TH | EN
TH | EN
หน้าแรกColumnistNew Year Resolution ลงทุนอย่างมีเป้าหมาย พอร์ตแกร่งพิชิตผลตอบแทนรับปีเสือนอนกิน

New Year Resolution ลงทุนอย่างมีเป้าหมาย พอร์ตแกร่งพิชิตผลตอบแทนรับปีเสือนอนกิน

สวัสดีปีใหม่ 2565 ครับ ปีแห่งความหวังของทุกคน ขอให้ทุกอย่างดีกว่าปีก่อน ๆ ผมเชื่อว่า เริ่มต้นปี ทุกคนต่างวางเป้าหมายสิ่งที่จะทำในปีนี้ ไม่ว่าจะเป็นการตั้งเป้าหมายใหม่ ๆ หรือสานเป้าหมายของปีที่แล้วให้สำเร็จ มาตั้งหลักเดินหน้ากันตั้งแต่ต้นปีดีกว่า จัดให้เป็น New Year Resolution รับปีเสือนอนกินกันครับ

แน่นอนว่า 1 ในเป้าหมายใหญ่ของหลาย ๆ คนคงหนีไม่พ้น เรื่องการเก็บเงินให้ได้มากขึ้นกว่าเดิม ผมเชื่อว่าใคร ๆ ก็มองหาโอกาสการทำเงินให้ได้ดอกผลที่มากกว่าดอกเบี้ยเงินฝากที่ต่ำเตี้ย ทุกวันนี้ดอกเบี้ยเงินฝากออมทรัพย์ไม่ถึง 0.25% หรือ 25 สตางค์ ถ้าดอกเบี้ยฝากประจำ 1 ปีขึ้นไปก็รับดอกเบี้ยราว 0.75-1% หรือ 1 บาท ซึ่งทำให้คนจำนวนมากโยกเงินฝากไปลงทุนผ่านสินทรัพย์การเงินต่าง ๆ เช่น กองทุนรวม ที่มีผู้จัดการกองทุนบริหารเงินลงทุนให้ ที่ผ่านมามีเงินไหลเข้ากองทุนรวมเพิ่มขึ้นทุกปี 

ข้อมูลภาพรวมกองทุนรวมจาก Morningstar Thailand ในช่วง 9 เดือนแรก ปี 2564 กองทุนรวมมีมูลค่า AUM ราว ๆ 4.2 ล้านล้านบาท เติบโต 5.5% เทียบกับสิ้นปี 2563 หากแยกดูตามประเภทสินทรัพย์ต่าง ๆ พบว่า มีเงินไหลเข้ากองทุนรวมหุ้นเกือบ 200,000 ล้านบาทและกองทุนตราสารหนี้ ไหลเข้าสุทธิ 54,000 ล้านบาท ส่วนกองทุนตลาดเงิน เม็ดเงินไหลออกต่อเนื่อง 120,000 ล้านบาท เพราะโยกไปลงทุนในสินทรัพย์อื่น ๆ ที่ให้ผลตอบแทนดีกว่าแค่ดอกเบี้ย

นอกจากนี้ ยังมีกองทุนรวมสินค้าโภคภัณฑ์ เงินไหลออกสุทธิ 4,700 ล้านบาท ซึ่งเป็นผลจากราคาทองคำที่ร่วงแรง แต่ก็ยังมีกลุ่มพลังงานที่ให้ผลตอบแทนสูงถึง 64% จากราคาน้ำมันที่ไต่ระดับสูงขึ้น จึงทำให้เงินไหลเข้าสุทธิกองทุนรวมสินค้าโภคภัณฑ์กว่า 130,000 ล้านบาท

และยังพบอีกว่า เงินส่วนใหญ่ไหลเข้ากองทุนรวมต่างประเทศ (ไม่รวม Term Fund) จำนวนมากโดยรอบ 9 เดือนแรก ปี 2564 มีเงินไหลเข้ากว่า 250,000 ล้านบาท หรือเฉลี่ยไตรมาสละ 70,000 ล้านบาท สะท้อนถึงความมั่นใจของนักลงทุนไทยในการออกไปลงทุนต่างประเทศมากขึ้น ส่งผลให้กองทุนรวมต่างประเทศทั้งระบบ มีมูลค่าทรัพย์สินสุทธิ 1.1 ล้านล้านบาทแล้ว คิดเป็นสัดส่วน 1 ใน 4 ของกองทุนรวมทั้งระบบเลยทีเดียว โดยเฉพาะช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา เติบโตรวดเร็วมาก 

