TH | EN
TH | EN
หน้าแรกBusinessจับทิศ “Influencer Marketing” พลังคนดัง นำทางตลาด

จับทิศ “Influencer Marketing” พลังคนดัง นำทางตลาด

ถึงตอนนี้ Influencer Marketing หรือ การตลาดโดยผู้ทรงอิทธิพลในยุคการตลาดดิจิทัล ได้กลายเป็นหนึ่งกลยุทธ์หลักที่แทบทุกแผนการตลาดต้องมี และด้วยเม็ดเงินพร้อมจ่ายที่มากขึ้น 

ปู สุวิตา จรัญวงศ์ ผู้ร่วมก่อตั้งและผู้บริหาร บริษัท เทลสกอร์ จำกัด (Tellscore) ผู้พัฒนาแพลตฟอร์มบริหารจัดการอินฟลูเอนเซอร์ แชร์มุมมองกับ The Story Thailand ว่าเพราะอินฟลูเอนเซอร์ มาร์เก็ตติ้งเป็นเครื่องมือสื่อสารพิเศษซึ่งแถม ทองคำที่เรียกว่าข้อมูล ที่ถูกเก็บมาจากหลายช่องทางโซเชียลมีเดีย สามารถวัดและส่งเป็นค่าทางการตลาดได้ เพราะเบื้องหลังโพสต์แต่ละโพสต์ คือข้อมูลที่เป็น 3rd Party Data ซึ่งหาไม่ได้แล้วจากเว็บเบราว์เซอร์ หรือ iOS ใหม่ ๆ ที่มีกฎหมายห้ามไม่ให้มีการเก็บคุ้กกี้เพื่อติดตามการใช้งานอีกต่อไป แต่อินฟลูเอนเซอร์ มาร์เก็ตติ้งสามารถเก็บข้อมูลเหล่านี้ได้จากพฤติกรรมของผู้ติดตามที่เข้าไปถวายยอดไลค์ ยอดคอมเมนต์ด้วยความยินยอมพร้อมใจ และถูกทำให้เป็น Anonymized แล้ว คือไม่มีการระบุตัวตนผู้เป็นเจ้าของคอนเทนต์ซึ่งเพิ่มความปลอดภัยเข้าไปอีก  

ครองกระแสตลาดดิจิทัล

“มีหลายงานวิจัยชี้ว่า ทุกแผนการตลาดจะมีการปันงบใช้จ่ายอย่างน้อย 40-50% ของงบการตลาดไปกับอินฟลูเอนเซอร์ เป็นความเปลี่ยนแปลงที่เห็นเด่นชัดในเวลาแค่ 5 ปี เมื่อก่อนเวลาจะดันงบเรื่องอินฟลูเอนเซอร์ มาร์เก็ตติ้งสัก 15% ลูกค้าก็จะให้ไปพิสูจน์มาก่อน แต่ตอนนี้มีงบมาแสนบาท เอาไปเลย 4 หมื่น 5 หมื่น ซึ่งทำให้อินฟลูเอนเซอร์ มาร์เก็ตติ้งถูกจับตาว่าเป็นอีกหนึ่งเครื่องมือหลักด้านการตลาด ส่วนอีกปัจจัยหนึ่งมาจากการใช้งานในวงกว้างมากขึ้น (Mass Adoption) เรียกได้ว่า ทุกแผนการตลาดจะมีอินฟลูเอนเซอร์เป็นส่วนผสมเกินกว่า 50%”

ที่เป็นเช่นนั้นเพราะอินฟลูเอนเซอร์ มาร์เก็ตติ้งเป็นเครื่องมือที่ ใช้ง่ายเข้าใจง่าย ตัวลูกค้าสามารถเป็นอินฟลูเอนเซอร์ในการสร้างคอนเทนต์บนโซเชียลมีเดียได้เอง นักการตลาดเองก็ใช้ แบรนด์ก็เริ่มเข้าใจเครื่องมือนี้ ซึ่งต่างจากแพลตฟอร์มจัดเก็บข้อมูลลูกค้า (CDP) ที่ต้องใส่แว่นหนาหน่อยเวลาอ่านรายงานเพื่อเข้าใจอารมณ์ตลาด

นอกจากนี้ ประสิทธิภาพของเครื่องมือที่ วัดผลและปรับปรุงได้ สามารถยึดจับจากศูนย์และพัฒนาต่อไปเป็น 1-2-3-4 ด้วยข้อมูลที่วัดได้ตามธรรมชาติ ชนิด ถ้าหากนำมาปรับปรุงได้แสดงว่าภายใน 6 เดือนจะเป็นแคมเปญที่ประสบความสำเร็จและอีก 1 ปีจะเป็นแคมเปญที่ลดต้นทุนเรียกได้ว่าเป็นสวรรค์บนโลกความจริงที่นักการตลาดอยากได้

