อย่างที่รู้ ๆ กันว่าแหล่งรายได้หลักของประเทศไทยนั้นมี 2 ทาง คือ การส่งออกและการท่องเที่ยว ซึ่งมีสัดส่วนรวมกันเกือบ ๆ 80% ของจีดีพี
สำหรับธุรกิจท่องเที่ยวคาดว่าคงต้องใช้เวลาอย่างน้อย ๆ 4 ปี กว่าทุกอย่างจะกลับมาเข้าที่เข้าทางเหมือนก่อนโควิด-19 ระบาด ส่วนการส่งออกซึ่งถือว่าเป็นรายได้หลัก ก็โตแบบกระท่อนกระแท่นมาตั้งแต่โดนหางเลขจากสงครามการค้าระหว่างจีนกับสหรัฐเป็นต้นมา
จึงคาดการณ์กันว่า ปีนี้การส่งออกไทยอย่างเก่งอาจจะเป็นบัวพ้นน้ำนิด ๆ โตขึ้นราว ๆ 3-4% จากปี 2563 เพราะยังมีปัญหา “เงินบาทแข็งค่า” เป็นปัญหาโลกแตกที่ยังแก้ไม่ได้ คอยเป็นตัวถ่วงทุกวันนี้ ค่าเงินบาทของไทยแข็งค่าอันดับ 2 ของโลก เป็นรองแค่เพียงค่าเงินรูเบิ้ลของรัสเซียเท่านั้น ผลการแข็งค่าของเงินบาท ทำให้ส่งออกของไทยไม่สามารถแข่งขันทางด้านราคาได้ โดยเฉพาะสินค้าเกษตรและสินค้าที่ใช้วัตถุดิบจากในประเทศ
แต่หลังจากโควิด-19 ระบาด ส่งออกไทยต้องเผชิญกับวิกฤติที่คาดไม่ถึง นั่นคือ “การขาดแคลนตู้คอนเทนเนอร์เปล่า” ที่ใช้ในการบรรทุกสินค้าไม่เพียงพอกับสินค้าที่มีออเดอร์ สินค้าที่ผลิตแล้วไม่สามารถส่งออกได้ ทำให้มีการจัดส่งสินค้าล่าช้ากว่ากำหนด ผู้ส่งออกต้องประสบปัญหาสภาพคล่องเดือดร้อนกันทั่วหน้า
ปัญหาการชาดแคลนตู้คอนเทนเนอร์กระทบการส่งออกนั้น เริ่มส่อเค้าตั้งแต่ปีที่แล้ว เมื่อโลกมีปัญหาการแพร่ระบาดของโควิด-19 มีการ “ล็อกดาวน์” ของท่าเรือในหลาย ๆ ประเทศ ทำให้อัตราการหมุนของตู้ในระบบติดขัดต่อเนื่อง
นอกจากนี้ ในช่วงโควิด-19 ระบาดหนัก ๆ หลาย ๆ ประเทศในยุโรปและอเมริกาได้สั่งล็อกดาวน์ บรรดาโรงงานผลิตในประเทศจึงพากันปิดตัว สินค้าส่งออกไม่มี สวนทางกับความต้องการนำเข้าที่สูงขึ้น โดยเฉพาะจากเอเชีย จึงเกิดการล้นทะลักของสินค้าขาเข้า แต่ขาออกไม่มีสินค้าส่งออก ในช่วงแรกค่าระวางถูกมาก ทำให้ไม่คุ้มที่จะตีเรือเปล่ากลับ ส่งผลให้ตู้คอนเทนเนอร์ถูกทิ้งไว้ตามท่าเรือจำนวนมาก
รวมถึงเศรษฐกิจจีนและเวียดนามฟื้นตัวเร็วอันดับต้น ๆ ของโลก สามารถส่งออกสินค้าสู่ตลาดโลกได้เร็วกว่าประเทศอื่น ๆ ทุกวันนี้ตู้คอนเทนเนอร์จึงไปกองรวมกันอยู่ที่จีนและเวียดนามเป็นจำนวนมากเพื่อรอการส่งออก
นั่นหมายความว่า ไทยต้องรอให้จีนซึ่งเป็นผู้ส่งออกรายใหญ่ที่ใช้ต้องใช้ตู้คอนเทนเนอร์มากกว่าปีละ 200 ล้านตู้ ส่งออกสินค้าให้หมดก่อนจะหยุดยาวในช่วงตรุษจีน และเวียดนามใช้ตู้คอนเทนเนอร์ปีละ 13 ล้านตู้
ขณะที่ไทยมีความต้องการใช้ตู้คอนเทนเนอร์ปีละ 10 ล้านตู้ ต้องไปแย่งตู้กับจีนและเวียดนาม แม้จะยอมจ่ายค่าบริการที่สูงขึ้นก็แข่งลำบาก
ผลจากตู้คอนเทนเนอร์ขาดแคลน ทำให้ราคาค่าเช่าพุ่งพรวด โดยในเดือนพฤศจิกายนตู้คอนเทนเนอร์ขนาด 40 ฟุตซึ่งเป็นขนาดที่นิยมมากที่สุดราคา 2,500 เหรีญสหรัฐต่อตู้แต่ ล่าสุด ต้นเดือนกุมภาพันธ์ราคาพุ่งพรวดเดียว 9,000-12,000 เหรียญสหรัฐต่อตู้
ลองนึกภาพดูว่าราคาค่าเช่าตู้คอนเทเนอร์ขยับขึ้นทีเดียว 4-5 เท่าตัว นี่ยังไม่รวมค่าระวางเรือที่ก็ขยับขึ้นตามไปด้วย ต้นทุนสินค้าส่งออกจะเพิ่มสูงขึ้นขนาดไหน ยิ่งสินค้าของไทยเป็นพวกสินค้าเกษตร สินค้าเกษตรแปรรูป และสินค้าอุตสาหกรรมพื้นฐาน กำไรต่ำอยู่แล้ว จะเหลือสักเท่าไร
ปัญหาตู้คอนเทนเนอร์ขาดแคลน นอกจากจะทำให้ “ต้นทุน” การส่งออกสูงขึ้นแล้ว ยังทำให้การส่งออกผิดเพี้ยนผิดฤดูอย่างไม่น่าเชื่อ สินค้าที่ผลิตต่างได้รับความเสียหายอย่างหนัก ล่าสุด สมาคมกีฬาในยุโรปออกมาเปิดเผยว่า ปัญหาขาดแคลนตู้คอนเทนเนอร์ทำให้ทั้งอะดีดาสและไนกี้ผู้ผลิตชุดกีฬาระดับโลกที่เตรียมสินค้าชุดกีฬาออกมาต้อนรับฤดูหนาวต้องเลื่อนไป 2-3 สัปดาห์ ซึ่งก็หมดฤดูไปแล้ว สินค้าขายไม่ได้
ตู้คอนเทนเนอร์ขาดแคลน จึงเป็นเรื่องใหญ่ที่สามารถชี้เป็นชี้ตายเศรษฐกิจไทยได้ ไม่รู้ว่ารัฐบาลเข้าใจปัญหามากน้อยแค่ไหน เพราะยังไม่เห็นมีท่าทีอะไรออกมา
ทวี มีเงิน
ภาพประกอบจาก facebook.com/thailandprport