TH | EN
TH | EN
หน้าแรกTechnologyกสทช.-กทปส. หนุนทุนวิจัยพัฒนาระบบสื่อสารและระบุตำแหน่งในถ้ำ

กสทช.-กทปส. หนุนทุนวิจัยพัฒนาระบบสื่อสารและระบุตำแหน่งในถ้ำ

จากเหตุการณ์โค้ชและเยาวชนฟุตบอลทีมหมูป่าจำนวน 13 คนเข้าไปติดถ้ำหลวง-ขุนน้ำนางนอน จ.เชียงราย ได้สะท้อนให้เห็นถึงบทเรียนต่อการจัดการและความไม่พร้อมในการรับมือกับเหตุการณ์ไม่คาดคิดของประเทศไทย จึงทำให้ไม่สามารถเข้าช่วยเหลือผู้ประสบเหตุได้อย่างทันที จากกรณีดังกล่าว สำนักงาน กสทช. จึงมีแนวคิดในการศึกษาวิจัยเพื่อกำหนดแนวทางการใช้คลื่นความถี่สำหรับระบบสื่อสารที่เหมาะสมสำหรับสภาพแวดล้อมตามธรรมชาติที่มีลักษณะเป็นถ้ำหรือคล้ายคลึงกัน รวมทั้งการศึกษาวิจัยระบบระบุตำแหน่งในถ้ำ เพื่อเป็นการเตรียมความพร้อม และสนับสนุนการปฏิบัติงานภาคสนามของผู้เกี่ยวข้องให้ดำเนินงานได้มีประสิทธิภาพ 

ทั้งนี้ สำนักงาน กสทช. โดยสำนักงานกองทุนวิจัยและพัฒนา มอบทุนส่งเสริมสนับสนุนกองทุน ประเภทที่ 2 เพื่อดำเนินการตามวัตถุประสงค์ของกองทุนวิจัยและพัฒนากิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคม เพื่อประโยชน์สาธารณะ ตามมาตรา 52(2) สำหรับการดำเนินโครงการศึกษาแนวทางการใช้คลื่นความถี่สำหรับระบบสื่อสารรวมทั้งการสร้างแบบจำลองและระบุตำแหน่งในถ้ำ (Study of guidelines for using spectrum for communication systems, including modeling and identifying locations in caves.) ในครั้งนี้เพื่อเตรียมพร้อมรับมือกับสถานการณ์ในภาวะฉุกเฉินและพิบัติภัยโดยใช้ถ้ำเชียงดาว อำเภอเชียงดาว จังหวัดเชียงใหม่ เป็นสถานที่ทดสอบระบบ ซึ่งผลผลิตจากโครงการฯ นี้จะสามารถต่อยอดในการใช้ประโยชน์นำไปสู่การทำแผนที่ในถ้ำและพัฒนาแหล่งท่องเที่ยวในถ้ำของประเทศไทยได้เป็นอย่างดี

รองศาสตราจารย์ ดร.รังสรรค์ วงศ์สรรค์ อาจารย์ประจำสาขาวิชาวิศวกรรมโทรคมนาคม สำนักวิชาวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีสุรนารี และหัวหน้าโครงการศึกษาแนวทางการใช้คลื่นความถี่สำหรับระบบสื่อสารรวมทั้งการสร้างแบบจำลองและระบุตำแหน่งในถ้ำ เปิดเผยว่า ที่มาของโครงการฯ เริ่มต้นมาจากกรณี 13 หมูป่าติดในถ้ำหลวงขุนน้ำนางนอน จังหวัดเชียงราย ปัญหาในขณะนั้นคือ ระบบการติดต่อสื่อสารแบบไร้สายแทบทุกทางไม่สามารถกระทำได้ ที่ทำได้เป็นการลากสายใยแก้วไปที่โถงหนึ่งและลากสายระบบโทรศัพท์ทหารไปยังโถงสาม เพื่อทำการสื่อสารมาด้านนอกถ้ำและอีกหนึ่งปัญหาที่พบในครั้งนั้นคือ การพยายามที่จะใช้วิธีเจาะถ้ำเพื่อกู้ชีวิตทั้ง 13 คน ไม่สามารถระบุตำแหน่งผู้ติดค้างในถ้ำว่าอยู่ตำแหน่งไหนบนภูเขาที่อยู่เหนือโถงถ้ำนั้น ซึ่งอาจทำให้การเจาะถ้ำเพื่อการช่วยเหลืออาจมีความผิดพลาดของพิกัดของผู้ติดในถ้ำได้  ดังนั้นจึงเป็นที่มาของการให้ทุนพัฒนาและวิจัยเพื่อดำเนินโครงการฯ นี้

