ในยุคที่ Generative AI แทรกซึมเข้าสู่ทุกมิติของชีวิต ตั้งแต่การทำงานไปจนถึงการวางแผนท่องเที่ยว แต่กลับมีคนเพียงหยิบมือที่ใช้เทคโนโลยีนี้เพื่อ “ปรึกษาปัญหาการเงิน” นี่คือช่องว่างที่น่าสนใจและเป็นโอกาสมหาศาล ที่ ดร.วิโรจน์ จิรพัฒนกุล Managing Director, Skooldio และอดีต Data Scientist จาก Facebook ได้ชี้ให้เห็นบนเวที Money Freedom Forum 2025 ในหัวข้อบรรยาย “Smart Money: Simplify Your Finance with AI พลิกโฉมการเงินส่วนบุคคล AI ช่วยให้เรื่องเงินเป็นเรื่องง่ายแค่ปลายนิ้ว” โดยได้ถอดรหัสศักยภาพของเทคโนโลยีนี้ออกมาเป็น 4 ขุมพลังหลัก ที่จะกลายเป็นเครื่องมือสำคัญในการเดินทางสู่อิสรภาพทางการเงิน
4 ขุมพลัง AI พลิกโลกการเงินส่วนบุคคล
หัวใจสำคัญของการนำ AI มาใช้ในเรื่องการเงิน อยู่ที่การทำความเข้าใจความสามารถหลัก 4 ประการซึ่งเปรียบเสมือนอาวุธลับที่จะช่วยให้เราจัดการเรื่องเงินได้
1. อัจฉริยะด้านภาษา: ผู้ช่วยสยบเอกสารการเงินที่ซับซ้อน
ในโลกการเงินที่เต็มไปด้วยเอกสาร สัญญา และรายงานบทวิเคราะห์ที่ยาวเหยียด ความสามารถด้านภาษาของ AI คือพระเอกตัวจริง นักลงทุนไม่ต้องเสียเวลานั่งอ่านบทวิเคราะห์หุ้น 10-20 ฉบับอีกต่อไป เพียงโยนไฟล์ทั้งหมดให้ AI พร้อมคำสั่งง่าย ๆ เช่น “เปรียบเทียบบทวิเคราะห์หุ้นจาก 3 รายงานนี้ สรุปในรูปแบบตาราง” ผลลัพธ์ที่ได้คือตารางเปรียบเทียบที่ชัดเจน เห็นภาพรวมทั้งราคาเป้าหมาย จุดแข็ง และประมาณการการเติบโตได้ในพริบตา
ความเหนือชั้นของ AI ยังไปไกลกว่านั้น ด้วยความสามารถในการประยุกต์ใช้ภาษาที่สร้างสรรค์ เราสามารถสั่งให้ AI “สรุปข้อมูลในสไตล์พี่อ้อยพี่ฉอด” ซึ่ง AI ก็สามารถเปรียบเปรยหุ้นเหมือนความรักได้อย่างคมคายและน่าจดจำ ตอกย้ำให้เห็นว่างานเอกสารที่น่าเบื่อหน่าย ทั้งการเปรียบเทียบเงื่อนไขบัตรเครดิต หรือกรมธรรม์ประกันภัย จะกลายเป็นเรื่องง่ายในทันที
2. คลังความรู้รอบด้าน: ที่ปรึกษาการเงินส่วนตัว 24 ชั่วโมง
Generative AI ได้อ่านหนังสือและข้อมูลการเงินจากทั่วทุกมุมโลกมาแล้วนับไม่ถ้วน AI จึงสามารถทำหน้าที่เป็นที่ปรึกษาเบื้องต้นได้อย่างดีเยี่ยม คำถามคลาสสิกอย่าง “มีหนี้อยู่หลายก้อน จ่ายเท่าไหร่ก็ไม่หมด แก้ปัญหาอย่างไรดี” AI สามารถให้คำตอบที่เป็นระบบ ตั้งแต่การรวบรวมข้อมูลหนี้ทั้งหมด ไปจนถึงการจัดลำดับความสำคัญในการชำระหนี้
