ทรู คอร์ปอเรชั่น สร้างปรากฏการณ์ใหม่ให้วงการโทรคมนาคม ประกาศจับมือกับธนาคารทหารไทยธนชาต (TTB) และบริษัท พันธวณิช จำกัด เปิดตัวโครงการ “Green Finance” ซึ่งนับเป็นโปรแกรมสินเชื่อสีเขียวสำหรับคู่ค้าและซัพพลายเออร์รายแรกในอุตสาหกรรมโทรคมนาคมของเอเชีย โดยมีเป้าหมายเพื่อสร้าง “ระบบนิเวศสีเขียว” (Green Ecosystem) ที่แข็งแกร่ง ผลักดันให้พันธมิตรทางธุรกิจเติบโตอย่างยั่งยืนและมุ่งสู่เป้าหมาย Net Zero ไปด้วยกัน
โครงการดังกล่าวถูกเปิดตัวในงาน “Supplier Forum 2025: Together to Net Zero” ท่ามกลางความท้าทายระดับโลกด้านการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ และทิศทางของภาครัฐที่เลื่อนเป้าหมาย Net Zero ของประเทศไทยให้เร็วขึ้นจากปี 2065 เป็น 2050 สะท้อนให้เห็นว่าการดำเนินธุรกิจโดยลำพังไม่อาจบรรลุเป้าหมายความยั่งยืนได้อีกต่อไป
ทำไม ‘Green Finance’ จึงสำคัญ?
ในฐานะ “หัวเรือใหญ่” ผู้นำทัพด้านความยั่งยืนขององค์กร ดร.เนตรชนก วิภาตะศิลปิน หัวหน้าสายงานด้านความยั่งยืนองค์กร บริษัท ทรู คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า โครงการ Green Finance นี้ไม่ได้เกิดขึ้นจากความต้องการทางธุรกิจเพียงอย่างเดียว แต่เกิดขึ้นจากความตระหนักรู้ต่อภาวะเร่งด่วนของโลก โลกกำลังเผชิญกับโจทย์ที่ยากที่สุดใน เป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน (SDGs) โดยเฉพาะเป้าหมายที่เกี่ยวกับการผลิตและบริโภคที่ยั่งยืน รวมถึงการรับมือกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ซึ่งเป็นสมรภูมิที่ทุกภาคส่วนต้องร่วมกันต่อสู้
“ทรูทำคนเดียวคงไม่มีทางที่จะประสบความสำเร็จ” คำกล่าวนี้ได้ทลายกำแพงความคิดที่ว่าความยั่งยืนเป็นเรื่องภายในองค์กร และขยายขอบเขตความรับผิดชอบออกไปสู่พันธมิตรทั้งระบบนิเวศ เธอย้ำว่าวิสัยทัศน์นี้ได้รับการบ่มเพาะมาอย่างยาวนานจากผู้นำองค์กร คุณศุภชัย เจียรวนนท์ ผู้มองการณ์ไกลและให้ความสำคัญกับการลดคาร์บอนมาตั้งแต่ทศวรรษก่อน จนตกผลึกเป็นเป้าหมายที่ชัดเจนคือ Carbon Neutral ภายในปี 2030 และ Net Zero ภายในปี 2050
