TH | EN
TH | EN
หน้าแรกTechnologyหัวเว่ยเผยเทรนด์อุตสาหกรรมดิจิทัล ปี 2030 แนะใช้ 5G Cloud และ AI สร้างโอกาสทางธุรกิจ

หัวเว่ยเผยเทรนด์อุตสาหกรรมดิจิทัล ปี 2030 แนะใช้ 5G Cloud และ AI สร้างโอกาสทางธุรกิจ

บริษัท หัวเว่ย เทคโนโลยี่ (ประเทศไทย) จำกัด เผยเทรนด์สำคัญภายในปี ค.ศ 2030 ด้านเทคโนโลยีดิจิทัลสำหรับภาคอุตสาหกรรมต่าง ๆ ทั้งในประเทศไทยและระดับโลก ในงานประชุมวิชาการ C.P. Symposium 2022 แนะภาคอุตสาหกรรมนำเทคโนโลยี 5G Cloud และ AI มาประยุกต์ใช้เพื่อการปฏิวัติวงการ ตอบโจทย์ความต้องการลูกค้าได้อย่างเต็มที่ และสร้างโอกาสทางธุรกิจใหม่ ๆ

ทั้งนี้ อุตสาหกรรมท่าเรือ 5G Smart Port เป็นหนึ่งในอุตสาหกรรมที่น่าจับตามอง ทั้งยังมองว่าเทคโนโลยีการประมวลผลคอมพิวเตอร์จะกระจายตัวอย่างเท่าเทียมมากยิ่งขึ้น เทรนด์พลังงานทางเลือกดิจิทัลจะเข้ามาทดแทนพลังงานฟอสซิลในอีกไม่ช้า และ 7 ภาคอุตสาหกรรมจะเริ่มปรับตัวรับความต้องการของผู้บริโภคด้วยเทคโนโลยีอัจฉริยะ

ดร. ชวพล จริยาวิโรจน์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท หัวเว่ย เทคโนโลยี่ (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวในงานประชุมวิชาการ C.P. Symposium 2022 ภายใต้หัวข้อ “ปรับโฉมการเปลี่ยนผ่านของภาคอุตสาหกรรมสู่ยุคอัจฉริยะด้านดิจิทัลอันเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม (Shaping Industry Transition towards Digital and Green Intelligent)” ว่า “ในมุมมองของหัวเว่ย เทคโนโลยีเป็นตัวช่วยผลักดันให้เกิดผลกระทบใหม่ในภาคอุตสาหกรรมต่าง ๆ ถือเป็นนวัตกรรมสำคัญที่องค์กรต้องมีเพื่อให้สามารถปฏิวัติ (disrupt) วงการและตัวองค์กรเองได้ ถึงแม้ในวงการธุรกิจ การที่เราตามหลังคู่แข่งเป็นเวลา 1-2 ปียังสามารถพลิกกลับมาไล่ตามได้ทัน แต่ในแง่ของเทคโนโลยี หากเราล้าหลังกว่ารายอื่น 1-2 ปีก็ตามไม่ทันแล้ว องค์กรต่าง ๆ จึงไม่ควรวางตัวเองในสภาพแวดล้อมเดิม ๆ เพราะจะทำให้โดนทิ้งอยู่เบื้องหลังเหมือนที่เคยเกิดขึ้นในช่วงการเปลี่ยนผ่านจากโทรศัพท์มือถือแบบอนาล็อกมาเป็นสมาร์ทโฟน

นอกจากนี้ สิ่งสำคัญของเทคโนโลยี คือช่วยให้องค์กรเข้าใจความคิดและความต้องการของลูกค้าได้อย่างลึกซึ้ง ทำให้คาดการณ์ได้ว่าลูกค้ากำลังอยากจะได้อะไร ไปจนถึงใช้เพื่อช่วยวางกลยุทธ์ตอบโจทย์ความต้องการลูกค้าในอนาคตก่อนที่ลูกค้าจะรู้ตัวเสียอีก”

ทั้งนี้ ดร.ชวพล ได้ให้ข้อมูลเพิ่มเติมว่า ภาคอุตสาหกรรมต่าง ๆ จะหันมาประยุกต์ใช้เทคโนโลยี 5G Cloud และ AI เป็นหลักในยุคอุตสาหกรรมดิจิทัลที่กำลังจะมาถึง ตัวอย่างที่เห็นได้ชัดคืออุตสาหกรรม 5G Smart Portในท่าเรือเทียนจิน ประเทศจีน ที่ต้องรองรับจำนวนตู้คอนเทนเนอร์สินค้ามากถึง 3-5 ล้านตู้ต่อปี ด้วยสภาพแวดล้อมการปฏิบัติงานของท่าเรือที่มีความเสี่ยงและมีอันตรายสูงต่อบุคลากรในพื้นที่ การนำเทคโนโลยี 5G Cloud AI มาประยุกต์ใช้จะทำให้ผู้ปฏิบัติงานสามารถสั่งการจากระยะไกลได้เป็นระยะทาง 1-2 กิโลเมตร ด้วยความเร็วการเชื่อมต่อ 1 Gbps การมีค่าความหน่วง (Latency) ที่ต่ำมาก และการรองรับพื้นที่การเชื่อมต่อเป็นวงกว้าง