“เราไม่ได้พูดว่า การใช้เครื่องมือนี้จะทำให้ชนะ และไม่ใช่ว่าเครื่องมือก่อนหน้านี้ไม่เวิร์ค เพียงแต่เครื่องมือหลายอย่างก่อนหน้านี้อาจปิดตาเราจากข้อมูลบางอย่างเมื่อไม่ได้อยู่บนโลกโซเชียล”

อย่างไรก็ตาม อินฟลูเอนเซอร์ มาร์เก็ตติ้งจะโตได้ ยูสเซอร์ต้องใช้ชั่วโมงอินเทอร์เน็ตแบบล้น ๆ เช่น วันละ 6-8 ชั่วโมง รวมถึงมีสิ่งจูงใจให้เกิดการใช้โซเชียลมีเดียเยอะ ๆ ภูมิทัศน์ลักษณะนี้มีเฉพาะในบางประเทศอย่าง จีน ไทย อินโดนีเซีย ฟิลิปปินส์ ที่ซึ่งแอปฯ แทบทุกตัวจะมีเวอร์ชันให้ใช้ฟรี เนื่องจากยูสเซอร์เองไม่มีกำลังซื้อสูง ขณะที่ฝั่งตะวันตกค่อนข้างหวงข้อมูล การปล่อยแอปฯ ให้ใช้ฟรีในยุโรปและสหรัฐอเมริกาก็ไม่ค่อยมี ผู้พัฒนาซอฟต์แวร์ในแถบบ้านเอเชียจึงเลือกที่จะสละเม็ดเงินลงทุนของตัวเองเพื่อให้ผู้บริโภคได้ประโยชน์จากวัฒนธรรมการใช้แอปฯ ฟรี 

“พอมีการใช้ชั่วโมงอินเทอร์เน็ตเยอะ งบใช้จ่ายที่มีแคมเปญการตลาดดิจิทัลที่คาดว่าจะถูกแบ่งสรรปันส่วนมาให้อินฟลูเอนเซอร์ 40-50% เพิ่มมาเป็น 70% ภายใน 3 ปี ส่วนจำนวนแคมเปญที่จะมีการเลือกใช้อินฟลูเอนเซอร์ก็จะแตะตัวเลขใกล้เคียง 70% แต่ไม่คิดว่าจะไปถึง 100% เพราะตลาดยังต้องการความหลากหลาย”

มัดรวมทุกส่วนผสม

เมื่อ ความสวยงามทางการตลาดคือความหลากหลาย จึงเป็นเรื่องท้าทายอย่างหนักว่า 70% ที่จะมาใช้อินฟลูเอนเซอร์อาจไม่เดินตามท่วงท่าปัจจุบัน ตัวอย่างเช่น เทลสกอร์ขายอินฟลูเอนซอร์เป็นเครื่องมือทางการตลาดให้ลูกค้า ซึ่งเด่นด้าน ไมโครอินฟลูเอนเซอร์ ระดับกลางถึงต่ำที่เน้นการสร้างยอดไลค์ คอมเมนต์ แชร์คลิ๊ป หรือจำนวนดาวน์โหลด ชณะที่อีกรายมีหมัดเด็ดด้าน มาโคร  อินฟลูเอนเซอร์ ขายเป็นโฆษณา เน้น Celebrity คนเด่น คนดัง คนมีชื่อเสียง สร้างการรับรู้ผ่านจำนวนการมองเห็นให้มาก (Eyeballs) ตามกรวยการตลาด (Marketing Funnels) ชั้นบนสุด อนาคตจึงเป็นเรื่องที่ต้องปลดล็อกเพื่อหาสูตรผสมค็อกเทลนี้ให้ลงตัว และต้องเดาให้ได้ว่าลูกค้าหรือแบรนด์จะเลือกแนวทางบน กลางหรือล่างมากกว่ากัน

“ทุกวันนี้เทลสกอร์เริ่มตีขึ้นไปที่ต้นน้ำ ขายเซเลบริตี้ไปกับทุกแผน เพราะลูกค้าต้องการส่วนผสมทั้งหมด ซึ่งเรามีความโดดเด่นใน 5 เรื่อง ได้แก่ การใช้อินฟลูเอนเซอร์ทำประชาสัมพันธ์ โฆษณา แคมเปญการตลาด อีคอมเมิร์ซ และการสร้างแบรนด์ให้โดดเด่นเป็นที่จดจำ ซึ่งเน้นเฉพาะสร้างการรับรู้ ส่วน Affiliate Marketing ในฝั่งของอีคอมเมิร์ซที่เปิดให้มาทำตลาดในช่องทางสื่อของเราเพื่อเปลี่ยนกลุ่มเป้าหมายให้กลายมาเป็นลูกค้า (Conversion) เป็นอีกหนึ่งงานหินที่เรากำลังรุกเข้าไป แต่หากเป็นเอเจนซี่รายอื่น ๆ อาจจะเพิ่มเติมเรื่องของการทำการตลาดปากต่อปาก (Viral Marketing) โปรแกรมเสริมความภักดีต่อแบรนด์ (Loyalty Program) เป็นต้น” 