การดำเนินโครงการฯ ประกอบด้วย 1.การพัฒนาระบบสื่อสารจากภายนอกถ้ำโดยการติดตั้งสถานีสื่อสารที่อยู่บนภูเขาเพื่อให้สามารถสื่อสารได้ตลอดแนวโพรงถ้ำ 2.การพัฒนาระบบสื่อสารระบบดิจิทัล โดยใช้หลักการทำงานคล้ายระบบเซลลูล่าร์เข้าไปติดตั้งในโพรงถ้ำตามจุดที่เหมาะสม เพื่อทำหน้าที่เป็นสถานีทวนสัญญาณขนาดเล็กในการถ่ายทอดสัญญาณเข้าไปตลอดโพรงถ้ำไม่ว่าในถ้ำจะเป็นเส้นทางที่โค้งหรือทางตรงก็ตามระบบสามารถถ่ายทอดสัญญาณในระยะทางที่เหมาะสมและตรงกับความต้องการได้ นอกจากนี้การระบุตำแหน่งภายในถ้ำที่บอกเป็นค่าละติจูด (Latitude) และลองจิจูด (Longitude) ซึ่งปกติการวัดระบุตำแหน่งภายนอกถ้ำจะใช้ดาวเทียม แต่ภายในถ้ำสัญญาณดาวเทียมไม่สามารถผ่านลงไปได้

ดังนั้น ระบบที่ได้พัฒนาในโครงการฯ จะเป็นระบบที่ทำการคำนวณตำแหน่งภายในถ้ำแต่ละจุดด้วยความแม่นตรงโดยอัตโนมัติ โดยใช้อุปกรณ์ทางอิเล็กทรอนิกส์ชั้นสูง อาทิ ไจโรสโคป เป็นอุปกรณ์ที่ใช้แรงโน้มถ่วงของโลกเพื่อตรวจสอบแนวเส้นทางของโพรงถ้ำ ร่วมกับอุปกรณ์วัดระยะทางด้วยแสงเลเซอร์ และเข็มทิศอิเล็กทรอนิกส์ ซึ่งถูกติดตั้งอยู่ในชุดอุปกรณ์เดียวกันทั้งหมด การใช้งานจริงจะใช้วิธีวัดค่าพิกัดตำแหน่งอ้างอิงที่บริเวณนอกถ้ำ จากนั้นใช้เครื่องมือที่พัฒนาขึ้นในโครงการฯ ทำการถ่ายค่าตำแหน่งถัดไปและคำนวณค่าพิกัดนั้นออกมา จึงทำให้ได้ค่าพิกัดตำแหน่งที่แม่นตรงเริ่มต้นตั้งแต่ปากถ้ำไปจนถึงปลายทางถ้ำที่เราต้องการ

นอกจากนี้ในโครงการฯ ยังได้จัดทำระบบการสแกนภาพด้วยแสงเลเซอร์ที่สามารถสแกนในระนาบแนวนอนได้แบบ 360 องศาและระนาบแนวตั้งได้ 270 องศา ทำให้ภาพที่ได้ออกมามีความถูกต้องเสมือนจริงและสามารถวัดขนาดของโพรงถ้ำได้ทั้งสามมิติ ซึ่งขั้นตอนสุดท้ายเมื่อนำมารวมเข้ากับค่าตำแหน่งพิกัดที่อธิบายไว้ก่อนหน้านี้ สิ่งที่จะได้มาคือ แผนที่ถ้ำที่สมบูรณ์พร้อมทั้งพิกัดที่แม่นตรง