และยังสามารถอธิบายกลยุทธ์การปลดหนี้ยอดนิยมอย่าง Snowball (จ่ายก้อนเล็กสุดก่อนเพื่อสร้างกำลังใจ) และ Avalanche (จ่ายก้อนที่ดอกเบี้ยสูงสุดก่อนเพื่อลดภาระดอกเบี้ยรวม) ได้อย่างชัดเจน ยิ่งไปกว่านั้น ยังสามารถสืบค้นและสรุปแนวทางของโค้ชการเงินชื่อดังอย่าง “โค้ชหนุ่ม” (The Money Coach) โดยอ้างอิงจากคลิปวิดีโอหรือบทความต่าง ๆ บนอินเทอร์เน็ต ทำให้เราได้รับคำแนะนำที่หลากหลายและน่าเชื่อถือ
3. ตาทิพย์แห่งข้อมูล: แปลงภาพถ่ายให้เป็นข้อมูลเชิงลึก
ความสามารถในการเข้าใจภาพ เสียง และวิดีโอ ได้ทลายกำแพงการรวบรวมข้อมูลทางการเงินไปอย่างสิ้นเชิง การจดบันทึกรายรับ-รายจ่ายที่เคยเป็นเรื่องยุ่งยากและน่าเบื่อ จะหมดไป เพียงแค่เราถ่ายรูปใบเสร็จรับเงิน สลิปโอนเงิน หรือใบแจ้งหนี้ต่าง ๆ แล้วโยนให้ AI
AI สามารถอ่านข้อมูลจากภาพถ่ายได้อย่างแม่นยำ ไม่ว่าจะเป็นใบเสร็จที่พิมพ์มาอย่างดี บันทึกที่เขียนด้วยลายมือ หรือแม้กระทั่งกระดาษที่ยับยู่ยี่ จากนั้นจึงสรุปออกมาเป็นตารางข้อมูลที่พร้อมใช้งาน ทำให้การติดตามกระแสเงินสดกลายเป็นเรื่องง่ายและสะดวกสบาย
4. นักวิเคราะห์และโปรแกรมเมอร์: เปลี่ยนโจทย์การเงินให้เป็นคำตอบ
จุดแข็งที่น่าทึ่งที่สุดคือความสามารถในการวิเคราะห์ข้อมูลและเขียนโค้ดเพื่อคำนวณโจทย์ทางการเงินที่ซับซ้อน หากเราลังเลว่าจะฝากเงิน 1 ล้านบาทไว้ที่ไหนดีระหว่าง บัญชีฝากประจำดอกเบี้ย 1% กับ บัญชีเงินฝากเงินตราต่างประเทศ (FCD) ดอกเบี้ย 4% เป็นเวลา 10 ปี เราไม่จำเป็นต้องเก่ง Excel อีกต่อไป
เพียงพิมพ์คำถามเข้าไป AI จะเขียนโค้ดคำนวณผลตอบแทนทบต้นให้เห็นภาพชัดเจน พร้อมสร้างกราฟเปรียบเทียบ และยังให้คำแนะนำเพิ่มเติมถึงความเสี่ยงที่เกี่ยวข้อง เช่น ความผันผวนของอัตราแลกเปลี่ยนในกรณีของ FCD ได้อีกด้วย ความสามารถนี้ช่วยให้คนที่ไม่ถนัดตัวเลขสามารถตัดสินใจทางการเงินได้อย่างมีข้อมูลและหลักการมากขึ้น
เหรียญอีกด้านของ AI – จุดอ่อนที่ต้องระวัง
แม้ AI จะเก่งกาจเพียงใด ดร.วิโรจน์ ได้ย้ำเตือนว่ามันก็ยังมีจุดอ่อนสำคัญ 2 ประการที่ผู้ใช้ต้องพึงระวัง คือ
Hallucination (การมโน) บางครั้ง AI อาจสร้างข้อมูลที่ดูน่าเชื่อถือแต่ไม่เป็นความจริงขึ้นมาเอง หรือที่เรียกกันติดปากว่า “มโน” ตัวอย่างคือได้ทดลองถามว่า “เจ้าของเพจ Money Coach จบจากที่ไหน” โดยห้ามค้นหาจากอินเทอร์เน็ต AI ตอบอย่างมั่นใจว่าจบปริญญาตรีบัญชี ธรรมศาสตร์ ทั้งที่ความจริงแล้วโค้ชหนุ่มจบวิศวกรรมศาสตร์ จุฬาฯ ดังนั้น การตรวจสอบข้อมูล (Fact-check) และการอ้างอิงจากแหล่งข้อมูลที่น่าเชื่อถือจึงเป็นสิ่งจำเป็นเสมอ
