TH | EN
TH | EN
หน้าแรกTechnologyข้อสรุปเรื่อง AI โดย 'กระทิง เรืองโรจน์ พูนผล' จากเวที World Economic Forum 2024

ข้อสรุปเรื่อง AI โดย ‘กระทิง เรืองโรจน์ พูนผล’ จากเวที World Economic Forum 2024

‘กระทิง เรืองโรจน์ พูนผล’ ประธาน บริษัท กสิกร บิซิเนส-เทคโนโลยี กรุ๊ป (KBTG) หนึ่งในตัวแทนคนไทย ที่เข้าร่วมงาน World Economic Forum 2024 ที่เมือง Davos สำหรับงานในปีนี้ ธีมคือ “Rebuilding Trust” เพื่อสร้าง Trust ที่เป็นองค์ประกอบสำคัญในการสร้างความร่วมมือระดับโลก และระดับภูมิภาค เพราะปัญหาและความท้าทายที่เรากำลังเผชิญ ทั้ง War, Geopolitical Tensions, Economy + Finance and Investment, ความท้าทายทางด้าน Climate Change, และ AI สิ่งเหล่านี้ต้องการความร่วมมือและการประสานงานในระดับโลกจริง ๆ

ในงานประชุม จะมีผู้นำโลกจากทุกสาขา และมี sessions ต่าง ๆ เกิดขึ้นมากมาย โดย Conversations ปีนี้จะ focus ที่ Global Challenges หลัก ๆ 3 เรื่องคือ Geopolitical Challenges, AI, Finance & Economy & Investment และ Climate Change & Environmental Sustainability

Thailand Country Dialogue @ WEF2024

และนี่คือข้อสรุปเรื่อง AI ที่ ‘กระทิง เรืองโรจน์ พูนผล‘ ได้จาก World Economic Forum

AI is Everything, Everywhere, All At Once and was dominating Davos

แทบทุกๆ sessions ใน Davos มีการพูดถึง AI และทุกบริษัทที่มา sponsor กระทั่งบริษัทที่ปรึกษาชั้นนำ ก็ใช้ theme AI แม้เดินออกจากอาคารหลัก ทั้งถนนก็เต็มไปด้วย AI จนมีการแซวกันว่า ถ้าเราได้เงิน 1 dollar ทุกๆครั้งที่ได้ยินคำว่า AI หรือ เข้า session ที่มีคำว่า AI ทุกคนคงเป็น Billionaire ไปแล้ว และแทบทุก industry-specific session, roundtable ตั้งแต่ healthcare, financial service, aviation, transpiration, creative มีการพูดถึง concrete AI use cases ที่ปีนี้ น่าจะมีให้เห็นแน่นอน และแม้กระทั่งเวทีระดับประเทศ เช่น Vietnam Country Dialogue หรือ ผู้นำประเทศหลายๆ ประเทศก็ผลักดัน AI เป็นเรื่องใหญ่ เพราะ AI กำลังจะเป็น General Purpose Technology เหมือน คอมพิวเตอร์, โทรศัพท์มือถือ และจะสร้าง impact ในวงกว้างมหาศาล และทุกคนเห็นตรงกันว่าพัฒนาการนี้จะมีแต่เร็วขึ้นแน่นอน

Common Use Case

Common Use Case ที่ทุกๆ Industry พูดถึงว่าจะเป็น Quick win / Low hanging fruit ในปี 2024-2025 ที่จะนำ Gen AI ไปใช้ คือ Sales & Marketing, Customer Service, Employee Productivity Improvement, Data Analysis และ KMs