คุณปูเติมความเห็นว่า ปัจจุบันเมื่อข้อมูลเป็นที่ต้องการมากขึ้น เม็ดเงินลงทุนก็จะยิ่งมากขึ้น อาจมากกว่า 70% ของแผนการตลาดเสียอีก ยิ่งเรียกร้องประสิทธิผลของแผนมากเท่าไร ความต้องการข้อมูลก็จะยิ่งมากขึ้นไปอีก ออมนิแชนเนล (Omnichannel)” จึงเป็นอีกหนึ่งเครื่องมือที่เข้ามาตอบโจทย์การติดตามข้อมูลผ่านช่องทางสื่อสารที่หลากหลาย เพราะการตลาดดิจิทัลแต่ละสำนัก แม้กระทั่ง Google Tiktok มักเคลมว่า แคมเปญอินฟลูเอนเซอร์ที่ทำออกไปสามารถส่งค่าได้ แต่นักการตลาดก็ยังเห็นแย้งว่า แต่ข้อมูลของคุณไม่คุยกันเลยนะและเรายังแกะรอยข้อมูลข้ามแพลตฟอร์มไม่ได้อยู่ดี” 

“ตอนนี้ไม่มีการเก็บคุ้กกี้แล้ว คนที่ไม่มีเครื่องมือออมนิแชนแนลก็จะลำบากหน่อย เหมือนไม่มีข้อต่อไปเชื่อมระหว่างโซเชียลมีเดีย หรือเว็บไซต์ต่าง ๆ ซึ่งอนาคตต้องมีการพูดคุย เช่น การส่ง APIs เพื่อเชื่อมโยงระหว่างซอฟต์แวร์ต่าง ๆ มากขึ้น”

อินฟลูเอนเซอร์ VS เอไอ

แม้การดิสรัปชันของเอไอที่พัฒนาตัวเองจนกลายเป็น Generative AI ได้สะเทือนไปทุกวงการจนถึงในแวดวงอินฟลูเอนเซอร์ด้วยความเก่งกาจในการสร้างคอนเทนต์ แต่ถึงอย่างไร ก็ยังห่างไกลจากการเข้ามาแทนที่อินฟลูเอนเซอร์ที่เป็นมนุษย์จริง ๆ เพราะแบรนด์ยังต้องการบุคคลในสังคมที่ยืนยันตัวตนได้ (Authentication)” 

“เบื้องต้นเอไอคงแทนได้ในระดับโปรดักชั่น เช่น ช่วยทำวีดีโอได้ง่ายขึ้น สร้างภาพ JPG ที่สวยและเร็วขึ้นไปก่อน แต่เรากำลังพยายามแกะสูตรว่า ทำอย่างไรที่จะสามารถผลิตคอนเทนต์ได้ในแบบเอไอแต่ไม่ขาดตัวตนที่เป็นมนุษย์ หรือไม่กลายเป็น Fraud เป็นเรื่องฉ้อฉลหลอกลวง เพราะเราเคยเจอคนที่ใช้บอต (Bot) พ่นคอนเทนต์จากคนที่ชมไลฟ์ 1 พันคนให้กลายเป็น 5 พันคน ซึ่งไม่เหมาะไม่ควร ทีนี้เรื่องของธรรมาภิบาล (Governance) ก็จะเป็นเรื่องที่ต้องให้ความสำคัญเป็นเงาตามตัว เราก็มีการคุยกับ ETDA ว่ามีหน่วยงานไหนควรเป็นผู้ออกกติกา หรือควรที่จะ Metadata มาแท็กหลังรูปหรือวีดีโอสักหน่อยไไหมให้รู้ว่า อันนี้เป็นสปอนเซอร์ อันนี้ทำเองโดยคนหรือซอฟต์แวร์อะไรเพื่อให้แบรนด์มีทางเลือก”

