TH | EN
TH | EN
หน้าแรกTechnologyออราเคิลเผย 5 กุญแจสำคัญสู่ความสำเร็จทางธุรกิจในเอเชียแปซิฟิก

ออราเคิลเผย 5 กุญแจสำคัญสู่ความสำเร็จทางธุรกิจในเอเชียแปซิฟิก

ผู้เขียนหนังสือขายดีและที่ปรึกษาด้านการบริหาร ปีเตอร์ ดรักเกอร์ เคยกล่าวไว้ว่า “วิธีการที่ดีที่สุดในการพยากรณ์อนาคต คือ การสร้างมันขึ้นมาเอง” สำหรับผู้บริหารระดับสูงที่ต้องการขับเคลื่อนองค์กรด้วยเทคโนโลยีทั้งในปี 2022 และอนาคต คุณคิดว่าพวกเขาต้องพิจารณาถึงสิ่งสำคัญเรื่องใดบ้าง? วันนี้ คริส เชลลิอาห์ รองประธานกรรมฝ่ายกลยุทธ์ลูกค้าแผนกข้อมูลและการพัฒนาธุรกิจ ออราเคิลประจำภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกและญี่ปุ่น จะมาแบ่งปันแนวคิดที่ได้จากการไปพูดคุยกับบรรดาผู้บริหารระดับสูงทั่วเอเชียแปซิฟิก

1. คณะกรรมการต้องเปลี่ยนแปลงการลงทุนกับระบบคลาวด์อย่างจริงจัง

ข้อมูลของ Statista ระบุว่า ทั่วโลกจะใช้จ่ายเงินอย่างมหาศาลราว 1.78 ล้านล้านดอลลาร์ไปกับเทคโนโลยีคลาวด์และแผนการเปลี่ยนแปลงสู่ระบบดิจิทัลรูปแบบอื่น ๆ ในปี 2022 คำถามก็คือบริษัทและหน่วยงานรัฐบาลกำลังลงทุนเพื่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงจริง ๆ หรือพวกเขาแค่กำลังทำงานด้านดิจิทัลแบบผักชีโรยหน้าเพื่อให้เกิดสิ่งที่ Foresster เรียกว่า “ความซ้ำซากเรื่องดิจิทัล?” การเปลี่ยนแปลงไปสู่ระบบคลาวด์ รวมถึงเทคโนโลยีอัตโนมัตินั้นมีความสำคัญอย่างยิ่งยวด

ในภาคเอกชนนั้นเราพบว่าอุตสาหกรรมทุกประเภทจะมีองค์กรอย่างน้อยหนึ่งรายที่ใช้ระบบดิจิทัลทำงานบนคลาวด์ ปรากฏขึ้นมาสร้างความเปลี่ยนแปลงให้เห็นแล้ว โดยพบเห็นทั้งในธุรกิจค้าปลีก สื่อ ความบันเทิง การท่องเที่ยว การศึกษา ลอจิสติกส์ บริการทางการเงิน เฮลธ์แคร์ เครื่องใช้ไฟฟ้า และการขนส่ง

ยกตัวอย่างเช่น Singtel หนึ่งในกลุ่มบริษัทการสื่อสารชั้นนำของเอเชียซึ่งจับมือเป็นพันธมิตรกับธุรกิจสตาร์ตอัพมูลค่าสูงอย่างแกร็บ (Grab) เพื่อนำเสนอบริการธนาคารให้แก่ผู้ค้าปลีกและลูกค้าองค์กรในสิงคโปร์ จึงเป็นที่คาดการณ์ว่าในอนาคตจะได้เห็นความร่วมมือด้านดิจิทัลรูปแบบใหม่ ๆ มากยิ่งขึ้นในภาคธุรกิจอื่น ๆ

แน่นอนองค์กรที่เล็งเห็นว่าคลาวด์คือสิ่งกอบกู้วิกฤติและสร้างความสะดวกสบายย่อมจะได้รับผลตอบแทนมหาศาล เช่นเดียวกับที่ Gartner เรียกคลาวด์ว่า “ตัวเสริมแรงแบบทวีคูณ” เพราะถือเป็นพื้นฐานด้านเทคโนโลยีที่มีความยืดหยุ่นและปรับเปลี่ยนขนาดได้ซึ่งเอื้อต่อการพัฒนานวัตกรรมและการเติบโตในระยะยาวเริ่มได้ยินบ่อยขึ้นเรื่อย ๆ ว่าระบบคลาวด์มอบอิสระแก่ผู้ปฏิบัติงานด้านเทคนิคให้หลุดพ้นจากงานที่น่าเบื่ออย่างการดูแลความปลอดภัยหรือการบำรุงรักษาระบบช่วยให้พวกเขามีเวลาใช้ความคิดเพื่อการพัฒนาผลิตภัณฑ์และบริการดิจิทัลที่มีความโดดเด่นและสร้างผลกำไรได้มากกว่า

