นาทีนี้คงไม่มีใครไม่รู้จัก “คลับเฮาส์” เทรนด์ใหม่กำลังมาแรงตรึงคนทั้งโลกต้องอยู่ในโลกโซเชียลนานขึ้น ล่าสุดมีสถิติยืนยันว่าคนไทยเข้าคลับเฮาส์อันดับ 2 ของโลกแซงเยอรมันเรียบร้อยแล้ว ความเป็นที่นิยมอย่างมากจนในทวิตเตอร์ มีคนโพสต์ว่าพร้อมเชิญ แต่ต้องจ่ายเงิน 200 บาท ล่าสุด ในแอปพลิเคชันช้อปออนไลน์ชื่อดัง ยังมีการขายคำเชิญ มูลค่ากว่า 1,000 บาทเลยทีเดียว
อย่างที่รู้ ๆ กันแรงส่งที่ช่วยดันให้คลับเฮาส์มาแรงเนื่องจากเป็นแอปที่เน้นการพูดคุยด้วยเสียงโดยมีคนเข้าไปเปิดห้องสนทนา และดึงคนเข้ามารวมกันเพื่อรับฟัง คนสามารถเข้าไปกดฟังได้ ตามที่สนใจ ใน 1 ห้อง จะมี ผู้ดูแล , ผู้พูด และ ผู้ฟัง อีกทั้งสามารถเข้าถึงกลุ่มคนได้จำนวนมากถึงคราวละ 5 พันคน บางหัวข้อต้องขยายห้องถึง 4-5 ห้อง แปลว่ามีคนฟังหัวข้อเดียวกันหลายหมื่นคน คนที่เข้ามาส่วนใหญ่บอกว่าคลับเฮาส์ ให้ความรู้สึกใกล้ชิดระหว่างผู้ฟังและผู้พูด เป็นอย่างดี
-หลังยุคโควิด ศก.ไทยจะฟื้นตัวอย่างไร
-ตู้คอนเทนเนอร์ ขาดแคลน “ส่งออกไทย” ตายน้ำตื้น
ความนิยมพุ่งทะยานอย่างคาดไม่ถึงทำให้จากเดิมในเดือนพฤษภาคมปีที่แล้วมีสมาชิกแค่ 1,500 คน ทุกวันนี้มีสมาชิกกว่า 6 ล้าน
เคล็ดลับก็เพราะเน้นความเป็น “เอ็กซ์คลูซีฟ” ไม่ใช่ใครจะเข้าไปเล่นก็ได้ แต่ว่าต้องมีผู้เชิญคนที่เข้าไป แต่ตัวเร่งสำคัญที่ทำให้คลับเฮาส์ดังชั่วข้ามคืน มาจาก “อีลอน มัสก์” เข้ามาเล่น
ล่าสุดเขายังเชิญ ปูติน มาร่วมพูดคุยในห้อง รวมไปถึง มาร์ก ซักเคอร์เบิร์ก จาก เฟซบุ๊ก ที่ให้ความสนใจเช่นกันจึงทำให้เกิดเป็นกระแสขึ้นส่วนในบ้านเรามีทั้งนักการเมือง นักธุรกิจรุ่นใหม่ ๆ คนดังจากทุกวงการก็เข้าไปเล่นกันคึกคัก
ดังนั้นคลับเฮาส์จึงเปรียบเสมือนวงสนทนาออนไลน์หรือ “สภากาแฟในยุคดิจิทัล” ขนาดใหญ่ที่เชื่อมต่อคนทั่วโลก เป็นช่องทางให้คนทั่วไปเข้าไปร่วมพูดคุยกับเหล่านักธุรกิจ นักลงทุน ผู้ทรงอิทธิพลทางความคิด ศิลปินนักร้อง คนดัง ได้ง่ายซึ่งหาไม่ได้ในแพลตฟอร์มอื่น ๆ ทำให้มูลค่าของ คลับเฮาส์เพิ่มจาก 100 ล้านดอลลาร์สหรัฐ เมื่อเดือนพฤษภาคมปีที่แล้วตอนนี้พุ่งเป็น 1,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ มีนักลงทุนสนใจร่วมลงทุนกว่า 180 ราย ถือว่าเติบโตอย่างรวดเร็วภายในเวลาไม่ถึงปี
คุณูปการของคลับเฮาส์นอกจากทำให้คนทั่วไปสามารถที่จะไปตามฟังคนดังจากทั่วโลกได้แล้วต่อไปอาจจะเป็นมหาวิทยาลัยออนไลน์ที่มีศาสตราจารย์ในมหาวิทยาลัยชื่อดังระดับโลกมาบรรยายหรืออาจจะกลายเป็นเวทีให้คนเห็นต่างเข้ามาถกเถียงกันเพื่อสร้างความปรองดองก็เป็นได้