อย่างไรก็ตาม เอไอยังคงเป็นความท้าทายใหญ่หลวงในโลกอินฟลูเอนเซอร์ ซึ่งในภาวะที่ยังไม่รู้หัวหรือก้อยก็ขอส่งเสียงดัง ๆ ไว้ก่อนเพื่อให้มีผู้นำอุตสาหกรรมออกมาเยอะ ๆ แล้วมาถกกันว่า ไก่กับไข่อะไร (ควร) เกิดก่อนกัน แนวทางปฏิบัติควรออกมาอย่างไรให้สังคมเดินถูก เอไอเติบโตไปถูกทาง แล้วอินฟลูเอนเซอร์ที่เป็นคนจริง ๆ ได้รับการคุ้มครอง ไม่ใช่ปล่อยให้ถลุงกันไปเองเพราะเม็ดเงินมันเยอะมาก เช่น คอมเมนต์ที่กลาดเกลื่อนโดยบอต จนทำให้เอไอหมดมูลค่า บัญชีผู้ใช้สีเทา ๆ ก็ซื้อจนมีการโกงเกิดขึ้น เพียงแค่ให้บรรลุยอด Engagement และยอดคอมเมนต์ที่ต้องการ ซึ่งมีอยู่ถึง 20% ของอุตสาหกรรมที่มาท่านี้ 

หากเอายอดของอินฟลูเอนเซอร์ มาร์เก็ตติ้งที่กำลังขับเคลื่อนตลาดในปีนี้ที่คาดว่าจะโตราว 40,000 ล้านบาท ไม่นับรวมการตลาดด้านคอนเทนต์ หรือลิงก์ที่เชื่อมไปเพื่อสนับสนุนอีคอมเมิร์ซที่เป็นการขายสินค้าโดยตรง (GMV) เท่ากับเราต้องเสีย 20% ของ 40,000 ล้านในส่วนของตลาดอินฟลูเอนเซอร์ให้กับบอตหรือพวกหลอกลวง แถมยังเป็นแพลตฟอร์มต่างชาติบนโซเชียลมีเดียหลักด้วย

หมัดฮุคสู่ชัยชนะ 

หากมองการตลาดเป็นแกน X และ Y กรวยการตลาดจากบนสุด คือการสร้างการรับรู้ สู่ท่อนล่างสุด คือการขาย เปรียบเสมือนแกน X ที่เดินตามท่ามาตรฐานเป็นขั้นเป็นตอนตามจังหวะ 1-2-3-4 แต่ท่าการตลาดของจริง หรือ แกน Y นั้นเกิดจากประสบการณ์และแผลเป็นที่ได้ระหว่างการเดินไปในแต่ละขั้นของกรวยการตลาดนั้น ๆ เช่น จะขายของก็ต้อง TikTok ติดตะกร้า อินฟลูเอนเซอร์อย่าง “ตี๋โอ” ทำได้เพราะเขาดัง มีส่วนผสมที่ลงตัว มีผู้ติดตามที่มีฐานใหญ่ คนเชื่อในสิ่งที่เขาแนะนำและไม่โกงใคร ซึ่งของแบบนี้ต้องสะสมชั่วโมงบินมานาน หรืออย่างการทำไลฟ์ครั้งหนึ่ง ฐานผู้ติดตามควรต้องเป็นช่องทีวี แต่คนที่ขาดความเข้าใจแต่อยากทำไลฟ์เลยใช้ไมโคร อินฟลูเอนเซอร์ซึ่งไม่เวิร์ค เช่น เอาอินฟลูฯ ที่มีฐานเพื่อนติดตาม 3 พันคน แต่ถึงเวลาไลฟ์จริงมีคนเข้ามาดู 4 คน หรือหากเพิ่มเป็น 20 คนได้ก็ถือว่าเก่ง เพราะดูทรงแล้วไม่มีความถี่และจำนวนเข้าชมที่จะติดลมบนแต่แรก เป็นต้น สิ่งเหล่านี้ต้องอาศัยประสบการณ์ในการกำหนดแพทเทิร์นต่าง ๆ ซึ่งไม่เหมือนกัน หนำซ้ำยังเปลี่ยนแปลงได้เรื่อย ๆ 

“หากยังอยู่ในท่ามาตรฐานแถวตรงเมื่อสัก 4 ปีที่แล้ว ก็จะบอกลูกค้าว่าอาทิตย์แรกลูกค้าใช้มาโครก่อนเลย สร้างอายบอลล์ให้คนรับรู้เยอะ ๆ อาทิตย์ถัดมาค่อยลงสื่อ มีอินฟลูเอนเซอร์กระจายไปสัก 4-5 คน สุดท้ายใช้ไมโครก็พอเพราะคนพร้อมซื้อแล้ว แต่ให้พูดตอนนี้ไม่กล้าล่ะเพราะมันไม่เวิร์คแล้ว” 

