TH | EN
TH | EN
หน้าแรกTechnologyเทเลนอร์ เผย 5 เทรนด์สำคัญ ที่ผู้คนใช้เวลากับมือถือพุ่งสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง

เทเลนอร์ เผย 5 เทรนด์สำคัญ ที่ผู้คนใช้เวลากับมือถือพุ่งสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง

เทเลนอร์ เอเชีย เผยผลการศึกษา “Digital Lives Decoded” พบผู้คนทั่วเอเชียเชื่อว่า พลังของการเชื่อมต่อจากมือถือช่วยสร้างโอกาสทางเศรษฐกิจมากขึ้น เพิ่มความสะดวกสบายในชีวิตประจำวัน และสามารถเข้าถึงบริการที่จำเป็นมากขึ้น

ในวาระครบรอบ 25 ปี เทเลนอร์ในเอเชียได้ทำการวิจัย โดยสำรวจผู้ใช้อินเทอร์เน็ตบนมือถือกว่า 8,000 รายใน 8 ประเทศ (บังกลาเทศ อินโดนีเซีย มาเลเซีย ปากีสถาน ฟิลิปปินส์ สิงคโปร์ ไทย เวียดนาม) ในเอเชียใต้และเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ การสำรวจเผยให้เห็นถึงความตระหนักในประโยชน์ของชีวิต ซึ่งการเชื่อมต่อมือถือช่วยเสริมสร้างความสัมพันธ์และมอบความสะดวกสบาย และทำให้ผู้คนมีส่วนร่วมในเศรษฐกิจดิจิทัลได้ง่ายขึ้น

ผลสำรวจของประเทศไทย

  • คนไทยรู้สึกว่าโทรศัพท์มือถือช่วยให้มีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ (68%) เมื่อเทียบกับค่าเฉลี่ย 58% สำหรับทุกตลาดที่ทำแบบสำรวจ
  • คนไทยมีความกังวลน้อยที่สุดในเรื่องปัญหาความเป็นส่วนตัวและความปลอดภัยที่เกี่ยวข้องกับการใช้งานมือถือ (27%) เมื่อเทียบกับค่าเฉลี่ยที่ 58%
  • คนไทยยังแสดงความมั่นใจสูงสุดเมื่อเทียบกับผู้ตอบแบบสำรวจในประเทศอื่นๆ ว่าจะสามารถก้าวทันการเปลี่ยนแปลงทางเทคโนโลยีในอนาคต โดยมีเพียง 63% ที่มีความกังวลในด้านนี้ เมื่อเทียบกับค่าเฉลี่ยที่ 85%
  • คนไทยเห็นประโยชน์และมีแนวโน้มที่จะใช้งานมือถือเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญในช่วง 1-2 ปีข้างหน้า (49%) เมื่อเทียบกับค่าเฉลี่ยโดยรวมที่37%
  • มากกว่าครึ่งของคนเมือง (55%) คาดว่าจะใช้งานมือถือเพิ่มขึ้นในช่วงเวลานี้ (55%) เทียบกับค่าเฉลี่ย 41% ของคนที่อาศัยอยู่นอกเมือง

ผู้ตอบแบบสำรวจ 93% เชื่อว่าการใช้งานโทรศัพท์มือถือช่วยให้มีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น โดยรวมแล้ว ผู้หญิงเป็นผู้นำเทรนด์นี้ โดย 63% กล่าวว่าคุณภาพชีวิตดีขึ้นอย่างมากเมื่อเทียบกับผู้ใช้งานเพศชายที่ 52% แนวโน้มนี้ชัดเจนที่สุดในประเทศไทย (75%) และอินโดนีเซีย (71%) ซึ่งมีจำนวนผู้ใช้งานเพศหญิงที่เชื่อมต่อกับ “ชีวิตที่ดีขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ” ผ่านโทรศัพท์มือถือเป็นจำนวนสูงที่สุด

เยอเก้น โรสทริป หัวเรือใหญ่ แห่งเทเลนอร์เอเชีย กล่าวว่า หลายครั้งที่มีการรายงานว่าอุปกรณ์พกพา ทำให้ผู้ใช้เสียสมาธิจากคนรอบข้าง และสร้างความเสียหายต่อความสัมพันธ์และทักษะการสื่อสารระหว่างบุคคล อย่างไรก็ตาม ความคิดเช่นนี้ได้หมดไป เมื่อเทียบกับก่อนเกิดการระบาดใหญ่ ยอดการใช้งานดาต้าบนมือถือฃเพิ่มสูงขึ้นกว่าเท่าตัวในตลาดเอเชีย และได้เปลี่ยนวิธีการสื่อสารของเราทั้งในที่ทำงานและที่บ้าน แบบสำรวจนี้ยังชี้ให้เห็นด้วยว่า ผู้คนต้องการให้การเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นกับการใช้งานดิจิทัลและชีวิตประจำวันของพวกเขาคงอยู่ต่อไป และแม้จะมีการผ่อนคลายมาตรการต่าง ๆ ด้านการเดินทางและการปฏิสัมพันธ์ทางสังคมแล้ว แต่การใช้งานดิจิทัลนั้นยังคงอยู่ในระดับสูง

