ในโลกการทำงานและการเรียนของคนไทยที่เกือบทุกกิจกรรมขับเคลื่อนผ่านแอปพลิเคชันไลน์ (LINE) ปัญหาที่กลายเป็นเรื่องสามัญประจำบ้านจนหลายคนถอดใจ คือข้อความแจ้งเตือนว่า “ไฟล์หมดอายุ” หรือการต้องเลื่อนหน้าจอโทรศัพท์อย่างไม่รู้จบเพื่อค้นหาเอกสารสำคัญในกลุ่มสนทนาที่คุยกันสัพเพเหระ ปัญหานี้ดูเหมือนเป็นเพียงความไม่สะดวกเล็กน้อย แต่สำหรับ สิทธิพล คำดา (ไฟลท์) และ รชตะ ประทีป ณ ถลาง (กาย) สองนักศึกษาชั้นปีที่ 4 จากสาขาวิศวกรรมหุ่นยนต์และปัญญาประดิษฐ์ สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง (KMITL) นี่คือโจทย์ที่ท้าทายและนำไปสู่การพัฒนานวัตกรรมที่ชื่อว่า “Find Dee” (ฟายด์ดี) จนสามารถคว้ารางวัลชนะเลิศในหมวดนักเรียนนักศึกษา (Student) จากเวที LINE HACK 2025 มาครองได้สำเร็จ
จากปัญหาหน้างาน (Pain Point) สู่การตีโจทย์พฤติกรรมผู้ใช้

จุดเริ่มต้นของไอเดียนี้ไม่ได้เกิดจากความต้องการทำธุรกิจที่ซับซ้อน แต่มาจากความเจ็บปวดจริงของผู้ใช้งาน (Real Pain Point) ในฐานะนักศึกษา นายสิทธิพลและนายรชตะพบว่าการส่งไฟล์เลคเชอร์ (Lecture) ในกลุ่มไลน์เพื่อนมักเจอปัญหาซ้ำซาก ทั้งไฟล์ที่เปิดไม่ได้เมื่อเวลาผ่านไป หรือการตั้งชื่อไฟล์ของเพื่อนที่ใช้อารมณ์ศิลปินจนไม่สื่อความหมาย ทำให้เมื่อถึงเวลาใกล้สอบ การกลับมาค้นหาเอกสารทบทวนกลายเป็นภารกิจที่ยากลำบาก
ในตอนแรก พวกเขาคิดจะแก้ปัญหานี้ด้วยการสร้างแพลตฟอร์มสำหรับการศึกษาโดยเฉพาะ แต่เมื่อได้วิเคราะห์พฤติกรรมผู้ใช้งานจริง พวกเขาพบสัจธรรมข้อหนึ่งของคนไทย นั่นคือ “ความไม่ชอบเปลี่ยนแปลง” (User Habit) หากต้องให้ผู้ใช้งานไปดาวน์โหลดแอปพลิเคชันใหม่ หรือต้องไปสมัครบัญชีผู้ใช้ (Create Account) เพิ่มเติม โอกาสที่คนจะใช้งานจะลดน้อยลงทันที ข้อมูลสถิติจากร้านค้าแอปพลิเคชัน (App Store) ยืนยันเรื่องนี้ได้ดี เพราะแอปพลิเคชันที่มียอดดาวน์โหลดสูงสุดมักเป็นกลุ่มธนาคารหรือโซเชียลมีเดียหลัก แทบไม่มีที่ว่างสำหรับแอปพลิเคชันใหม่ ๆ ของคนไทย แนวคิดนี้จึงถูกตกผลึกใหม่ กลายเป็นการพัฒนาโซลูชันบน LINE Mini App ที่เปรียบเสมือนการฝังแอปพลิเคชันลงไปใน LINE ทำให้ผู้ใช้ไม่ต้องติดตั้งอะไรเพิ่ม และใช้บัญชี LINE เดิมที่มีอยู่แล้วในการเข้าถึงบริการได้ทันที ตอบโจทย์เรื่องความง่ายและความคุ้นเคยอย่างตรงจุด
