ปกติจะไม่ค่อยเขียนถึงเรื่องใดเรื่องหนึ่งซ้ำ ก่อนหน้านี้ก็เพิ่งเขียนถึงโครงการ “คนละครึ่ง” ไปไม่นาน แต่ก็อดไม่ได้ที่จะวกกลับมาเขียนถึงอีกครั้ง ด้วยความแรงจนกลายเป็น “ทอล์กออฟเดอะทาวน์” เป็นหน้าเป็นตา อีกทั้งยังช่วยให้คะแนนนิยม “รัฐบาลลุงตู่” ดีวันดีคืนใคร ๆ ก็ชื่นชม
- WWF ชี้ ธนาคารในกลุ่มอาเซียน ญี่ปุ่น และเกาหลีใต้ ต้องเร่งดำเนินธุรกิจอย่างยั่งยืนตามหลัก ESG
- โมเดลลดโลกร้อนด้วย 5G กับ SDG Lab by Thammasat & AIS ศูนย์ปฏิบัติการเพื่อความยั่งยืนแห่งแรกในเอเชีย
ไม่ว่าจะไปจังหวัดไหนก็มีแต่คนเรียกร้องอยากจะให้ต่ออายุ เห็นว่าเป็นมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจที่ได้ผลตรงเป้ามากกว่าโครงการอื่น ๆ ที่ผ่าน ๆ มาเม็ดเงินกระจายลงไปยังประชาชนทั่วไปได้อย่างทั่วถึง “แม่ค้า หาบเร่ แผงลอย” ต่างได้รับอานิสงส์กันถ้วนหน้า
หาก “กองทุนหมู่บ้าน” เป็นโครงการประชานิยมที่สร้างคะแนนนิยมให้กับ “รัฐบาลทักษิณ” ก็ต้องบอกว่า “โครงการคนละครึ่ง” ก็เป็นประชานิยมโบว์แดงของรัฐบาล “ลุงตู่” เช่นกัน จนคนถามถึงและอยากรู้ว่าใครอยู่เบื้องหลังความสำเร็จนี้
ก่อนหน้านี้ก็มีนักธุรกิจที่คุลุกคลีกับการเมืองแอบกระซิบว่า “ลุงตู่” เป็นคนคิดโครงการนี้ แต่ก็ไม่ค่อยอยากจะเชื่อเท่าไร กระทั่ง “คุณสุพัฒน์พงษ์ พันธ์มีเชาว์” รองนายกรัฐมนตรีด้านเศรษฐกิจและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงานชี้แจงว่า
โครงการคนละครึ่ง เป็นดำริของท่านนายกฯ (พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา) แต่แรกเริ่ม ให้ช่วยเหลือเยียวยาประชาชนที่อาจได้รับผลกระทบเรื่องรายได้จากสถานการณ์โควิด-19 ในลักษณะ Co-pay หรือร่วมจ่าย
เช่น คนที่เคยมีเงินเดือน 10,000-20,000 บาท ซึ่งอาจถูกลดเงินเดือนหรือชั่วโมงทำงาน รัฐบาลจะช่วยออกค่าใช้จ่ายประจำวันให้ครึ่งหนึ่ง แต่ไม่เกิน 150 บาทต่อวัน ตัวเลข 150 บาทนี้ มาจากค่าแรงขั้นต่ำวันละ 300 บาท ครึ่งหนึ่งคือ 150 บาท”
“ท่านนายกฯ ยังสั่งการให้ช่วยเหลือพ่อค้า แม่ค้า รถเข็น แผงลอย หาบเร่ ผู้ประกอบอาชีพอิสระ ค้าขายหาเช้ากินค่ำ ให้ได้มีลูกค้า ได้เกิดการจับจ่ายใช้สอย รวมทั้งกระตุ้นการบริโภคให้เกิดเศรษฐกิจหมุนเวียน”
“โครงการคนละครึ่ง เหมือนยิงกระสุนนัดเดียวได้นก 3 ตัว คือ ได้ช่วยแบ่งเบาภาระค่าครองชีพของประชาชน 10 ล้านคน ตอนนี้จะขยายเป็น 15 ล้านคน, ได้ช่วยพ่อค้า-แม่ค้ารายย่อย ร้านค้าเล็ก ๆ 540,000 กว่ารายที่เข้าร่วมโครงการแล้ว และที่กำลังรอการตรวจสอบอีก เกือบ 160,000 ราย นอกจากนี้ ยังช่วยให้มีเม็ดเงินกระจายลงไปสู่ระดับฐานรากของเศรษฐกิจมากกว่า 3 หมื่นล้านบาท ในช่วงเดือนตุลาคมและพฤศจิกายนที่ผ่านมาด้วย”
