หุ้นเทคโนโลยี ปี 2564 ยังแรงต่ออีกหรือไม่?

หลายคนประเมินว่า ราคาหุ้น Tesla จะร่วงลงหลังเข้าไปอยู่ในดัชนี S&P 500 ในช่วงวันที่ 20 ธ.ค. ที่ผ่านมา แต่สิ่งที่เกิดขึ้น คือ ราคาร่วงในช่วง 2-3 วันแรกเท่านั้น

เปิดศักราชใหม่ Tesla ยังทำนิวไฮต่อไปได้อีก จน ณ วันที่ 8 ม.ค. ปิดราคาที่ 880.02 ดอลลาร์สหรัฐ ดันมาร์เก็ตแคปจบที่ 834,170 ล้านดอลลาร์สหรัฐในวันเดียวกัน

ถ้าหากไล่เรียงไทม์ไลน์ราคาหุ้น Tesla จาก 83.67 ดอลลาร์สหรัฐเมื่อปลายปี 2562 และปิดที่ 705.67 ดอลลาร์สหรัฐสิ้นปี 2563 คิดเป็นราคาพุ่งขึ้นกว่า 743.3% ภายในปีเดียว

ที่สำคัญคือ Tesla ถูกจัดว่า เป็นบริษัทผู้นำด้านเทคโนโลยีและนวัตกรรมด้วย เพราะยานยนต์ไฟฟ้า (Electric Vehicle – EV) ที่ Tesla ผลิตและขายอยู่นั้น กำลังเป็นเมกะเทรนด์ใหม่ที่จะพลิกโฉมอุตสาหกรรมรถยนต์ทั้งโลก จากที่พึ่งพาเครื่องยนต์สันดาปภายใน (Internal Combustion Engine) ใช้น้ำมันเป็นเชื้อเพลิงมาเป็นร้อย ๆ ปี

ตอนนี้ EV อาจจะไกลเกินเอื้อมด้วยราคาค่างวดของมัน แต่ในอีก 10 ปีข้างหน้า จำนวนรถ EV บนถนนทั่วโลก จะเพิ่มขึ้น เพราะค่ายรถชั้นนำสามารถพัฒนาและผลิต EV ได้ มีต้นทุนเทคโนโลยีที่ถูกลง รวมทั้งนโยบายรัฐบาลหลาย ๆ ประเทศ กำลังจะแบนรถที่ใช้น้ำมันด้วย

เห็นได้ชัดว่า ‘บริษัทเทคโนโลยี’ กำลังมีอิทธิพลต่อการใช้ชีวิตของผู้คนทั่วโลก 

อย่าง ‘สมาร์ทโฟน’ ปัจจัยที่ 5 ที่ขาดไม่ได้ เดี๋ยวนี้ลืมหยิบกระเป๋าสตางค์ออกมาจากบ้าน อาจจะไม่เป็นไร แต่ถ้าลืมพกสมาร์ทโฟนออกมาจากบ้าน มีวกกลับไปที่บ้านอีกแน่นอน

เพราะ ‘สมาร์ทโฟน’ สามารถใช้ทำธุรกิจแทนเงินสด แถมยังถอนเงินจาก ATM ได้แล้ว

นี่คือ ตัวอย่างของคำว่า ‘Technology Breakthrough’ ความหมายในบริบทนี้คือ การพัฒนาของเทคโนโลยีที่อำนวยความสะดวกและมีบทบาทสำคัญต่อชีวิตมนุษย์

iShares ผู้ออกกองทุน ETF (Exchange Traded Fund) รายใหญ่ ที่มีมูลค่า AUM (Asset Under Management) มากที่สุดในโลกมองว่า Technology Breakthrough คือหนึ่งในเมกะเทรนด์ที่มีอิทธิพลต่อการใช้ชีวิตของมนุษย์ การดำเนินธุรกิจ และกิจกรรมทางเศรษฐกิจในทุกมิติ เพราะโลกสมัยใหม่กำลังถูกเปลี่ยนแปลงด้วยบทบาทของนวัตกรรม 

ด้วยบทบาทของเทคโนโลยีนี้เอง ทำให้คนเราปัจุบันไม่สามารถขาดคอมพิวเตอร์ แล็ปท็อป สมาร์ทโฟน หรือแท็บเล็ต ขณะเดียวกันก็ไม่สามารถขาดเครือข่ายอินเทอร์เน็ตความเร็วสูงได้ จึงเป็นที่มาของคำว่า Digital Lifestyle (วิถีชีวิตดิจิทัล) สู่ Digital Transformation (การเปลี่ยนรูปแบบด้วยบทบาทดิจิทัล)