กลยุทธ์ “ขุนทอง” และจิตวิทยาการตั้งชื่อ
ความละเอียดอ่อนของทีม Find Dee ไม่ได้มีแค่เรื่องเทคนิค แต่รวมถึงวิธีคิดเรื่องการสร้างแบรนด์ (Branding) ที่น่าสนใจ โดยนายสิทธิพลเล่าว่าได้รับแรงบันดาลใจในการตั้งชื่อมาจาก “ขุนทอง” (Chatbot เหรัญญิกชื่อดังใน LINE) โดยเขาวิเคราะห์ว่า ชื่อที่ดีต้องพิมพ์ง่าย พิมพ์ได้โดยไม่ต้องกดปุ่มยกแคร่ (Shift) เพื่อเปลี่ยนภาษาหรือตัวอักษร เป็นคำสองพยางค์ที่ติดหู และสื่อความหมายชัดเจน เขาจึงพยายามหาชื่อสัตว์ที่มีนิสัยชอบเก็บของ จนมาลงตัวที่ “กระรอก” ซึ่งเป็นสัตว์ที่ชอบเก็บสะสมอาหาร และผันเสียงจนได้คำว่า “Find Dee” ที่สื่อถึงการ “หาได้ดี” หรือการค้นหาไฟล์ได้อย่างมีประสิทธิภาพ และมีมาสคอตเป็นน้องกระรอกที่สื่อถึงบุคลิกของบริการ
เมื่อ AI รับบทบรรณารักษ์: เบื้องหลังเทคโนโลยีที่มากกว่าการเก็บไฟล์
หัวใจสำคัญที่ทำให้ Find Dee เอาชนะใจกรรมการได้ คือการนำเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (AI) มาผสานกับส่วนต่อประสานโปรแกรมประยุกต์สำหรับการส่งข้อความ (Messaging API) ของ LINE ได้อย่างชาญฉลาด กระบวนการทำงานเริ่มจากการที่ผู้ใช้เชิญ Find Dee เข้าไปในกลุ่มไลน์ เมื่อมีการส่งไฟล์เข้ามา ไม่ว่าจะเป็นไฟล์รูปภาพหรือ PDF ระบบจะขออนุญาตผู้ใช้เพื่อส่งไฟล์นั้นไปให้ AI (ซึ่งเบื้องหลังเลือกใช้โมเดล Gemini ของ Google) ทำการประมวลผล
ความสามารถที่โดดเด่นคือฟีเจอร์ การตั้งชื่ออัตโนมัติ (Auto-renaming) และการสรุปความ (Summarization) AI จะอ่านเนื้อหาภายในไฟล์แล้วทำการ “ตั้งชื่อไฟล์ใหม่” ให้สื่อความหมายโดยอัตโนมัติ พร้อมทั้งสรุปสาระสำคัญของไฟล์นั้น ๆ และติดแท็ก (Tag) ให้เสร็จสรรพ ตัวอย่างที่ทีมนำเสนอในวันแข่งขันคือ การอัปโหลดไฟล์ที่ชื่อไม่มีความหมาย แต่เนื้อหาข้างในเป็นข้อสอบภาษาอังกฤษ ระบบสามารถระบุได้ทันทีว่าเป็นไฟล์เกี่ยวกับการเตรียมสอบ และเมื่อผู้ใช้ต้องการค้นหา ก็สามารถพิมพ์ค้นหาด้วย “ภาษาธรรมชาติ” (Natural Language) เช่น พิมพ์คำว่า “เตรียมสอบ IELTS” ลงในช่องค้นหา ระบบ AI จะไปดึงไฟล์ที่เกี่ยวข้องขึ้นมาให้ แม้ว่าชื่อไฟล์เดิมจะไม่มีคำว่า IELTS ก็ตาม