ความที่ตลาดอินฟลูเอนเซอร์มีรูปแบบที่หลากหลาย จึงเป็นเรื่องของ สูตรใครสูตรมัน ขึ้นอยู่กับว่า แบรนด์จะใช้เพื่อทำประชาสัมพันธ์ ส่งเสริมการตลาด สร้างแบรนด์ ทำโฆษณา อีคอมเมิร์ซ ซีอาร์เอ็ม เช่น หากเป็นสินค้าที่ไม่ได้ใหม่แกะกล่อง คนเริ่มคุ้นแต่ไม่ถึงขนาดจำได้ขึ้นใจ ราคาสินค้าสัก 800 ไม่เกิน 1,200 บาท เทลสกอร์จะแนะให้ใช้ไมโคร อินฟลูเอนเซอร์ 100 คนขึ้นไป แล้วติดลิงก์ให้เพื่อวัดผลว่าขับเคลื่อนตลาดได้ ซึ่งมีเหมือนกันที่ตัวอินฟลูเอนเซอร์ที่ซื้อสินค้าเอง แต่ถ้าเป็นระดับงานโฆษณาก็จะใช้อินฟลูเอนเซอร์เบอร์ใหญ่ เน้นการมองเห็นมาก ๆ สร้างอายบอลล์มาก ๆ

“ถ้าอยากทำอีคอมเมิร์ซที่เป็นไลฟ์ขายของ อย่างแรกต้องเลือกคนดัง ราคาสินค้าต้องอยู่ในระดับที่มีกำลังซื้อพอ ๆ กับตัวอินฟลูเอนเซอร์เอง เช่น ตี๋โอซึ่งมีผู้ติดตามที่มีกำลังซื้อคล้ายกัน แต่ถ้าเป็นน้องตั้วขายถูก อินฟลูฯ ที่เด่นเรื่องสินค้าความงามและแฟชั่นในงบไม่เกินหกร้อยบาท ผู้ติดตามจะเป็นอีกกลุ่มหนึ่งที่มีกำลังซื้อพอ ๆ กัน ซึ่งเป็นกลุ่มที่เค้าตั้งใจสะสมมาและไปดูถูกกันไม่ได้ เพราะข้อดีของคนกลุ่มนี้คือ จ่ายตลอดเวลาและจ่ายทุกวัน ดังนั้น จึงขึ้นอยู่กับการเลือกใช้แพทเทิร์นไหนเพื่อให้เกิดผลประการใด”

คุณปูยกตัวอย่างผลิตภัณฑ์ความงาม ซึ่งมีรหัสสินค้า (SKU) ที่เป็นฮีโร่ประมาณ 12 ตัว ก็มี 12 แพทเทิร์นทางการตลาดซึ่งไม่เกิน 1 ปีจะมีการทบทวนกันใหม่ เช่น สินค้าไหนที่ลูกค้าติด ตัวไหนตรงตามช่วงอายุคน สินค้าบางตัวต้องรีแบรนด์เพราะมีสินค้าตัวใหม่เข้ามาแย่งตลาด เป็นต้น ซึ่งก็ต้องเลือกใช้ให้ตรงเบอร์ อย่างใช้ตัวใหญ่ทำไลฟ์ไปหลายครั้ง ปล่อยตัวกลางออกทุกเดือน สำคัญต้อง เลือกคนให้เหมาะ อินฟลูฯ บางคนดังแต่ทำไลฟ์ได้ไม่เวิร์คเท่ากับทำวิดีโอติดลิิงก์ จึงไม่สามารถบอกได้จริง ๆ ว่า ต้องเป็นแพทเทิร์นไหน

ไม่เกิน 3 เดือน แบรนด์ทุกแบรนด์ควรหาแพทเทิร์นตัวเองให้เจอ เอาให้เหมาะกับผลิตภัณฑ์และกลุ่มเป้าหมาย ยิ่งเคยทำการตลาดมาก่อนก็เหมือนคนมีความรู้ติดบ้าน ต้องเลือกใช้ให้ถูกไม่ว่าจะเป็นแกน X และ Y เช่น สินค้านี้ผู้หญิงชอบ สินค้านั้นคนซื้อเป็นบีทูบี อย่างรายการทีวีไดเร็คที่คนมักนิยมซื้อสินค้าชิ้นใหญ่ เช่น เครื่องออกกำลังกาย พัดลม ก็จะมีแพทเทิร์นของเขาอีกแบบหนึ่ง

แตกต่างสร้างสรรค์ขยันมีวินัย

คุณปูกล่าวว่า อายุของอินฟลูเอนเซอร์ มาร์เก็ตติ้งหากเปรียบกับอายุคนก็เพิ่ง 20-21 ปี และโดยแพลตฟอร์มบนโซเชียลมีเดีย เช่น TikTok Instagram Facebook Twitter YouTube LINE ที่เริ่มมีเพจด้านโซเชียล ซึ่งต่างฝ่ายต่างเร่งสร้างฟีเจอร์ใหม่ ๆ ออกมาแข่งขันกัน มีการพัฒนารูปแบบคอนเทนต์เติมต่อไปเรื่อย ๆ อีสปอร์ตหลายตัวก็เริ่มเข้ามาทำแพลตฟอร์มที่เกี่ยวกับคอนเทนต์ ดังนั้น คนที่คิดอยากเป็นอินฟลูเอนเซอร์ก็ต้องมี ซิกเนเจอร์เฉพาะตัว เพราะไม่มีใครรู้หรอกว่าสไตล์ของตัวเองจะไปถูกใจและติดลมบนคนกลุ่มหนึ่งแล้วคูณต่อไปอีกเป็นสิบเท่าได้เมื่อไหร่ ส่วนความขยันและมีวินัยเป็นสิ่งที่ต้องยิ่งทำขึ้น ๆ ไปอีก เพราะมันคือ 50% จากคะแนนเต็ม 100  

