TH | EN
spot_img
TH | EN
spot_imgspot_imgspot_imgspot_img
หน้าแรกBusinessวิเคราะห์หุ้นไทย: โอกาสใหม่ยุค AI-EV หลัง Lost Decade

วิเคราะห์หุ้นไทย: โอกาสใหม่ยุค AI-EV หลัง Lost Decade

ท่ามกลางสภาวะที่ตลาดหุ้นไทยซบเซาต่อเนื่องยาวนานจนถูกขนานนามว่าเป็น ‘Lost Decade’ หรือทศวรรษที่หายไป คำถามสำคัญที่นักลงทุนต่างเฝ้าครุ่นคิด คือ “หุ้นไทยยังน่าลงทุนอยู่หรือไม่?” ซึ่ง กวี ชูกิจเกษม Value Investor ชื่อดังได้ให้มุมมองที่น่าสนใจไว้บนเวที Money Freedom Forum 2025 ว่า แม้ภาพรวมจะเต็มไปด้วยปัญหาเชิงโครงสร้างที่ฉุดรั้งประเทศ แต่ในความมืดมิดนั้นกลับมีแสงสว่างแห่งความหวังซ่อนอยู่ ผ่านโอกาสในการสร้าง S-Curve ลูกใหม่จากสินทรัพย์ดั้งเดิมที่หลายคนอาจมองข้ามไป

ภาพสะท้อน 13 ปีที่หายไป: Lost Decade ของตลาดหุ้นไทย

หากมองย้อนกลับไปตลอด 13 ปีที่ผ่านมา (2013-2025) จะเห็นภาพสะท้อนที่ชัดเจนของภาวะชะงักงันในตลาดหุ้นไทย ดัชนีแทบไม่ได้ขยับไปจากจุดเดิม ซึ่งสอดคล้องโดยตรงกับอัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจของประเทศที่แผ่วลงอย่างน่าใจหาย จากที่เคยพุ่งทะยานเฉลี่ยปีละ 7.7% ในยุค S-Curve ที่ 2 ก็ลดระดับลงมาเหลือ 4.6% ในยุค S-Curve ที่ 3 ก่อนจะดิ่งลงสู่ระดับ 2.2% ในทศวรรษล่าสุด

แม้เมื่อเทียบกับสินทรัพย์อื่นทั่วโลก หุ้นไทยอาจไม่ใช่ผู้ที่ทำผลงานได้ย่ำแย่ที่สุด แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าเรากำลังเผชิญกับความท้าทายที่รุนแรงกว่านั้น เพราะตัวเลขเหล่านี้เป็นเพียงอาการภายนอก แต่รากของปัญหาได้หยั่งลึกลงไปในระดับโครงสร้างของประเทศ หรือที่เรียกว่า วิกฤติเชิงโครงสร้าง ซึ่งเป็นสาเหตุสำคัญที่ทำให้ประเทศไทยยังหา S-Curve ลูกใหม่ไม่เจอ

โดยวิกฤตินี้ประกอบด้วยกับดักสำคัญ 3 ประการ ประการแรกคือ กับดักประชากรศาสตร์ ที่เรากำลังก้าวสู่สังคมสูงวัยอย่างสมบูรณ์ ทำให้กำลังซื้อในประเทศถดถอย ประการที่สองคือ กับดักรายได้ปานกลางซึ่งทำให้เราติดอยู่ในสถานะ ‘แก่ก่อนรวย’ และท้ายที่สุดคือ กับดักหนี้ครัวเรือน ที่สูงเป็นอันดับต้น ๆ ของโลก แต่สถานะของเรากลับเป็น ‘จนและมีหนี้เยอะ’ ซ้ำเติมด้วยค่านิยม ‘ติดหรู’ เมื่อปัจจัยขับเคลื่อนทั้งประชากร นวัตกรรม และความมั่งคั่งไม่ปรากฏ คำถามสำคัญจึงเกิดขึ้นว่า แล้ว S-Curve ที่ 4 ของไทยจะมาจากที่ใด?