คนไทยหลั่งไหลกันออกไปลงทุนในต่างประเทศมากขึ้น ส่วนหนึ่งเป็นเพราะบริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) ออกกองทุนรวมที่ลงทุนสินทรัพย์ต่าง ๆ ในต่างประเทศจำนวนมาก ขณะเดียวกันบริษัทหลักทรัพย์ (บล.) เปิดบริการให้ลงทุนในหุ้นและ ETF (Exchange Traded Fund) ต่างประเทศได้โดยตรง พร้อมค่านายหน้าซื้อขายที่ไม่สูงมาก นักลงทุนไทยจึงมีทางเลือกมากขึ้น

ยิ่งทุกวันนี้ สถาบันการเงินยังได้พัฒนาเทคโนโลยีใหม่ ๆ อย่าง AI (Artificial Intelligence) หรือปัญญาประดิษฐ์ ให้เป็นผู้ช่วยตัวเก่งกาจในการวิเคราะห์และคัดเลือกสินทรัพย์การเงินทั่วโลก ประสานพลังกับผู้จัดการกองทุน นักลงทุนไทยจึงมีความมั่นใจและกล้าที่จะออกไปลงทุนมากขึ้น เพื่อแสวงหาโอกาสสร้างผลตอบแทนที่ดีกว่าเดิมและกระจายความเสี่ยงได้ด้วย

เทรนด์คนไทยออกไปลงทุนต่างประเทศกันคึกคัก สะท้อนให้เห็นถึงความพึงพอใจกับผลตอบแทนที่ได้รับ แต่ก็ต้องยอมรับว่า การเลือกลงทุนในสินทรัพย์ต่าง ๆ ทั้งในไทยหรือต่างประเทศที่มีจำนวนมากมาย ไม่ใช่เลือกได้ง่าย ๆ โดยเฉพาะนักลงทุนมือใหม่ที่อยากเข้ามาลงทุนอาจจะเริ่มต้นวางแผนและเลือกสินทรัพย์ไม่ถูก กลายเป็นโจทย์หนักใจขึ้นมาว่า จัดพอร์ตลงทุนแบบไหนดีที่ถูกจริตคุณ ตรงเป้าหมาย บนความเสี่ยงที่ยอมรับได้ เรื่องนี้ผมมีคำตอบครับ

บาลานซ์ความเสี่ยงกับผลตอบแทน

ผมขอพูดถึงแนวการจัดพอร์ตง่าย ๆ ไม่ซับซ้อน จาก Jitta Wealth ซึ่งนำ AI มาช่วยบริการจัดพอร์ตลงทุนให้ เพราะศักยภาพของสมองกล AI มีพื้นที่ความจำที่ไม่จำกัด ซึ่งมนุษย์สามารถออกแบบและพัฒนาอัลกอริทึมใส่ใน AI  ทำการวิเคราะห์เชิงลึกจากข้อมูลต่างๆ ย้อนหลังของหุ้นและ ETF ได้เป็นแสน ๆ ล้าน ๆ สินทรัพย์ทั่วโลก โดยเฉพาะการวิเคราะห์งบการเงินย้อนหลัง 10 ปี เพื่อประมวลผลในการเลือกสินทรัพย์ที่น่าลงทุนในราคาที่เหมาะสมและมีโอกาสเติบโตในระยะยาว 

จุดเด่นการใช้ AI ช่วยลงทุน จะไม่มีอารมณ์และอคติเข้ามาเกี่ยวข้องในการเลือกสินทรัพย์ และรักษาวินัยในการอัปเดตข้อมูลตามที่ตั้งค่าไว้ เช่น ทุกไตรมาสที่งบการเงินออกมา หากพบว่ามีการเปลี่ยนแปลงที่นำไปสู่ความเสี่ยงที่มีนัยยะสำคัญ ก็จะทำการปรับพอร์ตเลือกสินทรัพย์ใหม่ ๆ ให้ทุกไตรมาส   