“การเชื่อมต่อทำให้อำนาจอยู่ในมือของผู้คน การศึกษานี้ยังเผยให้เห็นว่าช่องว่างทางดิจิทัลยังคงมีอยู่ โดยเฉพาะอย่างยิ่งประชากรในชนบทและผู้สูงอายุ เมื่อการเชื่อมต่อทางมือถือเปลี่ยนสถานะจากสิ่งที่ “ควร” มี ไปเป็นสิ่งที่ “ต้อง” มี การทำความเข้าใจช่องว่างเหล่านี้จึงมีความสำคัญมากขึ้น ทั้งในระดับผู้กำหนดนโยบาย องค์กรธุรกิจ และปัจเจกบุคคล ข้อมูลเชิงลึกจากการศึกษานี้ทำหน้าที่เป็นเสมือนแผนที่ที่ชี้ให้เห็นว่า ช่องว่างทางดิจิทัลในจุดใดบ้างที่ควรได้รับการเติมเต็มมากที่สุด” 

และต่อไปนี้คือ 5 เทรนด์สำคัญ ที่ผู้คนใช้เวลากับมือถือพุ่งสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง

ผู้ตอบแบบสำรวจเกือบทั้งหมด พกโทรศัพท์มือถือติดตัวเป็นเวลาอย่างน้อยครึ่งวัน และ 1 ใน 5 พกโทรศัพท์ติดตัวตลอดเวลา อย่างไรก็ตาม ผู้ตอบแบบสำรวจส่วนใหญ่รู้สึกว่าตนเองสามารถใช้เทคโนโลยีได้อย่างสมดุล (76%) ผู้คนในฟิลิปปินส์และไทยมีชีวิตที่พึ่งพาอยู่กับโทรศัพท์มือถือมากที่สุด โดย 29% และ 26% ตามลำดับกล่าวว่าพวกเขาพกโทรศัพท์มือถือติดตัวตลอดเวลา

การใช้ชีวิตที่พึ่งพาโทรศัพท์มือถือนี้คาดว่าจะเติบโตขึ้น โดยเกือบ 3 ใน 4 ของผู้ตอบแบบสอบถาม (74%) คาดว่าการใช้งานมือถือของพวกเขาจะเพิ่มขึ้นในอีกไม่กี่ปีข้างหน้า ซึ่งแนวโน้มดังกล่าวนั้นสูงที่สุดในกลุ่มผู้ตอบแบบสอบถามในประเทศไทย (82%)

ความแตกต่างระหว่างวัยเกี่ยวกับความรู้สึกของผู้คน ต่อการใช้เวลาบนโลกออนไลน์ที่เพิ่มขึ้นนั้นชัดเจน โดยคน Gen Z ซึ่งเป็นกลุ่มผู้ตอบแบบสำรวจที่อายุน้อยที่สุด มีแนวโน้มที่จะรู้สึกว่าพวกเขากำลังใช้เทคโนโลยีมากเกินไป

ผู้ตอบแบบสำรวจ Gen Z ยังมีความกังวลมากที่สุดเกี่ยวกับการมีทักษะที่เหมาะสมในการก้าวให้ทันเทคโนโลยี เช่นเดียวกับคนวัยมิลเลนเนียล นี่เป็นข้อกังวลที่เกิดขึ้นร่วมกันในทุกวัย โดย 85% ของผู้ตอบแบบสอบถามกังวลว่าทักษะด้านดิจิทัลของพวกเขาจะก้าวไม่ทันกับสภาพแวดล้อมทางดิจิทัลที่พัฒนาอย่างรวดเร็ว ซึ่งในบรรดาประเทศที่ทำการสำรวจ ประเทศไทยนั้นมีความกังวลในเรื่องนี้น้อยที่สุด (63% ของผู้ตอบแบบสอบถาม)

ผู้ตอบแบบสอบถามกว่า 93% จากทั่วภูมิภาค มีความกังวลเกี่ยวกับความเป็นส่วนตัวและความปลอดภัยจากการใช้งานมือถือและอุปกรณ์เคลื่อนที่ ท่ามกลางอัตราการใช้งานดิจิทัลที่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว ในบรรดาผู้ที่ลดการใช้มือถือลงในปีที่ผ่านมา 1 ใน 3 ของผู้ตอบแบบสอบถามชาว Gen Z ในมาเลเซียกล่าวว่าความกังวลเรื่องความเป็นส่วนตัวและความปลอดภัยเป็นสาเหตุอันดับต้น ๆ ที่ทำให้พวกเขาใช้งานมือถือลดลง

ในทางกลับกัน คนในประเทศไทยนั้นมีความกังวลน้อยที่สุด โดยเกือบ 1 ใน 4 ของผู้ตอบแบบสอบถาม (27%) ไม่มีความกังวลเกี่ยวกับเรื่องนี้เลย