M.A.D คือ key สำคัญ

M.A.D (ML, AI, Data) คือ key สำคัญ แทบทุกคนเห็นด้วยว่า ไม่ใช่แค่ GenAI (ที่คาดว่าจะสร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจกว่า $4 Trillion ) แต่ ML + Predictive AI + Automation tech (ที่คาดว่าจะสร้างมูลค่าเพิ่มทางเศรษฐกิจมากกว่า $11 Trillion USD) รวมทั้ง Solid Data Platform คือ key ที่จะทำให้การนำ AI ไปใช้ประสบความสำเร็จ แต่เรื่องที่ยังดูไม่มีข้อสรุป คือ เรื่อง open data sharing และ economic model ของการแบ่งปันผลประโยชน์ระหว่าง content owner กับ AI company แต่ case NYT vs. OpenAI ก็น่าจะเป็นตัวอย่างที่ดี และมีอีกหลายๆ เรื่องที่ยังไม่มีข้อสรุปหรือกระทั่งแนวทาง

KBTG ชวนทุกคน Let’s Get M.A.D. เพื่ออยู่รอดและอยู่อย่างผู้ชนะในโลกยุค AI

ไม่มีความเห็นตรงกลางเท่าไหร่ มีแต่ความคิดสุดโต่ง 2 ด้าน

ความคิดสุดโต่ง 2 ด้าน คือ AI จะทำให้คนตกงานมหาศาล หรือ AI จะทำให้เกิด Productivity Boost มหาศาล และเป็นยุคทองของโลกเรา แต่ทุกคนค่อนข้างเห็นตรงกันว่า Benefit ของ GenAI นั้นไม่ได้ให้ประโยชร์อย่างทั่วถึงและเท่าเทียมกัน แต่จะให้ประโยชน์บางกลุ่มหรือบางอุตสาหกรรม โดยเฉพาะคนที่เป็น low skilled workers สามารถยกระดับความสามารถขึ้นมาไกล้เคียง white collar workers ได้ทันที ทำให้ white collar workers ที่ไม่สามารถยกระดับทักษะตัวเองขึ้นได้ มีความเสี่ยงที่จะถูกทดแทน จึงเกิดกระแสต่อต้าน AI ที่รุนแรง และทักษะที่ AI สามารถ augment low skilled workers ขึ้นมาให้ทำ high level jobs ได้อย่างรวดเร็วคือ language, content analysis, research, content generation, data analysis & visualization, story telling เป็นต้น และอุตสาหกรรมที่เป็น digital-centric เช่น eCommerce, media, finance จะได้ประโยชน์จาก GenAI ก่อน Physical-centric industry และเมื่อมีการนำ AI มาใช้มากๆ ในอุตสาหกรรมเหล่านี้ ก็จะมีการ layoff เกิดขึ้น และ tech layoff ก็น่าจะยังไม่จบแค่นี้แน่นอน

ศึกของ text-based GenAI นั้นใกล้จะจบแล้ว

เรื่องศึกของ text-based GenAI นั้นใกล้จะจบแล้ว เพราะ fundamental LLMs น่าจะอยู่ในมือของบริษัทใหญ่ๆ ทั้งหมด ถึงจะมีความพยายามที่จะสร้าง language specific ขึ้นมา ก็อาจจะ work แค่ภาษารองๆ ที่มีคนพูด < 100 ล้านคน โดยเรื่องสำคัญต่อไปเป็นเรื่องการ scale ทั้งการลดต้นทุน การคำนวน + computing power และแหล่งพลังงานที่มา feed ให้มีประสิทธิภาพ และ next frontier หลังจาก text จะเป็น image, video, voice, sensory perception, reasoning+casuality และโอกาสยังมีมหาศาลใน long tail industry specific use case ระดับ $ 500 M problems โดยเฉพาะอุตสาหกรรมที่มีแหล่งข้อมูลหลากหลายและไม่ได้อยู่รวมกัน และขาดแคลนแรงงาน มีการใช้แรงงานมนุษย์ทำงานซ้ำซ้อนเยอะๆ และมีกระบวนการเฉพาะเจาะจงที่ซับซ้อน ในส่วนของ Artificial General Intelligence น่าจะใช้เวลาอีกนานกว่าที่เราคิดพอสมควร เพราะมีอีกหลาย ๆ เรื่องที่ต้องบุกเบิก และเรายังไม่มีองค์ความรู้ในเรื่องต่าง ๆ เหล่านั้นค่ะ