“เมื่อเราไม่ได้เข้าตลาดมาในเวลาที่อินฟลูเอนเซอร์ มาร์เก็ตติ้งเป็นเทรนด์ใหม่แกะกล่อง ก็ต้องสร้างซิกเนเจอร์ สร้างตัวตนเฉพาะขึ้นมาสักนิดนึง เติมความคิดสร้างสรรค์ลงไปอีกหน่อย ไม่ใช่อยากเป็นอินฟลูฯ สายท่องเที่ยวก็ท่องเที่ยวอะไรก็ได้ไปเรื่อย อย่างนี้ไม่เกิด แต่ถ้าปรับว่า เป็นท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์ก็จะเริ่มมีความเป็นซิกเนเจอร์มากขึ้น สำคัญต้องขยันไว้ก่อน มีวินัยสม่ำเสมอ พร้อมร่วมงานกับแบรนด์ได้ง่าย ค่าตัวไม่แพงมาก ที่เหลือก็ไปแข่งกันที่จำนวนผู้ติดตามว่า จะมาหาเราหรือไม่ เราเซ็กซี่พอไหม ซิกเนเจอร์ของเราโดดเด่นพอหรือยัง”

ข้อพึงระวัง คือ อย่าปล่อยให้ตลาดด้านอินฟลูเอนเซอร์เป็นเหมือนฟองสบู่แตกเพราะราคาค่าตัวที่สูงเกินจนเป็นพิษภัยกับอุตสาหกรรมและเพื่อนร่วมวงการ เช่น ทำงานชิ้นละล้านบาท ปล่อยคอนเทนต์ใช้งบล้านบาทแต่ได้ยอดวิวแค่นี้ คนจะเริ่มถามหาว่ามูลค่าที่แท้จริงอยู่ที่ไหน และอาจเดินจากไปเมื่อหมดความเชื่อถือ ดังนั้น ควรตั้งราคาที่เหมาะสม ตัวเราไม่ขาดทุน เพื่อให้แบรนด์อยากอยู่ด้วยเยอะ ๆ และอยากอยู่กันไปแบบยาว ๆ”

อินฟลูเอนเซอร์บนทางท้าทาย

ปัจจุบัน เทลสกอร์มีอินฟลูเอนเซอร์ในมือราว 85,000 คน ผสมระหวางเบอร์ใหญ่ที่มียอดผู้ติดตามล้านคนขึ้นไป 20% ระดับกลางมียอดผู้ติดตาม 1 แสนคนขึ้นไป 40% ซึ่งมาจากพี่ ๆ น้อง ๆ ที่โตขึ้นจากระดับไมโครฯ ด้วยตัวเขาเอง ส่วนอีก 40% ที่เหลือเป็นระดับไมโครน ที่มียอดผู้ติดตามต่ำกว่าแสนคน ส่วนต่ำสุดที่มีคือ มีผู้ติดตาม 500 คน ต่อ 1 แพลตฟอร์ม ซึ่งเทลสกอร์จะนำะพวกเขาเข้าไปอยู่ในแซนด์บ็อกซ์ที่ยังคงมีการส่งจดหมายข่าว การฝึกอบรมเผื่ออนาคตข้างหน้าจะเติบโตไปด้วยกันได้ ซึ่งกลุ่มก้อนไมโครฯ นี้ส่วนใหญ่เป็นมือสมัครเล่นที่เกิดแล้วก็ตายไป ต้องมีทดแทนกันทุกปี

“ล้มหายตายจากไปเยอะไหม ตอบว่าครึ่ง ๆ แต่ก็ถือว่าแฮปปี้นะเมื่อเทียบกับอุตสาหกรรมอื่น ๆ อีกอย่างแบรนด์ชอบระดับไมโครฯ เพราะสามารถใช้งานให้เสมือนเป็นลูกค้าไปเลย เช่นให้อินฟลูเอนเซอร์หน้าใหม่นี่แหละไปดาวน์โหลดเพลง เพราะทำ KPI ออกมาแล้วคุ้มกว่าไปยิงโฆษณาซึ่งอาจต้องจ่ายกัน 300 บาทต่อ 1 ดาวน์โหลด ขณะที่อินฟลูฯ อาจจ่ายแค่ 250 บาท แถมยังได้ข้อมูลชื่อ นามสกุล บัตรประชาชนมาอีก”