การศึกษายังเผยให้เห็นถึงมุมมองเชิงบวกเกี่ยวกับศักยภาพของเทคโนโลยีมือถือ ในการพัฒนาความยั่งยืนด้านสิ่งแวดล้อม

3 ใน 4 ของผู้ตอบแบบสำรวจเชื่อว่าการเข้าถึงดิจิทัลนั้น “สำคัญมาก” สำหรับพวกเขาในการดำเนินชีวิตที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมในอนาคต อย่างไรก็ตาม ตัวเลขของในประเทศไทยนั้นอยู่ในระดับต่ำที่สุด (63%) มาเลเซีย (57%) และสิงคโปร์ (41%)

ทั้งนี้ ผู้ตอบแบบสอบถามกล่าวว่าการใช้งานเทคโนโลยีมือถือก่อให้เกิดประโยชน์สูงสุดในด้านการลดการใช้กระดาษ ขยะ และไฟฟ้า (70% ของผู้ตอบแบบสอบถาม) สามารถสื่อสารได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น (67%) และช่วยให้เข้าถึงระบบขนส่งสาธารณะได้ดีขึ้นด้วยข้อมูลที่มากขึ้น (55%)

การศึกษายังชี้ว่า ผู้หญิงเห็นศักยภาพในการใช้มือถือมากขึ้น โดยผู้ตอบแบบสอบถามเพศหญิงกล่าวว่า การเชื่อมต่อผ่านมือถือได้เพิ่มทางเลือกในการทำงานและสร้างรายได้ และทำให้เข้าถึงข้อมูลและโอกาสทางการศึกษาได้ดียิ่งขึ้น ซึ่งเป็นสัดส่วนที่สูงกว่าผู้ตอบแบบสอบถามเพศชาย โดยเฉพาะอย่างยิ่งในประเทศไทย โดยที่ผู้หญิง 3 ใน 4 (75%) กล่าวว่าการใช้มือถือทำให้ชีวิตดีขึ้น เมื่อเทียบกับผู้ชายที่ครึ่งหนึ่ง (49%)

ผู้ตอบแบบสอบถามยังตระหนักด้วยว่า การเชื่อมต่อมือถือเป็นตัวช่วยสร้างความเท่าเทียม ทำให้ผู้คนสามารถเข้าถึงบริการที่จำเป็นได้มากขึ้น ซึ่งช่วยยกระดับชีวิตประจำวันของพวกเขา เช่น การศึกษา (88%) และบริการด้านสุขภาพ (88%)

อย่างไรก็ตาม บริการทางการเงินเป็นจุดที่โทรศัพท์มือถือนั้นช่วยสร้างความเท่าเทียมอย่างมีนัยสำคัญ

โดย 92% ของผู้ตอบแบบสอบถามกล่าวว่าการมีอุปกรณ์มือถือช่วยเพิ่มการเข้าถึงบริการทางการเงิน ในขณะที่มากกว่าครึ่งหนึ่ง (57%) เชื่อว่าการเข้าถึงบริการทางการเงินพวกเขานั้น “ดีขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ” อย่างไรก็ดี ผลสำรวจในข้อนี้ชี้ให้เห็นความแตกต่างด้านมุมมองในการเข้าถึงระหว่างผู้ที่อาศัยอยู่ในเมือง (60%) และพื้นที่ชนบท (50%) ซึ่งตอกย้ำถึงความจำเป็นอย่างต่อเนื่องในการขยายการเข้าถึงบริการเหล่านี้ไปยังผู้ที่อาศัยอยู่นอกเขตเมือง

“เนื่องจากการเชื่อมต่อผ่านมือถือกลายเป็นปัจจัยพื้นฐานในชีวิตประจำวันของเรา การขาดทักษะและความตระหนักรู้ที่เหมาะสม รวมถึงปัญหาด้านความปลอดภัยและความเป็นส่วนตัว หรือการอยู่นอกเครือข่ายการใช้งาน อาจจำกัดการเข้าถึงการศึกษา การดูแลสุขภาพ เศรษฐกิจ และโอกาสในการจ้างงานอย่างรุนแรง ความจำเป็นในการทำความเข้าใจช่องว่างทางดิจิทัลและการลดช่องว่างดังกล่าวนั้นมีความสำคัญมากขึ้น ในยามที่เราทำงานร่วมกันเพื่อสร้างอนาคตที่การเชื่อมต่อผ่านมือถือจะเสริมสร้างศักยภาพและความยั่งยืนสำหรับทุกคน” เยอเก้น กล่าว

ข่าวอื่น ๆ ที่น่าสนใจ

เอสซีจี จับมือ ศุภาลัย ผลักดันนวัตกรรมที่อยู่อาศัยสีเขียว ในกว่า 100 โครงการทั่วประเทศ

ทีดี ตะวันแดง ใช้ GOOGLE CLOUD ยกระดับร้านค้าโชห่วยไทย

กสิกรไทย จับมือ AIS เชื่อมคะแนนสะสม K POINT บนแอป MYAIS

STAY CONNECTED

0แฟนคลับชอบ
440ผู้ติดตามติดตาม
spot_img

Lastest News

MUST READ