Ruangroj-Poonpol x AndrewNG-AI at WEF2024

AI จะนำมาซึ่ง risk มหาศาล

AI จะนำมาซึ่ง risk มหาศาลและ risk อันดับหนึ่งของปี 2025 คือ misinformation ที่จะถูกเร่งด้วย AI ซึ่งเป็น risk ที่ชนะกระทั่ง climate change และเชื่อว่าต้องมีการตั้ง alliance ระดับโลกเพื่อกำหนด framework ในการกำกับดูแล AI และ ถ่ายทอดลงมาเป็น industry specific alliance for AI governance และรัฐบาลบางประเทศและ world leaders หลายๆ คนเห็นตรงกันว่า ไม่ควรไปหยุดพัฒนาการของ AI เพราะเป็นไปไม่ได้ ถึงแม้ว่ากว่า 77% จะกังวลมาก ๆ ในเรื่องนี้ แต่การจะไป control ก็แทบเป็นไปไม่ได้เช่นกัน แต่ควรค่อยๆ ปล่อยมันออกมาและ co-evolve ร่วมกัน แล้วเรียนรู้วิธีการ “contain the risks” และสร้าง Adaptive, Complex, Collaborative Private <> Public Partnership ที่สำคัญมากๆ และ เรื่อง AI Safety + AI Governance ก็จะเป็นเรื่องใหญ่ไม่แพ้กัน และเรื่องสำคัญคือการสร้าง policy ที่ทำให้ AI มา augment human และ เป็น human-centric AI ก็เป็นเรื่องใหญ่มาก

KBTG เผยพันธกิจปี 2024 เป็น “บริษัท AI-First” ที่นำ Deep Tech สร้าง “บริการ Human-First” 

Leading in turbulent world

และอีก 1 เรื่องที่สำคัญมาก คือ เรื่องของ Leading in turbulent world เพราะในขณะที่ผู้นำ ~ 50% บอกว่าปีนี้จะเป็นปีที่มีความไม่แน่นอนสูงมากๆ (unstable) ปีหน้า 2025 เราน่าจะเข้าสู่โซนของความปั่นป่วน (turbulent ) แน่นอน และ การ rethink new way of work ที่ CEOs หลายๆ คนอยากให้กลับมาทำงานที่ office มากขึ้น หรือเรื่องการ redesign & rewire องค์กรให้เป็น AI-driven organization ที่หลายๆ คนคาดว่าจะเป็นการสร้างองค์กรที่ประกอบไปด้วย many small agile teams ที่ถูก orschetrated ด้วย AI ที่ทำงานร่วมกับ middle management ที่คอยดูแล many agile team และ มี top management ที่คอย make decision ที่ถูกช่วย guided ด้วย AI และ set OKRs, Policy, วาง Strategy และ ดูแลเรื่อง Governance และคนพูดเหมือนกันหมดว่า tech layoff จะ continue และไม่หยุดแค่นี้แน่นอน เพราะจะมีการ shift ไปลงทุนด้าน AI และนำ AI มาใช้ในงานมหาศาล ดังนั้น leaders ต้อง lead with humility และต้องกล้าที่จะลุกมาเรียนรู้และยอมรับว่าตัวเองไม่รู้ และต้องมี empathy เพิ่มขึ้นมหาศาล เพราะยิ่งวิวัฒนาการด้าน AI เข้าไกล้ Artificial General Intelligence มากเท่าไหร่โลกเราจะยิ่งตึงเครียด กดดัน และปั่นป่วนมากขึ้นแน่นอน

ขอบคุณสรุปเนื้อหา และรูปถ่ายจาก Facebook : Jantanarak Yui Tuekaew

ข่าวอื่น ๆ ที่น่าสนใจ

กสิกรไทย ปี 2566 กำไร 42,405 ล้านบาท 

เปิดหมัดเด็ด Samsung Galaxy S24 Series ใช้ AI ช่วยแปลภาษา สรุปงาน หาข้อมูล ถ่ายและแต่งรูป

STAY CONNECTED

0แฟนคลับชอบ
440ผู้ติดตามติดตาม
spot_img

Lastest News

MUST READ