ย้อนรอย 3 S-Curve: จาก ‘ดิน’ สู่ ‘ก๊าซ’ และ ‘บริการ’

เมื่อพิจารณาเส้นทางการเติบโตของไทยในอดีต จะเห็นรูปแบบที่น่าสนใจร่วมกัน นั่นคือ S-Curve แต่ละลูกไม่ได้เกิดจากนวัตกรรมที่เราประดิษฐ์ขึ้น แต่มาจากการใช้ประโยชน์จาก ‘สินทรัพย์ล้ำค่า’ ที่เรามีอยู่แล้วให้ถูกที่ถูกเวลา ใน S-Curve แรกสินทรัพย์ของเราคือความอุดมสมบูรณ์ของแผ่นดินและทรัพยากรธรรมชาติ ซึ่งขับเคลื่อนยุคเกษตรกรรมผ่านการส่งออกข้าวและแร่ธาตุต่าง ๆ

ต่อมา S-Curve ที่สอง เกิดขึ้นเมื่อเราค้นพบสินทรัพย์ใต้ผืนดินอย่าง ก๊าซธรรมชาติซึ่งกลายเป็นแม่เหล็กดึงดูดการลงทุนในภาคอุตสาหกรรมครั้งใหญ่ สร้างยุคโชติช่วงชัชวาล และทำให้ตลาดทุนเติบโตอย่างก้าวกระโดด และ S-Curve ที่สาม ขับเคลื่อนด้วยสินทรัพย์ที่จับต้องได้และจับต้องไม่ได้ นั่นคือ ทำเลที่ตั้งและเสน่ห์ของการบริการโดยการเปิดสนามบินสุวรรณภูมิได้ปลดล็อกศักยภาพด้านการท่องเที่ยวและบริการอย่างเต็มที่ ส่งผลให้กลุ่มค้าปลีกและโรงพยาบาลเติบโตมหาศาล เรื่องราวทั้งหมดนี้ตอกย้ำบทเรียนสำคัญว่า จุดแข็งของไทยคือการมี ‘ของดี’ ที่สามารถตอบสนองความต้องการของตลาดโลกได้เสมอ

S-Curve ที่ 4 ซ่อนอยู่ใน ‘ไฟฟ้า-น้ำ-ภูมิศาสตร์’?: โอกาสในยุค AI และ EV

บทเรียนจาก 3 S-Curve ในอดีตอาจกำลังให้คำใบ้สำคัญถึงอนาคตของประเทศไทย เพราะในขณะที่โลกกำลังมุ่งสู่ยุค AI และยานยนต์ไฟฟ้า (EV) ซึ่งดูเหมือนว่าเราจะไม่มีส่วนร่วมในห่วงโซ่การผลิตเทคโนโลยีระดับสูง ประวัติศาสตร์อาจกำลังจะหมุนกลับมาซ้ำรอยอีกครั้ง กล่าวคือ S-Curve ที่ 4 อาจไม่ได้เกิดขึ้นจากนวัตกรรมที่เราสร้าง แต่จะมาจาก ‘สินทรัพย์พื้นฐาน’ ที่เรามีอยู่อย่างอุดมสมบูรณ์ อันได้แก่ ไฟฟ้า น้ำ และภูมิศาสตร์

สินทรัพย์เหล่านี้คือหัวใจสำคัญของอุตสาหกรรมแห่งอนาคต ตัวอย่างที่ชัดเจนคือ Data Center ซึ่งเป็นสมองของ AI นั้น มีความต้องการใช้ ‘ไฟฟ้า’ และ ‘น้ำ’ ในปริมาณมหาศาลเพื่อการประมวลผลและระบายความร้อน ซึ่งประเทศไทยมีความพร้อมอย่างยิ่ง ทั้งพลังงานไฟฟ้าที่มีเสถียรภาพ พลังงานหมุนเวียนจากแสงแดดที่ร้อนแรงเกือบทั้งปี และทรัพยากรน้ำที่สมบูรณ์ ปัจจัยเหล่านี้ได้กลายเป็นแม่เหล็กดึงดูดการลงทุนจากศูนย์กลางเดิมอย่างสิงคโปร์ที่กำลังเผชิญข้อจำกัดด้านทรัพยากร

ในขณะเดียวกัน เรากำลังจะกลายเป็น EV Hub โดยไม่ได้ตั้งใจ ไม่ใช่เพราะเรามีแร่หายาก แต่เพราะเราคือ ‘มิสยูนิเวิร์สแห่งภูมิศาสตร์’ ที่ตั้งอยู่ ณ จุดศูนย์กลางของห่วงโซ่อุปทานแร่ธาตุ ทำให้การขนส่งวัตถุดิบมาประกอบที่ไทยมีต้นทุนโลจิสติกส์ที่มีประสิทธิภาพสูงสุด

สินทรัพย์ที่ไม่เคยหายไป: ท่องเที่ยวการแพทย์และ‘ความเป็นไทย’