เนื่องจาก AI เป็นสมองกลที่ทำงานตลอดเวลา เวลาที่เกิดเหตุการณ์สร้างความผันผวนกระทบในช่วงระยะสั้น ๆ ก็ช่วยดูแลไม่ให้มูลค่าพอร์ตติดลบหนัก ๆ และปรับการลงทุนในช่วงเวลานั้น ๆ เพื่อสามารถสร้างผลตอบแทนทบต้น ตามหลักการลงทุนระยะยาว

เพราะฉะนั้น คุณมั่นใจได้ว่า AI ช่วยลดภาระในการศึกษาหุ้นและ ETF ด้วยตัวเอง ภายใต้การวิเคราะห์และเลือกลงทุนอยู่บนพื้นฐานของสินทรัพย์ที่น่าลงทุนที่สุด แต่ละบริษัทที่มีรายได้เติบโตในระยะยาว หรือกลุ่มธุรกิจนั้น ๆ เป็นเมกะเทรนด์ที่จะเป็นขาขึ้นในอีก 10-20 ปีข้างหน้า 

ด้วยการทำงานตลอดเวลาของ AI ยังมีการเรียนรู้เมื่อเกิดเหตุการณ์ไม่คาดฝันต่าง ๆ ขึ้น ราคาหุ้นและ ETF เปลี่ยนแปลงได้ทุกวัน อัลกอริทึมจะเรียนรู้จากความเคลื่อนไหวเหล่านี้ และปรับพอร์ตลงทุนอย่างเหมาะสม นี่คือ พลังของ AI ที่เข้ามาช่วยให้ชีวิตการลงทุนและการบริหารความเสี่ยงมีความลงตัว

มือใหม่เริ่มต้นลงทุนอย่างไร

สำหรับใครที่ตั้งเป้าหมาย เริ่มต้นปั่นพอร์ตลงทุน รับปี 2565 ปัจจุบัน Jitta Wealth มีกองทุนส่วนบุคคลที่ลงทุนในสินทรัพย์ 2 ประเภท อย่างแรก คือ ETF เป็นกองทุนที่สามารถลงทุนในสินทรัพย์ต่าง ๆ ตามนโยบายที่ออกแบบไว้ สินทรัพย์เหล่านั้น ได้แก่ หุ้น ตราสารหนี้ สินค้าโภคภัณฑ์ จุดเด่นของ ETF คือ ซื้อขายในตลาดหุ้น เหมือนกับหุ้นบริษัท ราคาเคลื่อนไหวแบบเรียลไทม์ และ ETF จะลงทุนในหลาย ๆ สินทรัพย์ประเภทเดียวกัน ช่วยกระจายความเสี่ยงได้ดีกว่า 

อย่างที่สอง คือ หุ้นบริษัทที่ซื้อขายในตลาดหุ้น เมื่อลงทุนหุ้น 1 บริษัท เท่ากับเป็นเจ้าของบริษัทนั้น ๆ ตามสัดส่วนที่ครอง ทำให้มีความเสี่ยงสูงกว่า ETF หุ้นที่กระจายลงทุนได้หลาย ๆ บริษัท

เมื่อรู้จักสินทรัพย์ที่น่าลงทุนแล้ว มาดูการจัดพอร์ตลงทุนตามระดับความเสี่ยงและผลตอบแทนของกองทุนส่วนบุคคล Jitta Wealth จัดพอร์ตผ่าน 3 นโยบาย ได้แก่

Global ETF สูตรสำเร็จพอร์ตลงทุนระยะยาวและผลตอบแทนชนะเงินเฟ้อ โดยหลัก ๆ จะลงทุนในตราสารหนี้และหุ้นทั่วโลก ผ่าน ETF ของ 2 บริษัทจัดการลงทุนยักษ์ใหญ่ของโลกอย่าง iShares และ Vanguard โดยได้แบ่งย่อย  3 แผนการลงทุน ได้แก่ พอเพียง (เสี่ยงต่ำ) สมดุล (เสี่ยงปานกลาง) และเติบโต (เสี่ยงสูง)