ทั้งนี้ เทคโนโลยีท่าเรืออัตโนมัติและการควบคุมสั่งการจากระยะไกล ช่วยให้ท่าเรือเทียนจินสามารถลดต้นทุนด้านบุคลากรลงไปได้ประมาณ 60-70% ลดต้นทุนการประกอบการในภาพรวมได้ถึง 10% ทั้งยังช่วยเพิ่มประสิทธิภาพและความปลอดภัยในการปฏิบัติงาน โดยเครือข่าย 5G จะทำให้เจ้าหน้าที่เพียง 1 คน สามารถควบคุมเครนจากระยะไกลได้ถึง 4 ตัว และเปลี่ยนยานพาหนะขนส่งตู้คอนเทนเนอร์ด้านล่างให้เป็นรถอัตโนมัติไร้คนขับ มีความเร็วและเชื่อมต่อระหว่างอุปกรณ์ได้ดียิ่งขึ้น ทั้งยังควบคุมมาตรฐานของประสิทธิภาพการทำงานได้ดีขึ้น

ทิศทางอุตสาหกรรมปี 2030 ใน 7 ภาคอุตสาหกรรมสำคัญ

  1. ภาคสาธารณสุขที่จะเน้นเรื่องการป้องกันโรค (Wellness) มากกว่าการรักษา โดยใช้เทคโนโลยีช่วยคาดการณ์ความเป็นได้ของกลุ่มลูกค้าที่อาจมีความเสี่ยงต่อโรค รวมทั้งการนำดิจิทัลเทคโนโลยีมาเพิ่มศักยภาพให้บุคลากรจำนวนเท่าเดิมสามารถดูแลผู้ป่วยได้มากขึ้น 
  2. ภาคอุตสาหกรรมอาหาร อาจมีการทำ Precision Farming หรือ เกษตรที่มีความแม่นยำ เพื่อให้ประสิทธิภาพการเพาะปลูกดีขึ้น ลดการใช้ยาฆ่าแมลงหรือสารเคมี รวมถึงไปภาคโภชนาการ สามารถใช้เครื่องพิมพ์ 3D เพื่อทำอาหารประเภทแพลนต์เบส 
  3. ภาคอสังหาริมทรัพย์ จะสามารถใช้เทคโนโลยีจัดการพื้นที่อยู่อาศัยให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น และทำให้อุปกรณ์ในบ้านสื่อสารข้อมูลกันเองได้อัตโนมัติ เพื่อให้สอดคล้องกับพฤติกรรมเจ้าของบ้านมากขึ้น 
  4. ภาคคมนาคม จะเน้นรถอัตโนมัติไร้คนขับแบบคาร์บอนต่ำ 
  5. ภาคเมือง จะเปลี่ยนเป็นสมาร์ทซิตี้ โดยประชาชนจะสามารถเข้าถึงบริการต่าง ๆ ของหน่วยงานทั้งภาครัฐและเอกชนได้สะดวกยิ่งขึ้น 
  6. ภาคองค์กรธุรกิจ จะนำเทคโนโลยีอัจฉริยะมาปรับกระบวนการดำเนินงานให้มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น
  7. ภาคอุตสาหกรรมพลังงาน จะเริ่มเห็นการเปลี่ยนแปลง มีการใช้สร้างพลังงานทางเลือกอื่น ๆ มากขึ้น

ดร.ชวพล กล่าวเสริมว่า บริการต่าง ๆ ในอนาคตจะต้องส่งมอบประสบการณ์แบบ Deterministic Experience เพื่อการันตีความเร็วและค่าความหน่วงให้กับลูกค้าในภาคอุตสาหกรรมแต่ละแบบที่มีความต้องการใช้งานที่แตกต่างกัน นอกจากนี้เทรนด์การประมวลผลคอมพิวเตอร์ในอนาคตก็จะกระจายตัว (Decentralized) ให้เข้าถึงได้อย่างแพร่หลายมากขึ้น เพื่อให้เหมาะกับการใช้งานเชิงพาณิชย์ในวงกว้าง และเทรนด์ดิจิทัลพาวเวอร์ หรือพลังงานสะอาดรูปแบบอื่น ๆ จะเข้ามาทดแทนเชื้อเพลิงฟอสซิลอย่างแน่นอน

ข่าวอื่น ๆ ที่น่าสนใจ

SCGC จับมือ สจล. ต่อยอดงานวิจัยเชิงพาณิชย์ ตอบโจทย์เมกะเทรนด์โลก

Nutanix เปิดตัว Cloud Clusters (NC2) บน Microsoft Azure

STAY CONNECTED

0แฟนคลับชอบ
440ผู้ติดตามติดตาม
spot_img

Lastest News

MUST READ