นอกเหนือจากการมองหา S-Curve ลูกใหม่เพื่อสร้างการเติบโตในอนาคต ประเทศไทยยังมี ‘สินทรัพย์’ ดั้งเดิมที่เปรียบเสมือนเสาหลักค้ำจุนเศรษฐกิจซึ่งแข็งแกร่งและยังคงเติบโตได้อย่างต่อเนื่อง เสาหลักต้นแรกคือ การท่องเที่ยว แม้จะเคยเผชิญกับช่วงเวลาที่ท้าทาย แต่เสน่ห์ของประเทศไทยยังคงดึงดูดให้นักเดินทางทั่วโลกปักหมุดเป็นจุดหมายปลายทางอันดับต้นๆ เสมอ และยังมีศักยภาพที่จะฟื้นตัวกลับไปสู่จุดสูงสุดได้อีกมาก

เสาหลักต้นที่สองคือ Medical Tourism หรือการท่องเที่ยวเชิงการแพทย์ที่เราได้ก้าวขึ้นสู่การเป็นศูนย์กลางสุขภาพระดับโลกในอันดับที่ 3 ด้วยความสามารถของทีมแพทย์ที่เก่งกาจและเป็นที่ยอมรับ ผนวกกับการเป็นผู้นำด้านศัลยกรรมความงามแบบครบวงจร และเสาหลักต้นที่สำคัญที่สุด ซึ่งเป็นรากฐานของทุกสิ่งคือ ความเป็นไทย สินทรัพย์ที่จับต้องไม่ได้แต่ทรงพลังอย่างมหาศาล นั่นคืออัธยาศัยและมิตรไมตรีของคนไทย ซึ่งเป็นเสน่ห์ที่ไม่มีใครสามารถลอกเลียนแบบได้ และเป็นสิ่งที่สร้างความแตกต่างให้กับประเทศไทยอย่างแท้จริง

บทสรุปจากการวิเคราะห์ทั้งหมดนี้ ชี้ให้เห็นว่าภูมิทัศน์การลงทุนในตลาดหุ้นไทยได้เปลี่ยนแปลงไปอย่างสิ้นเชิง ยุคที่หุ้นเติบโตยกแผงอาจกลายเป็นเพียงภาพในอดีต แต่นี่ไม่ได้หมายความว่าโอกาสได้หมดสิ้นไป เพียงแต่กฎการลงทุนได้เปลี่ยนไปแล้ว กลยุทธ์นับจากนี้จึงต้องเปลี่ยนจากการคาดหวังผลตอบแทนทั้งตลาด มาเป็นการลงทุนที่ ‘เลือกเป็นรายตัว’ (Stock Picking) โดยเจาะจงไปยังอุตสาหกรรมที่กำลังจะได้รับประโยชน์จาก S-Curve ลูกใหม่อย่างชัดเจน เช่น กลุ่มที่เกี่ยวข้องกับพลังงานไฟฟ้าและ Data Center หรือกลุ่มที่ได้เปรียบจากที่ตั้งทางภูมิศาสตร์ของประเทศ

ขณะเดียวกัน การมองหาโอกาสไม่ควรจำกัดอยู่แค่ในประเทศ สิ่งสำคัญคือนักลงทุนต้องรู้จัก กระจายความเสี่ยง ไปยังสินทรัพย์หลากหลายประเภททั่วโลก เพราะสถิติในระยะยาวได้พิสูจน์แล้วว่าสินทรัพย์ทุกประเภทย่อมให้ผลตอบแทนที่สูงกว่าเงินเฟ้อเสมอ ท้ายที่สุดแล้ว คำถามสำคัญจึงไม่ใช่ “จะลงทุนเมื่อไหร่ดี?” แต่คือการตระหนักว่า “วันที่ดีที่สุดในการเริ่มลงทุนคือเมื่อวานนี้ และวันที่ดีที่สุดรองลงมาคือวันนี้” เพราะการเริ่มต้นลงทุนในความรู้ คือก้าวแรกที่มั่นคงที่สุดสู่อิสรภาพทางการเงินที่ยั่งยืน

ข่าวอื่น ๆ ที่น่าสนใจ

MR. D.I.Y. ปักธง 1,500 สาขา เปิดฉาก IPO ใหญ่สุดในรอบ 3 ปี

เงินเฟ้อคือการปล้น Bitcoin คือทางรอด?

The Stock Master 2025: ทำไมการ ‘เข้าใจ’ ตลาดสำคัญกว่าแค่ ‘รู้’ วิธีเทรด

STAY CONNECTED

0แฟนคลับชอบ
440ผู้ติดตามติดตาม
spot_img

Latest News

MUST READ