แต่ตอนนี้คลับเฮาส์อาจจะเพียงเป็นเวทีแลกเปลี่ยนความรู้เรื่องเทคโนโลยี เศรษฐกิจ การเงิน การตลาด เป็นต้น แต่ทราบมาว่ามีบางบริษัทกำลังใช้คลับเฮาส์มาทำการตลาดสมัยใหม่และสร้างแบรนด์ก็คงต้องรอดูว่าผลเป็นอย่างไร แต่เชื่อว่ารูปแบบคลับเฮาส์น่าจะเหมาะกับ Crisis Management เพราะการสื่อสารด้วยเสียงนั้นจะอรรถาธิบายเรื่องราวต่าง ๆ ได้ความรู้สึกดีกว่าวิธีอื่น ๆ
กระทั่งในเรื่องการเมืองน่าจะใช้ประโยชน์จากคลับเฮาส์ได้ จะเห็นได้จากการอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐบาลที่เพิ่งผ่านไปหมาด ๆ ในส่วนของประชาชนที่ไม่พอใจการอภิปรายก็มาตั้งวงเปิดอภิปรายในคลับเฮาส์คู่ขนานกันไป ซึ่งได้รับความสนใจอย่างล้นหลาม แม้แต่การหาเสียงเลือกตั้งก็จะพลิกโฉมอย่างสิ้นเชิงต่อไปไม่ต้องไปเป่าประกาศโฆษณาไม่ต้องมีออร์กาไนซ์คอยจัดการรถแห่จัดเวทีปราศรัย แต่จัดปราศรัยผ่านคลับเฮาส์ได้เลยแฟนคลับก็ไม่ต้องเดินทางไปฟังปราศรัยให้เสียเวลา
หากจะถามว่าธุรกิจใดจะถูก “ดิสรัปต์” จากคลับเฮาส์ ที่แน่ ๆ งานสัมมนาในโรงแรมในศูนย์ประชุมเจอหางเลขแน่ ๆ เพราะการจัดงานสัมมนาผ่านคลับเฮาส์สะดวกและง่ายค่าใช้จ่ายต่ำกว่าไม่ต้องมีขั้นตอนการจัดให้ยุ่งยากไม่ต้องจองห้องประชุมและเชิญวิทยากรล่วงหน้าให้เสียเวลาผู้ร่วมสัมมนาก็ไม่ต้องเดินทางไม่ต้องแต่งตัว รวมถึงสถานีวิทยุและสำนักข่าวต่าง ๆ จะได้รับผลกระทบเต็ม ๆ เพราะการสื่อสารผ่านคลับเฮาส์สะดวกง่ายดายกว่ามาก
อย่างไรก็ตามเรื่องอย่างนี้อาจจะเป็นประโยชน์กับธุรกิจและประชาชน แต่รัฐบาลที่ยึดเอาความมั่นคงเป็นหลักอาจไม่สบายใจเพราะนี่คือ “พลังใหม่” หรือ “อาวุธลับ” ของภาคประชาชน แต่เป็นหอกข้างแคร่ของผู้มีอำนาจ จะเห็นได้จากรัฐบาลจีนและอินโดฯก็แบนคลับเฮาส์เป็นที่เรียบร้อย ส่วนรัฐบาลไทยก็ออกมาขู่ไม่ให้ออกนอกลู่นอกทาง
ทุกวันนี้คลับเฮาส์ ยังมีข้อจำกัดในการใช้งาน เพราะให้บริการในระบบ iOS เท่านั้น แต่นักพัฒนาประกาศว่ากำลังวางแผนพัฒนาแอปสำหรับ Android ต่อไป เชื่อว่าเมื่อถึงตอนนั้นคลับเฮาส์จะเป็นคลื่นลูกใหญ่ที่สร้างแรงสั่นสะเทือนไม่น้อย
ขณะเดียวกันผลอาจจะตรงกันข้ามก็ได้ เพราะหลังจากการระบาดโควิด-19 คลี่คลายลง คนทั่วโลกได้ฉีดวัคซีนเป็นส่วนใหญ่ กิจกรรมทางเศรษฐกิจกลับมา ผู้คนออกไปสังคมพบปะสังสรรค์กันเหมือนเดิม กระแสคลับเฮาส์จะยังแรงอยู่หรือไม่หรือเป็นแค่ไฟไหม้ฟาง ต้องจับตาดูกันต่อไป
ทวี มีเงิน