Thematic ลงทุนตามธีมธุรกิจเมกะเทรนด์แห่งอนาคตและธีมตลาดหุ้นใหญ่ที่มีศักยภาพเติบโต สร้างผลตอบแทนไปกับ Passive ETF ค่าธรรมเนียมต่ำ ปรับพอร์ตอัตโนมัติ ซึ่งจะมีให้เลือก 2 แผนการลงทุน ได้แก่ Thematic DIY เลือกธีมจัดพอร์ตลงทุนเอง และ Thematic Optimize ที่ ให้ AI วิเคราะห์ธีมจัดพอร์ตให้

Jitta Ranking  ลงทุน ‘หุ้นดีราคาถูก’ หรือ ‘หุ้นดีมีโอกาสเติบโต’ โดย AI ของแพลตฟอร์ม Jitta จัดอันดับหุ้นที่น่าลงทุนที่สุด และมีระบบปรับพอร์ตอัตโนมัติทุก 3 เดือน เพื่อผลตอบแทนที่ดีที่สุดในระยะยาวและสูงกว่าดัชนีอ้างอิง ซึ่งจะมีหุ้นไทย เวียดนาม จีน และสหรัฐอเมริกา รวมไปถึงหุ้นรายตัวในกลุ่มเทคโนโลยีสหรัฐฯ โดยจะให้จัดพอร์ต 5-30 หุ้น 

ทั้ง 3 นโยบายเป็นพอร์ตลงทุนระยะยาว มีเป้าหมาย คือ สร้างผลตอบแทนทบต้น หากเริ่มต้นลงทุนแล้ว ผมแนะนำให้ใช้เวลา 3-5 ปี สำหรับ Global ETF หรือนานกว่านั้น สำหรับ Thematic และ Jitta Ranking เพื่อให้เงินทำงานอย่างเต็มที่ หากลงทุนนานกว่า 10 ปี มูลค่าพอร์ตจะเติบโตอย่างยั่งยืน

อ่านมาถึงตรงนี้ ผมเชื่อว่า นักลงทุนมือใหม่น่าจะจับทิศทางลงทุนบาลานซ์ความเสี่ยงกับผลตอบแทนกันได้บ้างแล้ว หากคุณมีเข็มทิศการลงทุนที่ชัดเจนและต้องการเริ่มลงทุน ก็จะทำให้เงินลงทุนทำงานได้เร็วขึ้น โอกาสที่จะได้รับผลตอบแทนก็จะมีมากกว่าการปล่อยเวลาให้ผ่านไปโดยไม่เริ่มลงทุนอะไรเลย 

รับมืออย่างไร พอร์ตลงทุนติดลบ 

ผมขอแถมให้สำหรับใครที่พอร์ตลงทุนติดลบ หรือพลาดเป้าหมาย ก็อย่ายอมแพ้นะครับ คุณลองทบทวนดูว่า สาเหตุที่มูลค่าพอร์ตลดลงตอนนี้ มาจากปัญหาอะไร คุณเริ่มต้นลงทุนโดยฟังจากการบอกต่อ ๆ กันมาไม่มีการพิจารณาไตร่ตรองอย่างถี่ถ้วนหรือไม่ หรือคุณลงทุนระยะสั้นเกินไป เพื่อจะได้ตั้งหลักการและเป้าหมายการลงทุนใหม่ ลองดูหลักการที่ผมพูดถึงในช่วงแรก ๆ เน้นลงทุนระยะยาว มีวินัย เลือกสินทรัพย์ที่ดี มีโอกาสเติบโต จะทำให้คุณคลายความกังวลลงมาได้ครับ

กรณีพอร์ตลงทุนติดลบ เพราะมาจากสถานการณ์ต่าง ๆ ที่สร้างความผันผวนในระยะสั้น เป็นปัจจัยที่นอกเหนือการควบคุม ขอให้คุณทำใจหนักแน่น และกลับมาวิเคราะห์ว่า สินทรัพย์ที่ลงทุนมีปัจจัยพื้นฐานแข็งแรงดีอยู่หรือไม่ และยังสามารถเติบโตในระยะยาวได้หรือไม่ เพราะหากคุณมั่นใจว่าเลือกลงทุนในสินทรัพย์ที่แข็งแกร่ง  แน่นอนว่า หลังเหตุการณ์ร้ายๆ นั้นผ่านไป ตลาดหุ้นตอบรับสถานการณ์เหล่านั้นแล้ว มูลค่าพอร์ตของคุณจะกลับมาและเติบโตต่อไปได้ 