นอกจากนี้ยังปฏิเสธไม่ได้ว่าคลาวด์ช่วยเพิ่มความสะดวกสบายในธุรกิจที่ขับเคลื่อนด้วยข้อมูล ผ่านการใช้เครื่องมือที่ติดตั้งปัญญาประดิษฐ์ (Artificial Intelligence: AI) และระบบการเรียนรู้ของเครื่อง (Machine Learning: ML) รูปแบบใหม่ช่วยให้ผู้ใช้งานที่มีความเข้าใจสามารถสั่งงานได้เพียงปลายนิ้วเพื่อสร้างการเปลี่ยนแปลงสู่ธุรกิจขององค์กรเมื่อก้าวเข้าสู่ปี 2022 จึงคาดหวังว่าคณะกรรมการของบริษัทต่าง ๆ จะขอให้ฝ่ายบริหารนำเสนอเอกสารเรื่องการลงทุนกับระบบคลาวด์เพื่อช่วยส่งเสริมให้บริษัทมีความได้เปรียบในการแข่งขันระยะยาว

2. การเรียนรู้ของเครื่องและปัญญาประดิษฐ์คือขุมพลังสู่การเป็นวิสากิจดิจิทัลชั้นนำ

เนื่องจากวิสาหกิจส่วนใหญ่มีปริมาณข้อมูลเพิ่มมากขึ้นเรื่อย ๆ ทำให้ระบบอัลกอริธึมการเรียนรู้ของเครื่องและปัญญาประดิษฐ์เป็นเสมือนเครื่องมือสำคัญที่ช่วยให้องค์กรสามารถวิเคราะห์และเรียนรู้จากข้อมูลเหล่านั้นรวมถึงยกระดับการตัดสินใจ และกำหนดขั้นตอนการปฏิบัติงานในขั้นต่อไปได้ทว่าวิสาหกิจส่วนใหญ่ยังคงอยู่ในขั้นตอนทดลองใช้งานระบบการเรียนรู้ของเครื่องและปัญญาประดิษฐ์ ซึ่งปัญหาส่วนหนึ่งก็คือการแสวงหาทักษะที่จำเป็นเนื่องจากบริษัทและหน่วยงานรัฐบาลส่วนใหญ่ยังไม่มีทรัพยากรเพียงพอสำหรับการรวบรวมบุคลากรระดับด็อกเตอร์ในสาขาวิทยาศาสตร์ข้อมูล

ทางเลือกอื่นที่ทำได้คือการสร้างทีม MLOps (Machine Learning + Operations) ที่มีขนาดเล็กลงและเน้นการทำงานเฉพาะด้าน โดยจะคล้ายกับทีม DevOps (Development Operations) ในการพัฒนาแอปพลิเคชันมากกว่าซึ่งแน่นอนทีมดังกล่าวประกอบด้วยนักวิทยาศาสตร์ข้อมูล รวมถึงนักพัฒนาและผู้ปฏิบัติงานฝ่ายเทคโนโลยีสารสนเทศอื่น ๆ ซึ่งมีหน้าที่ในการพัฒนาดูแลรักษาและปรับปรุงประสิทธิภาพโมดุลระบบการเรียนรู้ของเครื่องและปัญญาประดิษฐ์

นอกจากนี้ ธุรกิจต่าง ๆ ยังเริ่มตระหนักถึงมูลค่าของความได้เปรียบที่เกิดจากการใช้คลาวด์และแอปพลิเคชันที่มีอัลกอริธึมการเรียนรู้ของเครื่องและปัญญาประดิษฐ์มาแบบพร้อมสรรพ จึงไม่น่าแปลกใจที่สถาบัน Foresster ทำนายว่าองค์กร 1 ใน 5 จะลงทุนมากขึ้นเป็นสองเท่ากับสิ่งที่เรียกว่า “ปัญญาประดิษฐ์ภายใน (AI inside)” ซึ่งก็คือปัญญาประดิษฐ์และการเรียนรู้ของเครื่องที่ฝังอยู่ในระบบและขั้นตอนการปฏิบัติงานขององค์กร

ภายในปี 2025 ทาง Gartner ยังทำนายว่าวิสาหกิจ 10% ที่ติดตั้งระบบวิศวกรรมปัญญาประดิษฐ์และการเรียนรู้ของเครื่องจะสามารถสร้างมูลค่าทางธุรกิจได้อย่างน้อย 3 เท่า เมื่อเปรียบเทียบกับอีก 90% ที่เหลือซึ่งไม่ได้ติดตั้ง ดังนั้นรีบสร้างความได้เปรียบตั้งแต่วันนี้ย่อมดีกว่า