อย่างไรก็ตาม ดร.เนตรชนก ชี้ให้เห็นว่ากุญแจสำคัญไม่ได้อยู่แค่การจัดการภายในองค์กร แต่อยู่ที่การบริหารจัดการคาร์บอนฟุตพริ้นท์ที่ซ่อนอยู่ ตลอดทั้งห่วงโซ่อุปทาน (Scope 3) ซึ่งเป็นพื้นที่ที่ซับซ้อนและท้าทายที่สุด โครงการ Green Finance จึงถือกำเนิดขึ้น ไม่ใช่ในฐานะคำสั่งจากบนลงล่าง แต่เป็นการตอบสนองต่อเสียงสะท้อนจากคู่ค้าโดยตรง ซึ่งผลสำรวจพบว่า กว่า 50% มีความต้องการแหล่งเงินทุนสีเขียว เพื่อร่วมเป็นส่วนหนึ่งของการเปลี่ยนแปลงนี้
ท้ายที่สุด ดร.เนตรชนก ได้สรุปว่าเป้าหมายของโครงการนี้ไปไกลกว่าแค่การลดตัวเลขการปล่อยคาร์บอน แต่คือการสร้างความเชื่อมั่นให้กับนักลงทุนและสังคม และที่สำคัญที่สุดคือการสร้างระบบนิเวศสีเขียวที่ทุกชีวิตในห่วงโซ่อุปทานสามารถเติบโตไปพร้อมกันได้อย่างแข็งแรงและยั่งยืน
กลไกขับเคลื่อน: 3 พันธมิตร 1 เป้าหมาย
ความร่วมมือครั้งนี้เป็นการผนึกกำลังจาก 3 ส่วนสำคัญที่ทำงานเชื่อมโยงกันอย่างไร้รอยต่อ ได้แก่ ทรู คอร์ปอเรชั่น ในฐานะผู้ริเริ่มโครงการ มีบทบาทในการกำหนดนโยบายและสนับสนุนคู่ค้าในซัพพลายเชน โดยเฉพาะกลุ่มผู้ติดตั้งและบำรุงรักษาโครงข่าย ซึ่งมีสัดส่วนมากที่สุดถึง 36% และเป็นกลุ่มที่ใช้พลังงานสูงที่สุด ให้สามารถเปลี่ยนผ่านสู่ธุรกิจสีเขียวได้
ฟันเฟืองชิ้นสำคัญที่ทำให้กลไก Green Finance นี้ขับเคลื่อนไปได้อย่างสมบูรณ์ คือบทบาทของ บริษัท พันธวณิช ซึ่งเปรียบเสมือนผู้สร้างกระดูกสันหลังทางดิจิทัลให้กับทั้งระบบนิเวศ
นิสากร หวั่งหลี รองผู้อำนวยการ บริษัท พันธวณิช อธิบายว่า ในอดีตการจัดซื้อจัดจ้างมักมองที่ราคาเป็นหลัก แต่ในโลกยุคใหม่ที่ความยั่งยืนกลายเป็นหัวใจสำคัญ การประเมินคู่ค้าต้องลึกซึ้งกว่านั้น พันธวณิชจึงเข้ามาทำหน้าที่เป็นสะพานเชื่อมผ่านแพลตฟอร์ม “Supplier 360” ซึ่งไม่ใช่แค่ระบบสั่งซื้อของออนไลน์ แต่เป็นเครื่องมือวิเคราะห์และประเมินคุณสมบัติของคู่ค้าในมิติที่ลึกกว่าเดิม โดยเฉพาะด้าน ESG (สิ่งแวดล้อม สังคม และธรรมาภิบาล)
แพลตฟอร์มนี้จะทำหน้าที่เปลี่ยนสิ่งที่เคยเป็นนามธรรมและจับต้องได้ยาก เช่น นโยบายการลดคาร์บอน การจัดการของเสีย หรือมาตรฐานความปลอดภัยของพนักงาน ให้กลายเป็นข้อมูลที่วัดผลได้และคะแนนที่ตรวจสอบได้