Digital Disruption (การชะงักงันจากโลกดิจิทัล) ก็กำลังเปลี่ยนทุกอย่างบนโลกใบนี้ ไม่ว่าจะเป็นวิถีชีวิต สังคม วัฒนธรรม ธุรกิจ อุตสาหกรรม และเศรษฐกิจ ทั่วทุกมุมโลก ให้ไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป

และนี่คือ โอกาสของ ‘หุ้นเทคโนโลยี’ ที่เป็นเทรนด์การลงทุนในยุค New Normal

Covid-19 แรงผลักดัน ‘หุ้นเทคโนโลยี’

ในภาวะปกติ เทคโนโลยีมีความสำคัญในทุกการเคลื่อนไหวที่เกิดขึ้นบนโลกใบนี้ เรียกได้ว่า ฝังตัวในทุกซอกทุกมุมของชีวิตมนุษย์เรา ธุรกิจ และอุตสาหกรรมต่าง ๆ  

แต่การแพร่ระบาดของ Covid-19 เป็นตัวเร่งที่ทำให้มนุษย์ทั่วโลก หันมาพึ่งพาเทคโนโลยีและมีวิถีชีวิตดิจิทัลมากขึ้น เพื่อลดการพบปะหรือเผชิญหน้า ตามเงื่อนไข Social Distancing – ระยะห่างทางสังคม

World Economic Forum ได้สรุป 10 เทคโนโลยีหลัง Covid-19 ที่จะมีอิทธิพลต่อชีวิตผู้คนบนโลกใบนี้มากขึ้น แม้โรคระบาดจะหมดไป เทคโนโลยีเหล่านี้จะไม่หายไปแน่นอน ได้แก่ 

1. บทบาทของ E-commerce หรือช็อปปิ้งออนไลน์ 
2. บทบาทของ E-payment และ E-wallet หรือการชำระเงินด้วยระบบดิจิทัล
3. บทบาทของ Work from Home หรือการทำงานทางไกล (Remote Working)   
4. บทบาทของ E-learning หรือการเรียนทางไกล
5. บทบาทของ Telemedicine หรือการพบแพทย์ทางไกล
6. บทบาทของ Media Streaming หรือความบันเทิงออนไลน์
7. บทบาทของ Big Data ในการบริหารห่วงโซ่อุปทาน 
8. บทบาทของ 3D Printing หรือการพิมพ์ 3 มิติ
9. บทบาทของหุ่นยนต์และโดรน 
10. บทบาทของ 5G และระบบโทรคมนาคม

‘หุ้นเทคโนโลยี’ ไปได้อีกไกล

จะเห็นได้ว่า ทุกการเคลื่อนไหวบนโลกใบนี้ ล้วนขับเคลื่อนและพึ่งพาเทคโนโลยี แล้วโอกาสการลงทุนหุ้นเทคโนโลยีอยู่ตรงไหน?

เมื่อพื้นฐานและการพัฒนาเทคโนโลยีต่าง ๆ ล้วนสัมพันธ์กับการใช้งานอินเทอร์เน็ต International Telecommunication Union (ITU) บอกว่า สิ้นปี 2562 สัดส่วนประชากรทั่วโลก 51% สามารถเข้าถึงอินเตอร์เน็ต และในช่วง 14 ปีที่ผ่านมาจำนวนผู้ใช้อินเตอร์เน็ตทั่วโลกเติบโตอย่างต่อเนื่อง

ITU รายงานว่า ประเทศพัฒนาแล้วอย่างสหรัฐฯ ยุโรป ประชากรที่ใช้อินเทอร์เน็ตมีสัดส่วนสูงถึง 87% ส่วนประเทศกำลังพัฒนาอยู่ที่ 44% 

ประเด็นน่าสนใจของรายงาน ITU คือ กลุ่มคนรุ่นใหม่ อายุ 15-24 ปี มีสัดส่วนการใช้อินเทอร์เน็ตต่อประชากรทั่วโลกสูงถึง 69% ยิ่งในประเทศพัฒนาแล้ว เกือบเต็มเพดานคือ 98% ส่วนประเทศกำลังพัฒนามีสัดส่วนการใช้อินเทอร์เน็ตของกลุ่มคนรุ่นใหม่ที่ 66%

