไม่ได้มีแต่ภาพสวยหรู: เปิดข้อควรรู้ ก่อนตัดสินใจลงทุน