ส่วนคนที่อยู่เบื้องหลังความสำเร็จในฐานะมือทำงานลงรายละเอียด โครงการ “คนละครึ่ง” ก็ล้วนอยู่ในเครือข่าย “วิศวะ จุฬาฯ คอนเนกชั่น” ที่เป็นรองนายกรัฐมนตรีด้านเศรษฐกิจ อย่าง นายสุพัฒนพงษ์ พันธ์มีเชาว์ ผู้ควบตำแหน่ง รมว.พลังงาน
อีก 3 คนที่ต้องให้เครดิต ประกอบด้วย นายปิติ ตัณฑเกษม ประธานเจ้าหน้าที่บริหารธนาคารทหารไทย หรือ “TMB” ซึ่งปัจจุบันอยู่ในคณะที่ปรึกษาเศรษฐกิจของนายกรัฐมนตรี ศิษย์เก่าคณะวิศวกรรมศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และ “นายสมคิด จิรานันตรัตน์” ที่ปรึกษากรรมการผู้จัดการใหญ่ ธนาคารกรุงไทย ผู้อยู่เบื้องหลังแพลตฟอร์มระดับชาติ อย่างโครงการ “เราไม่ทิ้งกัน” “ชิม ช้อป ใช้” และแพลตฟอร์ม “ไทยชนะ”
ส่วนเสนาธิการฝ่ายเศรษฐกิจ คือ “นายดนุชา พิชยนันท์” เลขาธิการสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) ก็เป็นชาว “วิศวะ จุฬาฯ” ทำหน้าที่ต่อยอดนำนโยบายไปสู่การปฏิบัติ และคิดคำนวณวงเงินงบประมาณของรัฐบาล
แต่ละคนล้วนเป็นมือเศรษฐกิจ “ระดับซื้อแป๋เรียกอาจารย์” ส่วน ”คีย์ซัคเซส” ของโครงการคนละครึ่งมี 2 ปัจจัยหลัก ๆ คือ
- เรื่องของ “เทคโนโลยี” ต้องบอกว่าโครงการคนละครึ่งมาในช่วงที่เทคโนโลยีเป็นเรื่องปกติในชีวิตประจำวัน ไม่ว่าจะยากดีมีจนในกรุงเทพฯ หรือต่างจังหวัด ทุกคนเข้าถึงเทคโนโลยีได้ง่ายเหมือน ๆ กัน ทำให้โครงการนี้เกิดได้ไม่ยาก
- โครงการ “คนละครึ่ง” เปลี่ยนวิธีคิดต่างจากโครงการอื่น ๆ ที่ถูกมองว่าเอื้อประโยชน์ให้กับนายทุน มา เป็นการ “ยิงตรง” ไปยังผู้ประกอบการรายเล็กรายน้อยในชุมชนในท้องถิ่น จึงไปช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจระดับรากหญ้าได้โดยตรง
อย่างไรก็ตาม โครงการนี้ใช้แก้ปัญหาเฉพาะหน้าช่วงสั้น ๆ เพื่อให้เศรษฐกิจไม่หยุดชะงักและเดินหน้าต่อได้เท่านั้น
ที่สำคัญ ต้องไม่ลืมว่าเศรษฐกิจไทยต้องประสบปัญหาหลาย ๆ ด้านที่เป็นปัญหาในเชิงโครงสร้าง ทั้งการส่งออกที่เป็นรายได้หลักที่ทรุดลงต่อเนื่อง ด้านธุรกิจท่องเที่ยว ทุกวันนี้ผู้ประกอบการต่างทยอยปิดกิจการ คนตกงานเป็นแถว นักลงทุนไทยต่างพากันชะลอการลงทุนส่วนนักลงทุนต่างชาติก็ทยอยย้ายฐานการลงทุนไปต่างประเทศแทน
ผู้ประกอบการ SME ก็พากันเจ๊งเพราะสายป่านขาด ขณะที่มาตรการ “เงินทุนดอกเบี้ยต่ำ” หรือ Soft Loan ดอกเบี้ย 2% ที่รัฐบาลออกมาตรการมาช่วยเหลือ SMEs ส่วนใหญ่ “นั้นเข้าถึงยาก”
สิ่งเหล่านี้ต่างหากที่เป็นกลไกสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจเดินหน้าต่อไปได้ในระยะยาวอย่างมีเสถียรภาพไม่ใช่โครงการประชานิยมที่ต้องใช้เงินกู้เป็นแสนล้านมาลดแลกแจกแถมแบบไปวันๆ…อย่าได้หลงเพลินกับกับภาพลวงตาจนลืมของจริง
ทวี มีเงิน