นั่นหมายความว่า คนรุ่นใหม่สามารถเข้าถึงการใช้อินเทอร์เน็ตได้สูงกว่าค่าเฉลี่ย ขณะเดียวกันพวกเขาก็สามารถเข้าถึงเทคโนโลยีต่าง ๆ ด้วยเช่นกัน

ITU บอกด้วยว่า กลุ่มคนรุ่นใหม่ที่สามารถเข้าถึงอินเทอร์เน็ตได้สูงกว่าค่าเฉลี่ยทั่วโลกอยู่ในเอเชียแปซิฟิก มีสัดส่วน 70%

ตัวเลขเหล่านี้ แสดงให้เห็น 2 ประเด็น คือ

1. กลุ่มคนรุ่นใหม่ คือ กลุ่มที่มีบทบาทต่อการใช้และการพัฒนาเทคโนโลยีในระยะต่อไป และพวกเขากำลังเป็นกลุ่มวัยผู้ใหญ่ ที่จะมีกำลังซื้อเทคโนโลยีใหม่ ๆ ได้ในอนาคต
2. 49% ของประชากรทั่วโลกยังไม่สามารถเข้าถึงและใช้อินเทอร์เน็ตได้ ประมาณ 3,700 ล้านคน ส่วนใหญ่อยู่ประเทศด้อยพัฒนา ในอนาคตที่พวกเขาสามารถใช้งานอินเตอร์เน็ตได้แล้ว ก็จะเกิดการนำเทคโนโลยีไปใช้ด้วยเช่นกัน 

จะเห็นได้ว่า ตลาดผู้ใช้อินเทอร์เน็ตยังไม่เต็มและมีช่องว่างอีกมากมาย ให้หุ้นเทคโนโลยีเข้าไปแทรกซึมและเติบโตได้อีกในระยะยาว

Jitta Wealth มองเห็นถึงความน่าสนใจในการลงทุนหุ้นเทคโนโลยี และโอกาสให้ผลตอบแทนดีในระยะยาว แม้ว่าราคาหุ้นเทคโนโลยีหลายตัวจะดูมีราคาสูง นั่นก็เพราะยังมีปัจจัยบวกด้านอื่น ๆ เข้ามาเกี่ยวข้อง เช่น ปริมาณการใช้งานจากผู้คนทั่วโลกที่เพิ่มอย่างก้าวกระโดด ส่งผลให้ผลประกอบการดีขึ้น มีความสามารถในการทำกำไรในปี 2563

ไม่ใช่แค่หุ้น Tesla เท่านั้น เพราะการแพร่ระบาดของ Covid-19 ทำให้หุ้นเทคโนโลยีที่เรารู้จักหลายบริษัท ไม่ว่าจะเป็น Google Microsoft Amazon Zoom หรือ Netflix ล้วนเติบโตสูง ทั้งราคาและผลประกอบการ

ปัจจุบัน Jitta Wealth มีบริการกองทุนส่วนบุคคล เน้นลงทุนหุ้นเทคโนโลยีทั่วโลก ได้แก่ Jitta Ranking U.S. Tech ที่จัดพอร์ตลงทุนหุ้นเทคโนโลยีชั้นดี 30 ตัวที่อยู่ในดัชนี Nasdaq และ S&P500 ผ่านอัลกอริทึมคัดเลือกหุ้นที่ Jitta พัฒนาเอง กับกองทุนส่วนบุคคล Thematic ธีมเทคโนโลยี ที่ลงทุนในกองทุน iShares Exponential Technologies ETF (XT) ซึ่งจะลงทุนใน 198 บริษัทผู้นำเทคโนโลยีและนวัตกรรม จากทุกอุตสาหกรรมทั่วโลก

เมกะเทรนด์ คือ แนวโน้มที่อยู่กับเราไปอีกนับสิบปี แล้วเทคโนโลยีใหม่ ๆ ที่เราเห็นกันตอนนี้ ยังสามารถพัฒนาไปได้ในหลายมิติ จึงยังไม่สายเกินไป หากวันนี้ คุณจะก้าวเข้าสู่สังเวียนการลงทุนหุ้นเทคโนโลยี ฝากพอร์ตของคุณให้เติบโตไปกับธุรกิจแห่งอนาคต 

บทความโดย Jitta Wealth