กล่าวอีกนัยหนึ่งคือ ไม่ใช่แค่การประเมินว่า “สินค้าดีหรือไม่” แต่คือการตรวจสอบไปถึงต้นทางว่า “องค์กรนั้นมีคุณธรรมและความรับผิดชอบต่อโลกเพียงใด” ข้อมูลที่โปร่งใสและเป็นมาตรฐานนี้เอง ที่จะกลายเป็น “ใบเบิกทางดิจิทัล” (Digital Passport) ที่สร้างความเชื่อมั่นให้กับสถาบันการเงินอย่าง ttb ว่าเงินทุนสีเขียวที่ปล่อยไปนั้น ได้ถูกส่งต่อไปยังผู้ประกอบการที่มีความมุ่งมั่นด้านความยั่งยืนอย่างแท้จริง ไม่ใช่เป็นเพียงการสร้างภาพลักษณ์ (Greenwashing) เท่านั้น
ในระบบนิเวศสีเขียวที่ถูกสร้างขึ้นนี้ หากทรูคือสถาปนิกผู้วางพิมพ์เขียว และพันธวณิชคือผู้สร้างโครงสร้างพื้นฐานทางดิจิทัลแล้ว ทีเอ็มบีธนชาต (ttb) ก็เปรียบเสมือน “เส้นเลือดใหญ่” ที่ทำหน้าที่สูบฉีดเงินทุนไปหล่อเลี้ยงให้ทุกส่วนของซัพพลายเชนสามารถเติบโตและเปลี่ยนผ่านไปสู่ความยั่งยืนได้จริง
เยาว์ณิชา หอมเศรษฐี หัวหน้าบริหารผลิตภัณฑ์สินเชื่อ ทีเอ็มบีธนชาต อธิบายว่า บทบาทของธนาคารในความร่วมมือครั้งนี้ ไม่ใช่เพียงการอนุมัติสินเชื่อตามขั้นตอนปกติ แต่คือการเป็นพันธมิตรเชิงกลยุทธ์ที่ออกแบบเครื่องมือทางการเงินที่ตอบโจทย์ภารกิจนี้โดยเฉพาะ โดยมีเป้าหมายเพื่อทลายกำแพงที่เคยเป็นอุปสรรคสำคัญของผู้ประกอบการ

กลไกสำคัญคือการสร้างเงื่อนไขที่เอื้อประโยชน์สูงสุด เพื่อเปลี่ยนภาระการลงทุนให้กลายเป็นโอกาสทางธุรกิจ เริ่มตั้งแต่การไม่ต้องใช้หลักทรัพย์ค้ำประกัน ซึ่งเป็นการแสดงความเชื่อมั่นในข้อมูลที่โปร่งใสจากแพลตฟอร์มของพันธวณิช และเป็นการเปิดประตูให้ผู้ประกอบการขนาดกลางและเล็กเข้าถึงแหล่งทุนได้ง่ายขึ้น พร้อมมอบ “วงเงินสูงสุดถึง 90%” เพื่อให้คู่ค้าสามารถลงทุนในเทคโนโลยีสีเขียวได้อย่างเต็มศักยภาพ โดยไม่ต้องกังวลเรื่องสภาพคล่อง
แต่หัวใจที่สร้างแรงขับเคลื่อนที่ทรงพลังที่สุด คือการมอบ “ดอกเบี้ยอัตราพิเศษ” ที่ไม่ได้เป็นเพียงส่วนลดทางการตลาด แต่เป็นเสมือน “รางวัลแห่งความสำเร็จ” ที่มอบให้กับคู่ค้าที่สามารถดำเนินงานได้ตามแผนการลดก๊าซเรือนกระจกที่วางไว้จริง สิ่งนี้ได้เปลี่ยนความสัมพันธ์ระหว่างธนาคารกับลูกค้า ให้กลายเป็นพันธมิตรที่มีเป้าหมายร่วมกัน นั่นคือยิ่งคู่ค้าทำเพื่อโลกได้ดีเท่าไหร่ ต้นทุนทางการเงินของพวกเขาก็จะยิ่งลดลงเท่านั้น