นอกจากนี้ ยังมีฟีเจอร์ คอลเลกชัน (Collection) ที่ให้ผู้ใช้จัดหมวดหมู่ไฟล์และกดแชร์เป็นลิงก์ส่งต่อให้เพื่อนในกลุ่มอื่นได้ โดยผู้รับไม่จำเป็นต้องเป็นสมาชิกรายเดือน (Subscribe) ของ Find Dee ก็สามารถเปิดดูไฟล์ในคอลเลกชันนั้นได้ ช่วยแก้ปัญหาการส่งต่อข้อมูลที่กระจัดกระจายได้อย่างมีประสิทธิภาพ
วิศวกรหุ่นยนต์ผู้บริหารต้นทุนด้วยโครงสร้างข้อมูล (Data Structure)
ความน่าสนใจอีกประการของทีมนี้ คือ พื้นฐานของทั้ง คุณสิทธิพล และ คุณรชตะ ไม่ได้มาจากสายนักพัฒนาซอฟต์แวร์ (Developer) โดยตรง แต่เป็นนักศึกษาสายวิศวกรรมหุ่นยนต์ (Robotics) ที่คุ้นเคยกับฮาร์ดแวร์มากกว่า พวกเขาเล่าว่าอุปสรรคสำคัญในช่วงแรกคือการขาดทักษะด้านการพัฒนาส่วนหน้า (Front-end) และส่วนหลัง (Back-end) การจัดหน้าจอส่วนติดต่อผู้ใช้ (UI) ให้แสดงผลได้ดีบนมือถือ หรือการจัดการฐานข้อมูล เป็นเรื่องที่พวกเขาต้องเรียนรู้ใหม่ทั้งหมดในระยะเวลาอันสั้นระหว่างการแข่งขัน
แต่ในวิกฤติก็มีโอกาส ความเป็นวิศวกรหุ่นยนต์ทำให้พวกเขามีจุดแข็งเรื่องตรรกะและโครงสร้างข้อมูล (Data Structure) ที่ลึกซึ้ง ทีม Find Dee ตระหนักดีว่าการเรียกใช้ AI (API Call) ทุกครั้งมี “ต้นทุน” โดยเฉพาะค่าบริการที่คิดตามจำนวนข้อมูลนำเข้า (Input) และข้อมูลส่งออก (Output) หากออกแบบระบบไม่ดี ค่าใช้จ่ายจะบานปลายมหาศาล พวกเขาจึงออกแบบระบบให้ AI ทำงานหนักเพียงครั้งเดียวในตอนแรกที่รับไฟล์มา เพื่อสร้างดัชนี (Index) ข้อมูลเก็บไว้ เมื่อมีการค้นหาในครั้งถัดไป ระบบจะค้นหาจากดัชนีที่ทำไว้แล้วแทนที่จะให้ AI ไปอ่านไฟล์ใหม่ทั้งหมด วิธีการนี้เรียกว่า การปรับปรุงต้นทุน (Cost Optimization) หรือการบริหารต้นทุนอย่างมีประสิทธิภาพ ซึ่งเป็นวิธีคิดแบบวิศวกรที่มองเห็นความเป็นไปได้ทางธุรกิจจริง ไม่ใช่แค่การทำโปรเจกต์ในฝัน
เส้นทางของเด็กวิทย์สู่เวทีระดับประเทศ
ความสำเร็จของ Find Dee ไม่ได้เกิดขึ้นชั่วข้ามคืน ทั้งสองคนมีความสนใจด้านเทคโนโลยีอย่างเข้มข้นมาตั้งแต่ระดับมัธยมศึกษา โดย คุณสิทธิพล จบการศึกษาจากโรงเรียนปรินส์รอยแยลส์วิทยาลัย จ.เชียงใหม่ เคยเรียนในห้องเรียนพิเศษด้านคอมพิวเตอร์ (Gifted Computer) และเริ่มศึกษา AI อย่างจริงจังมาตั้งแต่ปี 2017 ซึ่งเป็นยุคก่อนที่ ChatGPT จะถือกำเนิด สมัยนั้นยังเป็นยุคของการทำเรื่องการประมวลผลภาพ (Image Processing) และ XGBoost