ดังนั้นหากในอนาคตทุกถ้ำในประเทศไทยทั้งที่เป็นแหล่งท่องเที่ยวที่เปิดให้เข้าชมหรือเป็นถ้ำที่ยังไม่ได้ทำการสำรวจ ระบบที่พัฒนาขึ้นมานี้จะช่วยให้ประเทศไทยสามารถทำแผนที่ถ้ำได้อย่างสมบูรณ์แบบและยังเป็นต้นแบบที่สามารถนำไปพัฒนาต่อยอดให้เกิดประโยชน์ในด้านอื่น ๆ จะทำให้ลดการพึ่งพาเทคโนโลยีต่างประเทศได้อีกด้วย

ทั้งนี้ ในอนาคตสำหรับนักท่องเที่ยวที่เข้ามาท่องเที่ยวในถ้ำก็จะสามารถรู้ตำแหน่งว่าตัวเองอยู่ตำแหน่งไหน หรือในกรณีเกิดภัยพิบัติ หรือติดถ้ำไม่สามารถออกจากถ้ำได้ หรือหากผู้ค้นหาที่เข้าไปช่วยผู้รอดชีวิตก็จะสามารถสื่อสารเพื่อแจ้งพิกัดและส่งทีมเข้าไปช่วยเหลือเพิ่มเติมได้ เช่น ในกรณีที่จำเป็นจะต้องเจาะถ้ำเข้าไปช่วยเหลือ เป็นต้น

ด้านลัญจกร สุขสวัสดิ์ ผู้ช่วยหัวหน้าเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าเชียงดาว กล่าวเสริมว่า การดำเนินโครงการฯ นี้ได้ถอดบทเรียนมาจากเหตุการณ์ครั้งนั้นเป็นการกระตุ้นให้หน่วยงานมีระบบให้พร้อมรับมือและแก้ไขสถานการณ์ในการเข้าช่วยเหลือผู้ประสบภัย ซึ่งการติดตั้งอุปกรณ์เพื่อการทดสอบในถ้ำเชียงดาวครั้งนี้เห็นว่าเป็นเรื่องที่ดีทำให้เราสามารถการจัดการระบบถ้ำในอนาคตได้ หากไม่มีระบบสื่อสารและอุปกรณ์นี้เสมือนเราเดินไปในห้องที่มืด ๆ มองไม่เห็นอะไร เพราะในถ้ำทั้งมืด ทั้งชื้น พื้นทางเดินไม่เรียบ หากเดินไปเจอแหล่งน้ำก็ไม่รู้ว่าจะตื้นหรือลึก มีเหวในถ้ำหรือไม่ แต่หากมีระบบที่พัฒนาขึ้นเพื่อสร้างภาพจำลองแผนที่ถ้ำขึ้นมา จะทำให้ผู้ที่จะเข้าไปสามารถเห็นภาพและรู้ว่าภายในถ้ำนั้นมีลักษณะอย่างไร นอกจากนี้ระบบนี้ยังทราบว่าสามารถระบุพิกัดและสามารถสื่อสารกับภายนอกได้ จะทำให้เกิดความปลอดภัยในการเข้าไปท่องเที่ยวและรวมถึงการเข้าช่วยเหลือหากเกิดพิบัติภัยได้เป็นอย่างดี

บทความอื่น ๆ ที่น่าสนใจ

กสทช. เร่งโปรโมตการใช้งาน ‘Mobile ID’ กระตุ้นให้คนใช้เบอร์มือถือแทนบัตรประชาชน

ศิริราช – กสทช. – หัวเว่ย ร่วมเปิดโครงการ ศิริราชต้นแบบรพ.อัจฉริยะระดับโลกด้วย 5G

STAY CONNECTED

0แฟนคลับชอบ
440ผู้ติดตามติดตาม
spot_img

Lastest News

MUST READ