3. ลูกค้าจะประเมินบริษัทของคุณด้วยมาตรฐานด้านความยั่งยืนไม่ว่าในการซื้อสินค้าและบริการ

การพิจารณาถึงนายจ้างในอนาคตหรือแม้แต่การลงทุนสต็อกสินค้าผู้คนในทุกช่วงวัยเริ่มมีการประเมินแนวคิดและพันธะสัญญาด้านความยั่งยืนของบริษัทมากขึ้นเรื่อย ๆ วิสาหกิจต่าง ๆ ก็กำลังทำเช่นเดียวกับซัพพลายเออร์และคู่ค้าทุกราย นั่นคือ การพยายามทำให้องค์กรของตนเองมีความน่าเชื่อถือในด้านการลดอัตราการปล่อยคาร์บอน การเปลี่ยนไปใช้แหล่งพลังงานหมุนเวียนการเปลี่ยนวิธีการกลบฝังขยะและการหันมาใช้แนวทางการปฏิบัติงานด้านสิ่งแวดล้อมที่ดีที่สุด

ในปี 2022 การที่ธุรกิจต่าง ๆ ต้องวางแผนและดำเนินกลยุทธ์ด้านความยั่งยืนอย่างครอบคลุมจึงกลายเป็นเรื่องจำเป็น เป็นเสมือนคำสั่งสูงที่จะต้องอาศัยความเป็นผู้นำที่มุ่งมั่นยิ่งมากขึ้น โดยเฉพาะในเอเชียแปซิฟิก สถาบัน Foresster รายงานว่ากลุ่มบริษัทในรายชื่อ Fortune Global 200 กว่า 92% ในอเมริกาเหนือ และ 81% ในกลุ่มประเทศยุโรป ตะวันออกกลาง และแอฟริกามีการแต่งตั้งตำแหน่งผู้นำด้านความยั่งยืนในระดับรองประธานกรรมการผู้อำนวยการ และตำแหน่งอื่น ๆ ในระดับบริหารในขณะที่เอเชียแปซิฟิกมีตำแหน่งด้านนี้เพียง 26% “ความพยายามด้านความยั่งยืนขององค์กรส่วนใหญ่ในเอเชียแปซิฟิกถูกขับเคลื่อนด้วยการต้องปฏิบัติกฎหมายและแรงกดดันจากนักลงทุนไม่ใช่การวางแผนเชิงกลยุทธ์และการบริหารความเสี่ยงที่แท้จริง”

สถาบัน Forester ระบุ “แนวทางเช่นนี้จะไม่ส่งผลอย่างเป็นรูปธรรมต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพอากาศโลก” และถือเป็นการหลอกลวงลูกค้าและบรรดาหุ้นส่วนที่ใส่ใจต่อสิ่งแวดล้อมอีกด้วย “การดำเนินงานที่แท้จริง” จำเป็นต้องให้วิสาหกิจมีการเปลี่ยนแปลงพื้นฐานบางอย่างในธุรกิจของตนเองด้วย

4. นายจ้างที่ไม่ปรับเปลี่ยนแนวทางการพัฒนาสายอาชีพและการรับสมัครพนักงานหลังภาวะการแพร่ระบาดจะล้าหลังกว่าคนอื่น

การสำรวจครั้งแล้วครั้งเล่าระบุอย่างชัดเจนว่าการว่าจ้างและการรักษาพนักงานผู้มีทักษะถือเป็นเรื่องสำคัญอันดับหนึ่งของผู้บริหารระดับสูงทุกคน กระนั้นการลาออกครั้งใหญ่ที่เกิดจากสถานการณ์การแพร่ระบาดทั่วโลก ทำให้เกิดการคาดการณ์ว่าในปี 2022 นายจ้างจะตัดงานบางส่วนของพนักงานออกไปกล่าวคือ บริษัทจำเป็นต้องกระตือรือร้นมากขึ้นในการวางแผนเส้นทางอาชีพให้กับพนักงานที่มีคุณค่ามากที่สุดและรับฟังความคิดเห็นของพวกเขาในเรื่องสมดุลระหว่างงานและการใช้ชีวิตความยืดหยุ่นของสถานที่ทำงาน รวมถึงเรื่องอื่น ๆ หรือไม่ก็ต้องยอมเห็นพวกเขาเดินออกไปจากองค์กร

รายงาน 2021 AI@Work report by Oracle and Workplace Intelligence พบว่าผู้ตอบแบบสอบถามจำนวนมากกล่าวว่าการแพร่ระบาดเป็นสาเหตุทำให้พวกเขารู้สึก “จมปลัก” และผลักดันให้พวกเขาต้องทบทวนอนาคตของตนเองอีกครั้งผลลัพธ์ก็คือพนักงานกว่า 84% ต้องการเปลี่ยนแปลงอาชีพการงานในปีหน้า 86% ไม่พึงพอใจกับการสนับสนุนด้านอาชีพการงานของนายจ้าง และ 91% กล่าวว่านายจ้างควรรับฟังความต้องการของพวกเขามากกว่า นอกจากนี้ 93% ของผู้ทำแบบสอบถามยังระบุว่าการแพร่ระบาดทำให้การสร้างสมดุลชีวิตและงาน สุขภาพจิต และความยืดหยุ่นในการทำงานมีความสำคัญมากขึ้นสำหรับพวกเขา