ส่วนอินฟลูเอนเซอร์หน้าใหม่มีทุกช่วงอายุอย่างเจน Z ที่มาอยู่แล้ว มาพักหลัง ๆ เริ่มเจอคนทำงานมาสักพัก อายุสัก 35 ปี มาปาวรณาตัวเป็นไมโคร อินฟลูเอนเซอร์มากขึ้น รวมถึงรับหมดจากทุกแพลตฟอร์ม ทั้ง TikTok YouTube Instagram Facebook X (Twitter) เว็บไซต์ Blog และ URL ซึ่งพบว่าอินฟลูเอนเซอร์ส่วนใหญ่จะถือแพลตฟอร์มไว้ในมืออย่างน้อย 3 ตัว ตัวหลัก ๆ ก็จะเป็น Facebook Instagram มากขึ้นในช่วง 3 ปีที่แล้ว ส่วน TikTok เข้ามาเสริมทัพภายหลัง ส่วนแพลตฟอร์มYouTube จะแยกออกไปต่างหาก เพราะทำคอนเทนต์ยากสักหน่อย ส่วนการสะสมจำนวนสมาชิกในการติดตามก็ยากเช่นกัน

เมื่อถามถึงแพลตฟอร์มคู่บุญอินฟลูเอนเซอร์ตอนนี้ คุณปูมองกลับทางว่าเป็น TikTok เพราะถูกและดี คอนเทนต์ทำง่าย สร้างช่องทางก็ง่าย อัลกอริธึมไม่ดุมาก หากคิดเริ่มต้นก็ให้เริ่มทำ TikTok ก่อนเลยจะได้มีกำลังใจ เพราะทำ 3-4 เดือนได้เพื่อนเป็นหมื่น และเพิ่มเป็นแสนได้ในอีก 6 เดือน ถึงแม้ส่วนใหญ่จะพึงพอใจกับบัญชีใช้งานของตนมีผู้ติดตามครบแสน และเหลือคนที่อยากไปต่อจริง ๆ แค่ 5% ก็ตาม แพลตฟอร์มรองลงมา ได้แก่ Facebook และ Instagram ส่วน YouTube ซึ่งมีความยากแต่ทำเงินได้ดี จะเน้นเจาะตลาดเฉพาะกลุ่มมากกกว่า Instagram และ TikTok ซึ่งแมสกว่า มีความเป็นสาธารณะกว่า

กรณีศึกษาความสำเร็จ

แม้จีนจะเป็นผู้ริเริ่มต้นแบบการใช้อินฟลูเอนเซอร์ มาร์เก็ตติ้งก็ตาม แต่การปฏิบัติมีความต่างในแต่ละที่ เช่น ด้วยโครงสร้างสังคมของจีนทำให้ผู้นำความคิดมีอิทธิพลต่อผู้ปฏิบัติตามได้ง่ายกว่าประเทศฝั่งเสรี แพลตฟอร์มในจีนเองที่มีกว่า 130 ตัว ทำให้พฤติกรรมของอินฟลูเอนเซอร์จีนจะไลฟ์ขายแต่ละครั้งต้องตั้งกล้อง 8 ตัว เมื่อเริ่มแล้วไปไหนไม่ได้เพราะเป็นชั่วโมงทำเงิน ขณะที่บ้านเราอินฟลูเอนเซอร์ไม่ต้องปากกัดตีนถีบขนาดนั้น ไป ๆ มา ๆ ประเทศไทยคือหนึ่งกรณีศึกษาของอุตสาหกรรมนี้ ประชากรคุณมีแค่ 60-70 ล้านคน แต่ทำไมอัตราการใช้โทรศัพท์ มีเดีย และอินฟลูเอนเซอร์ถึงได้มากมายขนาดที่ว่ามีบล็อกเกอร์หรืออินฟลูเอนเซอร์ประมาณ 10 ล้านคน เรียกว่า 1 ใน 7 คนมีอาชีพเสริมด้านนี้กันแล้ว ซึ่งประเทศที่คล้ายกันก็จะมีฟิลิปปินส์ อินโดนีเซีย ส่วนมาเลเซียเริ่มฉีกแนวไปทางสิงคโปร์ เริ่มมีการหวงข้อมูลส่วนบุคคล กับแบรนด์ก็เช่นกัน

