เริ่มเดือนกันยายน รัฐบาลเริ่มผ่อนคลายความเข้มงวดมาตรการควบคุมโควิด-19 หลังจากล็อกดาวน์อย่างเข้มข้นและขอความร่วมมือประชาชนให้ทำงานที่บ้าน (Work From Home) ตลอดเดือนกว่าที่ผ่านมา
ในขณะที่ HR หลายองค์กรเริ่มวางแผนให้พนักงานเตรียมกลับมาทำงานที่ออฟฟิศมากขึ้น พนักงานรวมถึงผู้บริหารจำนวนไม่น้อยที่เบื่อการทำงานที่บ้าน วัน ๆ ชีวิตมีแต่งาน ไม่มีโอกาสเดินไปเม้าท์กับเพื่อน ลองร้านอาหารที่เปิดใหม่ทานตอนเที่ยง หรือช้อปปิ้งของจากเต้นท์ข้างออฟฟิศ ก่อนแวะซื้อกาแฟขึ้นมาลุยงานต่อตอนบ่าย ก็ภาวนาให้วิกฤตินี้ผ่านไปเร็ว ๆ ทุกอย่างจะได้กลับมา “เหมือนเดิม”
ผมอาจเป็นคนต้องบอกข่าวร้ายให้หลายคนฝันสลาย
ไม่ใช่ว่าโควิดจะยื้อเยื้อไปเรื่อย ๆ ไม่มีวันจบแต่ “การทำงานเหมือนเดิม” แบบโลกยุคก่อนโควิดที่หลายคนเฝ้ารอจะไม่เกิดขึ้นแน่นอน
ช่วงวิกฤตนี้ โลกธุรกิจได้เห็น ได้ลอง สิ่งที่คิดว่าเป็นไปไม่ได้ แต่ก็ต้องทำให้เป็นไปได้ภายใต้ข้อจำกัดต่าง ๆ เพื่อประคองธุรกิจได้ยังอยู่รอดและต้องเดินต่อไปได้
- อะโดบี เกี่ยวกับผลกระทบการระบาดต่อ “เวลาทำงาน และชีวิตส่วนตัว”
- โควิด-19 เปลี่ยนโลก นักวิชาการชี้ 60% เกิดอาชีพใหม่ ที่ไม่เคยมีมาก่อน
หลาย ๆ อย่างอาจกลับมาเหมือนเดิม เช่น การผลิตสินค้าในโรงงาน หรืองานในภาคการบริการ แม้ก็อาจมีขั้นตอน วิธีการทำงานที่เพิ่มขึ้น เพื่อความปลอดภัย สุขอนามัยที่ดี และความมั่นใจของทั้งพนักงาน และลูกค้า
การทำงานในออฟฟิศยังคงมีอยู่ ไม่ได้หายไปไหน แต่ความยืดหยุ่นในการทำงาน และความคาดหวังจากพนักงานต่อรูปแบบการทำงานที่หลากหลายและยืดหยุ่นจะเพิ่มขึ้น เราจะได้เห็นรูปแบบการทำงานเปลี่ยนจากการทำงานออฟฟิศ 100% ไปเป็นรูปแบบ Hybrid Workplace มากขึ้น โดยสัดส่วนของสถานที่ที่ทำงาน (ในออฟฟิศ หรือนอกออฟฟิศ) และตารางการทำงาน (เข้าออฟฟิศสัปดาห์ละกี่วัน เวลาทำงานเป็นอย่างไร) จะขึ้นอยู่กับประเภทของธุรกิจ และความเหมาะสมประเภทของงาน
เนื่องจากความยืดหยุ่นในรูปแบบในการทำงานเป็นสิ่งที่คนรุ่นใหม่ให้ความสำคัญ หลาย ๆ องค์กรจึงเตรียมพิจารณาเรื่องนี้และใช้เป็นหนึ่งในปัจจัยเพื่อดึงดูดพนักงานที่ต้องการ
กลับมามองในมุมของพนักงาน เมื่อเรารู้ว่า Hybrid Workplace จะเป็นเทรนด์ที่มาแน่ ๆ ในอนาคต มีอะไรที่เตรียมตัวได้บ้าง ผมแนะนำให้เตรียมและปรับตัว 3 เรื่อง เพื่อประสิทธิภาพในการทำงานในรูปแบบใหม่ที่ดีขึ้น
- Mindset
คนที่ผ่านการ Work From Home ช่วงหลายเดือนที่ผ่านมาจะเข้าใจมากขึ้นว่าการทำงานที่บ้านไม่ใช่ว่าจะชิวตื่นกี่โมง อยากทำงานตอนไหน หรือนอนดู Netflix ทั้งวันได้ เพราะไม่มีหัวหน้าคอยดูอยู่ mindset ที่สำคัญ คือ ความรับผิดชอบต่อหน้าที่และบริษัท ไม่ว่าเราจะทำงานอยู่ที่ไหน เช่นเดียวกันเนื่องจากเส้นระหว่างเวลางานกับเวลาส่วนตัวจะไม่ชัดเจนเหมือนการทำงานที่ออฟฟิศ การเลือกทำกิจกรรมต่าง ๆ ระหว่างวันซึ่งอาจมีเรื่องส่วนตัว หรือเรื่องงานผสมกัน จำเป็นต้องใช้วิจารญาณที่ดี เพื่อให้งานที่ทำเดินไปได้ตามกำหนด โดยที่รักษาสมดุลกับเรื่องส่วนตัว และครอบครัวด้วย