อย่างที่ Warren Buffett บอกไว้ว่า การคาดเดาว่าฝนจะตก หรือน้ำจะท่วมเมื่อไร ไม่มีประโยชน์ สิ่งสำคัญ คือ การสร้างเรือที่แข็งแรง เพราะต่อให้เกิดอะไรขึ้น เรือคุณก็จะทานกระแสน้ำและอยู่รอดได้ เรือในที่นี้ คือ สินทรัพย์การเงินที่มีคุณภาพดี สามารถฝ่าฟันทุกความผันผวนในโลกการลงทุนได้ครับ

อย่างไรก็ตาม หากพอร์ตลงทุนของคุณได้รับผลกระทบอย่างมีนัยจริง ๆ ก็แนะนำให้ตั้งหลักเพื่อทำการปรับเป้าหมายลงทุนใหม่ ซึ่งวิธีรับมือเวลาพอร์ตติดลบ ได้แก่

วิธีแรก การเพิ่มทุนเพื่อเฉลี่ยต้นทุนในพอร์ต คว้าจังหวะในช่วงราคาหุ้นและ ETF ขาลง เพราะราคาจะเคลื่อนไหวเป็นรายวัน ยิ่งเวลาที่มีข่าวเชิงลบหรือวิกฤตเกิดขึ้น และสร้างความผันผวนระยะสั้น เมื่อวิกฤตนั้นมีทางออกที่ดี หรือตลาดหุ้นตอบรับกระแสข่าวนั้นๆ มานานพอแล้ว ราคาหุ้นและดัชนีตลาดจะกลับเข้าสู่พื้นฐานเดิม  วิธีนี้สำหรับคนที่ยังมั่นใจในพอร์ตลงทุน เชื่อมั่นในสินทรัพย์นั้น ๆ และโอกาสเติบโตระยะยาว

วิธีที่สอง คนที่ยังไม่มั่นใจในพอร์ตของตัวเอง แนะให้รอดูสถานการณ์ก่อนว่า สินทรัพย์ที่เลือกลงทุนไว้ยังแข็งแกร่งอยู่หรือไม่ เห็นว่าถ้าลงทุนต่อจะเสียโอกาส  ก็สามารถใช้เวลาคิดไตร่ตรองหาข้อมูลและทำความเข้าใจกับแนวทางการลงทุนในสินทรัพย์นั้น ๆ อีกครั้งให้รอบคอบ ก่อนตัดสินใจเดินหน้าต่อหรือปรับพอร์ตลงทุนต่อไป

สุดท้าย ผมอยากบอกว่า ทุกคนรู้อยู่แล้วว่า โลกนี้ไม่มีอะไรแน่นอน ไม่มีใครคาดการณ์ล่วงหน้าได้หมดทุกเรื่อง ในโลกแห่งการลงทุนก็เช่นกันครับ เพราะการสร้างพอร์ตที่แข็งแกร่ง จะช่วยให้ผ่านวิกฤติต่าง ๆ ไปได้ และจะทำให้คุณพิชิตเป้าหมายลงทุน สร้างความมั่งคั่งเป็นหลักประกันสุขภาพทางการเงิน ขอให้ทุกคนลงทุนประสบความสำเร็จทุกสิ่งที่ลงมือทำ ในปีเสือนอนกิน ปี 2565

ผู้เขียน: ตราวุทธิ์ เหลืองสมบูรณ์ CEO จาก Jitta Wealth

บทความอื่น ๆ ของผู้เขียน

ธุรกิจเกมและอีสปอร์ต เครื่องยนต์แรงม้าสูง ขับเคลื่อนเทรนด์ Metaverse

จับตา Thematic Investment สไตล์การลงทุนสุดฮอต

เทรนด์ ‘ซื้อก่อนจ่ายทีหลัง’ ดิสรัปบัตรเครดิต เสริมทัพธีม ‘ฟินเทค’ โตแกร่ง

STAY CONNECTED

0แฟนคลับชอบ
440ผู้ติดตามติดตาม
spot_img

Lastest News

MUST READ