ดูเหมือนประเทศที่มี การใช้งานมีเดียที่มากและหลากหลาย (Media Fragmentation)” รวมถึงปัจจัยเรื่อง สภาพภูมิประเทศที่แยกออกจากกัน เช่น ประเทศที่เป็นเกาะอย่างอินโดนีเซีย ฟิลิปปินส์ ที่การประชาสัมพันธ์เข้าไม่ถึง สื่อสารมวลชนเข้าถึงได้ประมาณหนึ่ง ทำให้อินฟลูเอนเซอร์ มาร์เก็ตติ้งเติบโตได้ดี เพราะต้องใช้ คนซึ่งคือประชากรในการทำหน้าที่เป็นสื่อให้ได้คุ้มที่สุด แต่ในประเทศที่เจริญแล้วบางประเทศ เช่น ออสเตรเลีย อินฟลูเอนเซอร์หรือบล็อกเกอร์ทำหน้าที่ไม่ต่างกับสื่อ และมีน้อยมากจนเรียกว่าขาดตลาด ตลอดจนไม่ได้มีอิสระหรือสร้างรายได้สูงแบบบ้านเรา อย่างประเทศดูไบเองหากต้องการเป็นอินฟลูเอนเซอร์แม้จะมีผู้ติดตามแค่ 1 พันคน ก็ต้องจดทะเบียนเป็นสื่อมวลชน 

“ไทยยังไม่มีภาคบังคับขนาดนั้น อาจเพราะบ้านเราออกแนวบันเทิง เน้นความคิดสร้างสรรค์ จะมีเฉพาะบางกลุ่มธุรกิจ เช่น บล็อกเกอร์สายการเงินการลงทุน สายการศึกษา วิทยาศาสตร์ที่ออกแนวดูดี มีความรู้ และเริ่มเป็นที่นิยมตีคู่มากับอินฟลูเอนเซอร์สายเอนเตอร์เทน”

TIA แรงหนุนอินฟลูฯไทย

อีกบทบาทหนึ่งของคุณปูตลอด 5 ปีที่ผ่านมา คือ การมีส่วนร่วมกับแบรนด์ TIA รางวัลแคมเปญด้านการตลาดของแบรนด์ และรางวัลอินฟลูเอนเซอร์เป็นรายบุคคลที่มอบให้กับอินฟลูเอนเซอร์หน้าใหม่ที่ถูกคัดเข้ามา 100 คนในทุกปี ด้วยความมุ่งมั่นปั้นอินฟลูเอนเซอร์ มาร์เก็ตติ้งของไทยให้มีความแข็งแกร่งมากขึ้น เพื่อให้เกิดประโยชน์จริง ๆ กับวงการ รวมถึงให้น้องใหม่ได้รับโอกาสและการจ้างงาน

คุณปูบอกว่า การมอบรางวัล TIA ให้กับแบรนด์หรืออินฟลูเอนเซอร์คนใด จะพิจารณาจากการที่เขารู้จักตัวเองดีพอหรือไม่ สามารถแกะแพทเทิร์นออกมาแล้วมีความแปลกใหม่ในการนำเสนออะไรบางอย่าง เพราะในเชิงกลไกการตลาด ขอแค่ขายได้ มียอดเอนเกจ 10-20% โดยไม่ถึงขั้นต้องลงเงินทีละ 10 ล้านบาท 20 ล้านบาท ถือว่าเข้ารอบหมด แต่ไปตัดกันที่ตรงความคิดสร้างสรรค์ว่า ใครที่สามารถมอบสูตรใหม่ ๆ แพทเทิร์นใหม่ ๆ ให้กับคนดู โดยเฉพาะการแข่งขันในปีนี้สะท้อนให้เห็นว่า ตลาดเริ่มโตเต็มที่ ส่วนใหญ่เริ่มมีความรู้ความเข้าใจและยอมรับเรื่องอินฟลูเอนเซอร์ มาร์เก็ตติ้งมากขึ้น ทั้งยังอยากส่งต่อแรงบันดาลใจให้กับนักการตลาดที่ยังไม่เคยมองเครื่องมือนี้ให้ลองมาใช้ดู” 

“70% ของอินฟลูเอนเซอร์ให้การตอบสนองมากเพราะได้ประโยชน์สุด ๆ ส่วนแบรนด์เพิ่งหันมาเห็นประโยชน์จริงจังช่วง 2 ปีหลัง เทียบกับเมื่อก่อนที่มักตั้งคำถามว่า ประกวดแล้วได้อะไร รางวัลเก๊รึเปล่า แต่พอเริ่มออกเดินมาเรื่อย ๆ แบรนด์เริ่มเข้าใจและมีมุมมองการรับรู้ดีขึ้น เม็ดเงินเริ่มถูกปล่อยออกมามากขึ้นกับการทำเรื่องอินฟลูเอนเซอร์ มาร์เก็ตติ้ง ซึ่งเป็นสิ่งที่น่าชื่นใจ” คุณปูกล่าวบทสนทนา

อศินา พรวศิน – สัมภาษณ์
WASINA- เรียบเรียง

STAY CONNECTED

0แฟนคลับชอบ
440ผู้ติดตามติดตาม
spot_img

Lastest News

MUST READ