“วันนี้พนักงานเริ่มลำดับสิ่งสำคัญแตกต่างไปจากเดิมเมื่อเปรียบเทียบกับก่อนเกิดการแพร่ระบาด” ข้อมูลในรายงาน AI@Work ระบุ “ผู้คนเริ่มพิจารณาว่าบริษัทแบบไหนที่พวกเขาต้องการทำงานด้วยสิ่งที่พวกเขาต้องการในอาชีพการงานคืออะไรรวมถึงความสำคัญของสุขภาพและความเป็นอยู่ที่ดีบริษัทจึงต้องนำเรื่องเหล่านี้มาทบทวนเพื่อสร้างสถานที่ทำงานที่เหมาะสมสำหรับพนักงานหลังการแพร่ระบาดสิ้นสุด”

5. การเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ในซัพพลายเชนจะ “ไม่ปกติอีกต่อไป”

การแพร่ระบาดกดดันให้นักวางแผนซัพพลายเชนต้องประเมินลำดับความสำคัญเสียใหม่ รวมถึงการใช้เทคโนโลยีการบริหารซัพพลายเชน Supply Chain Management (SCM) ใหม่ล่าสุดดังที่ทีมผู้เชี่ยวชาญด้านซัพพลายเชนแห่งออราเคิล เอริก ดอมสกี้ และ ไรอัน ซัมเรก กล่าวว่า “การไม่เคยปกติ” ได้กลายเป็น “ความปกติ” ไปแล้วยกตัวอย่างเช่น การเติมสินค้าในคลังให้ “ทันเวลา” เคยเป็นแนวทางปฏิบัติงานที่ดีที่สุดในช่วงการก่อนแพร่ระบาด แต่ “สินค้าคงคลังในระดับที่ปลอดภัย” หรืออีกชื่อคือคลังสินค้าแบบ “เผื่อในกรณีฉุกเฉิน” กลับถูกพิจารณาให้เป็นความปกติรูปแบบใหม่

แม้เทคโนโลยีซัพพลายเชนอันซับซ้อนจะไม่สามารถป้องกันผลกระทบของตลาดจากปัญหาต่าง ๆ ได้อย่างสมบูรณ์อย่างเช่นกรณีการแพร่ระบาดทั่วโลกแต่ก็ยังช่วยให้บริษัทมีจุดสมดุลของคลังสินค้าในระดับที่ปลอดภัยได้เมื่อพฤติกรรมการซื้อของผู้บริโภคเปลี่ยนแปลงจากการซื้อหน้าร้านมาเป็นระบบออนไลน์ บริษัทต่าง ๆ จึงต้องตระหนักและตอบสนองต่อการเปลี่ยนแปลงนั้นรวมถึงการวางแผนสำหรับ “ปรากฏการณ์ระลอกคลื่น (Ripple Effect)” ที่จะกระทบกับโรงงาน ศูนย์ข้อมูล และห่วงโซ่อุปทานขนาดใหญ่ของบริษัท

ผู้เชี่ยวชาญจากออราเคิลกล่าวว่า “ถึงเวลาแล้วที่คุณจะต้องใช้โซลูชันการวางแผนซัพพลายเชนให้เกิดประโยชน์สูงสุด เพื่อจำลองสถานการณ์และสร้างการทำนายรูปแบบอุปสงค์ทั่วโลกที่เปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลาให้ได้มากยิ่งขึ้น” เมื่อพิจารณาถึงสิ่งสำคัญเหล่านี้ทั้งในบริบทด้านผลกระทบ โอกาสและความท้าทายทางธุรกิจแล้ว ธุรกิจต่าง ๆ ในเมืองไทยและเอเชียจึงจะสามารถกระตุ้นเศรษฐกิจและฟื้นฟูยุคสมัยแห่งเอเชียให้กลับมาเฟื่องฟูใหม่ได้อีกครั้ง

บทความอื่น ๆ ที่น่าสนใจ

เสียวหมี่เสริมความปลอดภัยสำหรับผู้บริโภคยุค IoT

เอ็มจี พร้อมรุกตลาด “อีวี” เต็มสูบ เดินหน้าสร้างระบบนิเวศยานยนต์ไฟฟ้า

STAY CONNECTED

0แฟนคลับชอบ
440ผู้ติดตามติดตาม
spot_img

Lastest News

MUST READ