และ การคำนวณผิดพลาด AI อาจคิดเลขผิดได้หากมันพยายามคำนวณโดยใช้สมองส่วนภาษาแทนที่จะเป็นการเขียนโค้ดเพื่อคำนวณตามหลักตรรกะ ดังนั้น เมื่อต้องการคำตอบที่เกี่ยวกับตัวเลข ควรระบุในคำสั่งให้ชัดเจนว่าให้ “เขียนโค้ดเพื่อคำนวณ” เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่แม่นยำ
จากทฤษฎีสู่ปฏิบัติ – AI ในชีวิตการเงินจริง
เมื่อเข้าใจทั้งจุดแข็งและจุดอ่อนแล้ว เราสามารถนำ AI มาประยุกต์ใช้แก้ปัญหาการเงินใน 3 ด้านหลักได้ทันที
บริหารเงินให้ดีเอาชนะความขี้เกียจในการทำบัญชีรายรับ-รายจ่าย ด้วยการใช้ AI สรุปข้อมูลจากสลิปโอนเงินและใบเสร็จต่าง ๆ นอกจากนี้ ยังสามารถดาวน์โหลดรายการเดินบัญชีบัตรเครดิตให้ AI ช่วย “จัดหมวดหมู่ค่าใช้จ่ายอัตโนมัติ” และวิเคราะห์เปรียบเทียบในแต่ละเดือน เพื่อหารอยรั่วทางการเงินได้อย่างรวดเร็ว
จัดการหนี้ให้ไว ใช้ AI เป็นโค้ชปลดหนี้ส่วนตัว สามารถคำนวณยอดผ่อนสินเชื่อ เปรียบเทียบผลลัพธ์ของการ โปะเงินเพิ่มในแต่ละเดือนว่าจะช่วยลดดอกเบี้ยและระยะเวลาการผ่อนได้มากน้อยเพียงใด หรือแม้กระทั่งวางแผนกลยุทธ์การปลดหนี้หลายก้อนโดยเปรียบเทียบวิธี Snowball และ Avalanche
สร้างรายได้เพิ่มก้าวไปอีกขั้นด้วยเทคโนโลยี AI Agent ซึ่งเป็น AI ที่สามารถวางแผนและทำงานที่ซับซ้อนได้ด้วยตัวเอง เช่น การทำ Deep Research เพื่อเปรียบเทียบหุ้นสองตัวโดยรวบรวมข้อมูลจากทั้งข่าวสาร โซเชียลมีเดีย และผลประกอบการล่าสุด แล้วสังเคราะห์ออกมาเป็นรายงานเชิงลึกภายในเวลาไม่กี่นาที ซึ่งเป็นงานที่นักวิเคราะห์อาจต้องใช้เวลาเป็นสัปดาห์
ดร.วิโรจน์ กล่าวสรุปว่า Generative AI ไม่ใช่ยาวิเศษที่จะเสกอิสรภาพทางการเงินมาให้เราในชั่วข้ามคืน แต่คือ เพื่อนคู่คิดหรือผู้ช่วยที่ทรงพลังอย่างยิ่ง
“หากเราเข้าใจในศักยภาพและข้อจำกัดของมัน เราจะสามารถใช้เทคโนโลยีนี้เป็นเครื่องทุ่นแรงในการบริหารจัดการการเงินได้อย่างมีประสิทธิภาพสูงสุด ตั้งแต่การอุดรอยรั่วในค่าใช้จ่าย การวางแผนปลดหนี้อย่างเป็นระบบ ไปจนถึงการหาข้อมูลเพื่อสร้างรายได้เพิ่ม ถึงเวลาแล้วที่เราจะเริ่มใช้ AI ไม่ใช่แค่เพื่อความสะดวกสบายในชีวิตประจำวัน แต่เพื่อสร้างอนาคตทางการเงินที่มั่นคงและยั่งยืนให้กับตัวเราเอง”
Skooldio โฟกัส Life-Long Learning เป็นส่วนหนึ่งในชีวิตผู้คน
เปิดเส้นทางสู่ความสำเร็จ 2 ผู้บริหารไทย สู่การเป็นนักศึกษาทุนระดับโลก
AI เปลี่ยนโลกธุรกิจ: แนะองค์กรเร่งปรับตัว เพิ่มทักษะ Digital-AI ให้พนักงาน