ในที่สุดการที่เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์นัดประชุมเจ้าหนี้ของการบินไทยทั้งสิ้น 13,333 ราย ในคดีฟื้นฟูกิจการของ บริษัท การบินไทย จำกัด (มหาชน) นั้น ผลการเจรจามีอันต้องเลื่อนการโหวต ไปเป็นวันที่ 19 พฤษภาคม ผ่านระบบออนไลน์ เพราะผู้ทำแผนและเจ้าหนี้หลายราย ได้ยื่นคำร้องขอแก้ไขแผนฟื้นฟูกิจการต่อเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์เป็นจำนวนรวม 15 ฉบับ โดยมองว่าแผนฟื้นฟูการบินไทยยังไม่มีความชัดเจน
หลายคนประเมินว่าจะยื้ออย่างไรก็ตาม คาดว่าในที่สุดแล้วเจ้าหนี้ต้องโหวตให้แผนฟื้นฟูผ่าน มิเช่นนั้นหนี้ที่มีอยู่อาจกลายเป็น “สูญ” หากเจ้าหนี้โหวตรับแผนฟื้นฟู การบินไทยจะสามารถพักชำระหนี้ และยืดระยะการชำระหนี้ได้แต่ปัญหาการฟื้นฟูกิจการที่ต้องหาแหล่งเงินทุน จำนวน 50,000 ล้านบาท เพื่อให้การบินไทยมีสภาพคล่องพอจะดำเนินธุรกิจได้ ต้องทำอย่างไร
ก่อนหน้านี้กระทรวงการคลังพยายามเสนอครม.ให้นำการบินไทยกลับเข้ามาเป็นรัฐวิสาหกิจอีกครั้ง โดยจะให้กองทุนวายุภักษ์ขายหุ้นบริษัทการบินไทยให้บริษัท ธนารักษ์พัฒนาสินทรัพย์ จำกัด (ธพส.) ซึ่งกระทรวงการคลังถือหุ้น 100% ตามพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) วิธีงบประมาณ พ.ร.บ.บริหารหนี้สาธารณะ และพ.ร.บ.เอกชนร่วมลงทุนกับรัฐ รวมถึงพ.ร.บ. อื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง โดยมีข่าวลือ ระบุว่า สุพัฒนพงษ์ พันธุ์มีเชาว์ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน และอาคม เติมพิทยาไพสิฐ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง เห็นชอบร่วมกันที่จะให้การบินไทยกลับมาเป็นรัฐวิสาหกิจ
ด้านกระทรวงคมนาคม ไม่เห็นด้วยกับการนำการบินไทยกลับมาเป็นรัฐวิสาหกิจ เนื่องจากจะก่อให้เกิดหนี้สาธารณะเพิ่มขึ้นเป็น 3 แสนล้านบาท ไม่รวมค่าใช้จ่ายเพิ่มเติมจากการเพิ่มทุนปีละ 50,000 ล้าน และหนี้สินในอนาคตอีก ซึ่งทั้งหมดต้องใช้เงินภาษีของประเทศในการอุ้มการบินไทยอีกครั้ง
ศักดิ์สยาม ชิดชอบ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม กล่าวว่า “กระทรวงคมนาคม เห็นด้วยที่จะให้การฟื้นฟูการบินไทยจริงจังแบบสถานะเอกชนฟื้นฟู เพื่อให้องค์กรเดินต่อไปได้ แต่ไม่เห็นด้วยที่จะให้รัฐไปสนับสนุนเรื่องเงินทุนหรือการเข้าไปค้ำประกันเงินกู้”
ในขณะที่การประชุม ครม. เมื่อวันที่ 11 พฤษภาคม ที่ผ่านมา มีกระแสข่าวกระทรวงการคลัง จะขอแก้มติที่ประชุม ครม.เมื่อ 19 พ.ค. 2563 เป็นการให้การบินไทยกับมาเป็นรัฐวิสาหกิจประเภท 3 ไม่ต้องอยู่ภายใต้กฎหมายกำกับรัฐวิสาหกิจ ที่สำนักงานคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจ (สคร.) ดูแล แต่ไม่มีวาระ “การบินไทย” ในการพิจารณา
ด้านกรณ์ จาติกวณิช หัวหน้าพรรคกล้า กล่าวว่า รัฐขาดความชัดเจนเรื่องการฟื้นฟูการบินไทย เหมือนปล่อยให้ผู้ทำแผนทำไป ไม่มีการกำหนดเป้าหมายว่า รัฐอยากเป็นเจ้าของการบินไทยหรือไม่ ทำให้มีเรื่องไม่ชัดเจนหลายอย่าง
เมื่อการบินไทยเข้าสู่แผนฟื้นฟูตามพรบ.ล้มละลาย หลังจากนั้นการบินไทยจะมีโครงสร้างทุนที่เหมาะสม มีกำไร มีการบริหารจัดการที่โปร่งใส คือ ไม่ได้เป็นรัฐวิสาหกิจอีกต่อไป แต่การไม่ลดทุนลดหนี้ ทำให้ยังมีภาระดอกเบี้ยประมาณ 140,000 ล้านบาท ส่วนของผู้ถือหุ้นติดลบ เจ้าหนี้ก็ยังอยากให้รัฐบาลเข้ามาค้ำประกันหนี้ใหม่ 25,000 ล้านบาทในทางกฎหมาย เท่ากับว่าการบินไทยก็ต้องเป็นมีสถานะรัฐวิสาหกิจเหมือนเดิม ไม่ใช่โครงสร้างที่เป็นที่ต้องการ
“ก่อนหน้านี้เคยมีความคิดที่จะมีข้อเสนอให้ผู้ทำแผน ขอให้ปรับลดหนี้ Hire Cut 70% ของหนี้ 30% แปลงหนี้เป็นหุ้นบุริมสิทธิ์ ได้รับปันผลก่อนหุ้นสามัญ รัฐจะได้ไม่ต้องเข้ามาเกี่ยวข้องกับการบินไทยอีกเลย”
อย่างไรก็ตาม นักธุรกิจหลายคนให้ความเห็นว่า ธุรกิจการบินทุกวันนี้มีความไม่แน่นอนสูง เพราะอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวยังไม่ฟื้น แม้จะมีสายการบินบางแห่งปิดตัวไปบ้าง แต่ถ้าเปิดน่านฟ้าให้สามารถบินได้ คาดว่าการแข่งขันก็จะสูง ไม่ว่าจะสายการบินแห่งชาติ หรือสายการบินราคาประหยัด เพราเป็นสนามแข่งขันทั้งโลก ดังนั้น หากการบินไทยสามารถรอดพ้น เจ้าหนี้เห็นชอบกับแผนฟื้นฟู การบินไทยต้องปรับตัว และประเมินศักยภาพการแข่งขันของตัวเอง ว่าไหวไหม
ทางที่ดี ควรตัดหางปล่อยวัด อย่านำการบินไทยกลับมาเป็นภาระบนบ่าของคนไทยอีก เพราะถ้าผู้บริหารมีฝีมือในการบริหารธุรกิจสายการบินจริง จะต้องแสดงฝีมือในการนำพาบริษัทดำเนินธุรกิจให้ก้าวหน้า มีกำไร ไม่ใช่เสวยสุขจากเงินเดือนสูง ๆ สวัสดิการชั้นเฟิร์สคลาส แล้วคิดแต่จะพึ่งพาเงินภาษีของประชาชนทั้งประเทศเท่านั้น เพราะมันก็จะเป็นงูกินหางตลอดไป