ส่วน คุณรชตะ จบการศึกษาจากโรงเรียนยุพราชวิทยาลัย จ.เชียงใหม่ ในห้องเรียนโครงการพัฒนาและส่งเสริมผู้มีความสามารถพิเศษทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี (พสวท.) และสนใจคณิตศาสตร์รวมถึงการตรวจจับภาพ (Image Detection) มาตั้งแต่ชั้น ม.4 เช่นกัน ทั้งคู่มาเจอกันที่สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง และผ่านสนามการแข่งขันแฮกกาธอน (Hackathon) มาแล้วหลายเวที ทั้งของ SCB, Mitr Phol และ Nectec ซึ่งประสบการณ์เหล่านั้นหล่อหลอมให้พวกเขามีทักษะในการแก้ปัญหาภายใต้ความกดดันได้อย่างดีเยี่ยม
LINE HACK 2025: หมุดหมายใหม่ที่เน้นคำว่า “ผลกระทบเชิงบวก” (Impact)
ในภาพใหญ่ของงาน LINE HACK ปีที่ 6 นี้ วีระ เกษตรสิน รองประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายเทคโนโลยี LINE ประเทศไทยได้สะท้อนให้เห็นถึงวิวัฒนาการของงานว่า จากจุดเริ่มต้นในปี 2016 ที่เน้นการเฟ้นหาโปรแกรมเมอร์เข้าทำงาน มาสู่ยุคของการหาไอเดียธุรกิจ และในปีนี้ โจทย์ได้เปลี่ยนไปสู่คำว่า “ผลกระทบเชิงบวก” (Impact) อย่างเต็มตัว
LINE HACK ปีนี้มาในธีมการผสานพลังระหว่าง LINE Mini App และ AI เพื่อตอบรับพฤติกรรมผู้บริโภคยุคใหม่ที่เชื่อถือข้อมูลจาก AI มากขึ้น และต้องการความรวดเร็วในการเข้าถึงบริการ การแข่งขันเปิดกว้างให้ผู้เข้าร่วมกว่า 137 ทีม ได้เลือกแก้ปัญหาในอุตสาหกรรมที่ตนเองสนใจ ไม่ว่าจะเป็นการศึกษา, สุขภาพ หรือวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (SME) โดยไม่มีกรอบบังคับที่ตายตัว
สำหรับทีมผู้ชนะอย่าง Find Dee นอกจากเงินรางวัล 100,000 บาท สิ่งที่พวกเขาจะได้รับคือโอกาสในการต่อยอดผลงานผ่านโครงการ LINE Scale Up และการเชื่อมต่อกับพันธมิตรทางธุรกิจ เพื่อผลักดันให้นวัตกรรมนี้เกิดขึ้นจริงในวงกว้าง เพราะเป้าหมายสูงสุดของ LINE ไม่ใช่แค่การแจกรางวัล แต่คือการสร้างระบบนิเวศ (Ecosystem) ที่แข็งแกร่งให้นักพัฒนาไทยได้มีพื้นที่แสดงศักยภาพ และสร้างบริการที่ยกระดับคุณภาพชีวิตของคนไทยได้อย่างแท้จริง เหมือนกับที่ Find Dee กำลังพยายามเปลี่ยนเรื่องน่าปวดหัวในการจัดการไฟล์ ให้กลายเป็นเรื่องง่ายเพียงปลายนิ้วสัมผัส
ข่าวอื่น ๆ ที่น่าสนใจ
LINE ปลดล็อก Mini App สู่สาธารณะ ส่ง API ใหม่ พร้อมจัด HACKATHON 2025
10 องค์กรรัฐ-เอกชนเปิดผลงานเด่น คว้ารางวัล ASOCIO Awards 2025