- อุปกรณ์เครื่องมือโปรแกรมและสถานที่ทำงาน
ถ้าทำงานข้างนอกเพียง 2-3 ชั่วโมงที่ร้านกาแฟ คงไม่ต้องเตรียมอะไรมาก มีโน้ตบุ๊คและสายชาร์จ (ถ้าจะนั่งนานหน่อย) และอินเทอร์เน็ตแรงหน่อยก็เพียงพอ แต่ถ้าจะเป็นการทำงานแบบ Hybrid Workplace อาจต้องเตรียม workstation หรือมุมสำหรับทำงานในบ้านเป็นเรื่องเป็นราวให้สามารถทำงานได้มีประสิทธิภาพ ไม่ว่าจะเป็นโต๊ะ เก้าอี้ จอมอนิเตอร์ เพื่อช่วยให้เราทำงานนาน ๆ ได้โดยไม่มีปัญหาสุขภาพไปเสียก่อน นอกจากนี้ การฝึกใช้โปรแกรมต่าง ๆ ที่ใช้ในการทำงาน หรือสื่อสารให้คล่อง ไม่ว่าจะเป็น collaboration tools ต่าง ๆ หรือโปรแกรมประชุมออนไลน์ซึ่งจะช่วยเพิ่มความเป็นมืออาชีพ และประสิทธิภาพการทำงานนอกออฟฟิศอีกด้วย
- การจัดการความคาดหวังและการสื่อสารระหว่างเรากับหัวหน้าและเพื่อนร่วมงาน
นอกจาก mindset และเครื่องมือ อุปกรณ์ที่พร้อมแล้ว อีกเรื่องที่สำคัญแต่หลายคนอาจมองข้ามไป คือ การจัดการความคาดหวังของหัวหน้าและเพื่อนร่วมงานในการทำงานแบบ Hybrid Workplace อย่าคิดเอาเองว่าหัวหน้าคาดหวังเหมือนตอนที่ทำงานที่ออฟฟิศ 100% เหมือนก่อน มีหลายเรื่องที่ควรต้องคุยให้ชัดเจนทั้งความคาดหวังของหัวหน้า รวมถึงสถานการณ์และข้อจำกัดของเราด้วย โดยเฉพาะคนที่มีครอบครัวที่ต้องบริหารจัดการตารางของคนในบ้าน การที่หัวหน้าและเพื่อนร่วมงานเข้าใจจะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการสื่อสาร รู้ว่าเวลาไหนสะดวกให้ติดต่อ นอกจากนี้ ยังเป็นการลดการเดา การระแวง จากการที่ไม่ได้เห็นหน้ากันทุกวันเหมือนก่อน ซึ่งแน่นอนว่าในช่วงแรก ๆ ทุกคนต้องปรับตัว จนได้จุดที่สมดุลและเข้าใจกันระหว่างหัวหน้าและทีมที่ทำงานด้วย
เพราะอิสระและความยืดหยุ่นที่จะมีมากขึ้นจากรูปแบบการทำงานแบบ Hybrid Workplace มาพร้อมกับความรับผิดชอบในตัวเองที่เพิ่มขึ้น การเตรียมอุปกรณ์ เครื่องมือ และเรียนรู้วิธีเทคโนโลยีที่ช่วยในการทำงาน การสื่อสารในช่องทางต่าง ๆ ที่เหมาะสมเพื่อการทำงานที่มีประสิทธิภาพ บวกกับความเข้าใจ เห็นอกเห็นใจ หัวหน้าและเพื่อนร่วมงานในฐานะเพื่อนมนุษย์ที่มีชีวิตด้านอื่นนอกจากงาน คนที่มีความพร้อมมากยอมได้เปรียบในการทำงานและก้าวหน้าในรูปแบบการทำงานใหม่นี้
ถ้าสงสัยว่าบริษัทจะดูหรือรู้ได้อย่างไรว่าใครพร้อม หรือปรับตัวในการทำงานได้ดีกว่าในรูปแบบ Hybrid Workplace วิธีง่าย ๆ คือ ดูที่ผลงาน เพราะจะเป็นตัวสะท้อนวิธีการว่าได้ผลอย่างไร
คุณพร้อมสำหรับการทำงานแบบ Hybrid Workplace แล้วหรือยังครับ?
ผู้เขียน: ชัชพล ยังวิริยะกุล