ธนาคารทหารไทยธนชาต ได้ออกแบบผลิตภัณฑ์สินเชื่อสีเขียว 4 รูปแบบเพื่อตอบโจทย์ความต้องการที่หลากหลายของคู่ค้าโดยเฉพาะ ได้แก่ Green Loan & Blue Loan สินเชื่อสำหรับโครงการพลังงานหมุนเวียน พลังงานสะอาด และการจัดการน้ำอย่างยั่งยืน Sustainability-Linked Loan สินเชื่อที่มอบ “อัตราดอกเบี้ยพิเศษ” ให้กับคู่ค้าที่สามารถทำได้ตามเป้าหมายด้านความยั่งยืนที่วางไว้ Solar EPC Financing:สินเชื่อเพื่อการติดตั้งโซลาร์เซลล์ครบวงจร และ Financial Lease for EV Cars: สินเชื่อสำหรับเปลี่ยนยานพาหนะในองค์กรเป็นรถยนต์ไฟฟ้า (EV)
เหนือกว่าตัวเลขผลกำไรคือความยั่งยืนของมนุษยชาติ
แก่นแท้ของความร่วมมือในครั้งนี้ ไม่ได้จำกัดอยู่เพียงกรอบของการดำเนินธุรกิจ แต่คือการประกาศจุดยืนที่ชัดเจนว่า เป้าหมายที่ยิ่งใหญ่กว่าผลกำไร คือความรับผิดชอบต่ออนาคตของโลกและมนุษยชาติ
หัวใจสำคัญในมิติทางสังคมที่ถูกหยิบยกขึ้นมาเป็นอันดับแรก คือคุณค่าของ “คน” ซึ่งสะท้อนผ่านนโยบาย “Straight to Safety” ที่ทรูใช้เป็นหลักการสำคัญและส่งต่อไปยังคู่ค้าทุกรายในห่วงโซ่อุปทาน นโยบายนี้ตอกย้ำว่า เบื้องหลังโครงข่ายสัญญาณที่ทันสมัย คือชีวิตและความปลอดภัยของบุคลากรทุกคนที่ต้องได้รับการดูแลสูงสุด การมุ่งสู่โลกสีเขียวและการพัฒนาทางเทคโนโลยี จะต้องไม่แลกมาด้วยการสูญเสียหรือความเสี่ยงของชีวิตใครแม้แต่คนเดียว
ในขณะเดียวกัน โครงการ Green Finance ไม่ได้ถูกมองในฐานะเครื่องมือสร้างรายได้ใหม่ในระยะสั้น หากแต่เป็นการลงทุนเชิงยุทธศาสตร์เพื่ออนาคต เป็นการสร้างเกราะป้องกันความเสี่ยงให้กับธุรกิจในระยะยาว เพราะเมื่อคู่ค้าในซัพพลายเชนมีความแข็งแกร่ง ปรับตัวต่อกฎเกณฑ์ด้านสิ่งแวดล้อมได้ และดำเนินธุรกิจอย่างยั่งยืน ก็เท่ากับว่าทรูเองก็มีความแข็งแกร่งและมั่นคงไปด้วยกัน
ผลตอบแทนที่แท้จริงจึงไม่ได้วัดค่าเป็นตัวเงินในวันนี้ แต่วัดจากความเชื่อมั่น (Confidence and Trust) จากนักลงทุน ความภักดีจากผู้บริโภคที่ใส่ใจสิ่งแวดล้อม และที่สำคัญที่สุดคือ การสร้างระบบนิเวศทางธุรกิจที่เกื้อกูลกัน ซึ่งจะทำให้องค์กรสามารถเติบโตต่อไปได้อย่างมั่นคงบนโลกที่กำลังเปลี่ยนแปลง นี่คือย่างก้าวที่พิสูจน์ให้เห็นว่า การสร้างการเติบโตทางธุรกิจ สามารถเดินควบคู่ไปกับการดูแลโลกและผู้คนได้อย่างเป็นเนื้อเดียวกัน เพื่อส่งต่ออนาคตที่ยั่งยืนให้กับคนรุ่นต่อไปอย่างแท้จริง
ข่าวอื่น ๆ ที่น่าสนใจ
DHL ทุ่ม 1.39 พันล้านบาท เปิดตัว ‘คลังสินค้าพลังงานหมุนเวียน 100%’