TH | EN
TH | EN
หน้าแรกBusinessนักออกแบบแบรนด์ดัง แนะ จัดทำแผนส่งออกอย่างไร? ให้โดดเด่นในเวทีโลก

นักออกแบบแบรนด์ดัง แนะ จัดทำแผนส่งออกอย่างไร? ให้โดดเด่นในเวทีโลก

แม้ประเทศไทยยังเผชิญกับสถานการณ์โควิด-19 ที่ส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจไทยในภาพรวม แต่ศักยภาพในการแข่งขันของสินค้าไทยในตลาดโลกยังมีแนวโน้มเติบโตได้ดี สะท้อนจากตัวเลขส่งออกของไทยที่กระทรวงพาณิชย์ประกาศล่าสุด ที่ยังมีการเติบโตอย่างต่อเนื่อง แสดงให้เห็นถึงโอกาสของผู้ประกอบการไทยในการขยายตลาดออกไปในต่างประเทศ โดยควรจะวางแผนเลือกเจาะตลาดที่มีศักยภาพเหมาะสมกับความต้องการของสินค้าในแต่ละกลุ่ม  

สำนักส่งเสริมนวัตกรรมและสร้างมูลค่าเพิ่มเพื่อการค้า กรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ (DITP) ได้จัดทำ “โครงการส่งเสริมนักออกแบบไทยสู่ตลาดโลก (Designers’ Room & Talent Thai Promotion 2021) เพื่อร่วมพัฒนาองค์ความรู้และผลักดันสร้างผู้ประกอบการไทยรุ่นใหม่พร้อมส่งเสริมสู่ผู้ประกอบการในตลาดโลก ด้วยการจัดกิจกรรมอบรมนักออกแบบ หลักสูตรที่ 1 ‘ความรู้พื้นฐานของการเป็นนักออกแบบระดับสากลให้แก่นักออกแบบไทย’ 

โดยมี อเนก ตันตสิรินทร์ ไดเร็กเตอร์ และดีไซเนอร์ แบรนด์ Arquetype นักออกแบบชื่อดังของเมืองไทย ร่วมให้คำแนะนำแก่นักออกแบบไทยที่สนใจเข้าร่วมงานแสดงสินค้า (Fair) และการเตรียมความพร้อมในการขยายตลาดส่งออกไปต่างประเทศ เพื่อให้นักออกแบบไทยได้เรียนรู้เตรียมแผนธุรกิจและจัดทำแผนส่งออกในอนาคต เพื่อก้าวสู่การเป็นผู้ประกอบการในระดับสากลได้อย่างเต็มรูปแบบ

ข้อแนะนำในการเตรียมความพร้อมสำหรับการสร้างแบรนด์ เพื่อการวางแผนส่งออกสินค้าสู่ตลาดต่างประเทศ ประกอบด้วย  

·      การสร้างแบรนด์เครื่องประดับสู่ตลาดโลก สิ่งสำคัญคือ การสร้างดีไซน์ ที่ต้องมีความแตกต่าง เพื่อสร้างความจดจำให้แก่กลุ่มลูกค้าเป้าหมาย การออกแบบบรรจุภัณฑ์ (แพคเกจจิ้ง) ที่ต้องมีความสวยงาม และมีเอกลักษณ์ที่แตกต่าง

·      การจัดระบบเก็บข้อมูล (Data) ทุกอย่างให้อยู่ในระบบ เพราะเป็นข้อมูลสำคัญที่จะนำมาใช้บริหารจัดการองค์กรได้ในระยะยาว

·      การจัดทำแผนการผลิตและแผนการตลาด แผนการเงิน และการตั้งเป้าหมายยอดขาย เพื่อทำให้แบรนด์สามารถเดินหน้าไปสู่เป้าหมายธุรกิจที่วางแผนไว้

·      การประเมินคำสั่งซื้อสินค้าให้รอบคอบ หากได้รับคำสั่งซื้อจำนวนมากก็ต้องคำนวณว่าจะมีผลกำไรในการผลิตหรือไม่ รวมถึงการที่ได้รับคำเชิญเข้าสู่ห้างดังของต่างประเทศ และร้านมัลติแบรนด์ชื่อดังในต่างประเทศก็จะต้องคำนวณต้นทุนได้ให้ดีที่สุดและพิจารณาให้รอบคอบเพื่อไม่ให้ขาดทุนในการทำตลาด

·      การวางกลยุทธ์ราคา ควรจะมีการกำหนดราคาที่ต้องเพิ่มมาร์จินไม่ต่ำกว่า 50% หรือในสถานการณ์ปัจจุบันไม่ควรต่ำกว่า 30% โดยต้องคำนวณค่าเงินเทียบกับเงินบาทไทยและเงินดอลลาร์สหรัฐ รวมถึงค่าธรรมเนียมต่าง ๆ ทั้งนี้ ต้นทุนในการทำงาน การเดินทาง การขนส่ง ต้นทุนในการจ่ายค่าธรรมเนียมบัตรเครดิต เป็นต้น

·      การเลือกช่องทางจำหน่ายสินค้าในต่างประเทศให้มีความเหมาะสมกับแบรนด์ โดยเมื่อนำไปแสดงสินค้าทั้งในร้านคอนเซปสโตร์ มัลติแบรนด์ หรือ การจัดป๊อปอัพสโตร์ ก็ควรเลือกวางคอนเซปต์ในการจัดวางสินค้าให้ชัดเจนตรงกับภาพลักษณ์ของแบรนด์มากที่สุด

แม้ปัจจุบันการไปร่วมงานแฟร์ในต่างประเทศจะไม่สามารถทำได้ตามปกติ แต่นักออกแบบก็ต้องเตรียมความพร้อมไว้ เพราะเมื่อสถานการณ์เริ่มคลี่คลายแล้ว ประเมินว่างานแฟร์จะกลับมาขยายตัวดีขึ้น เนื่องจากผู้ซื้อ (Buyer) ยังมีความต้องการเห็นหรือสัมผัสสินค้าตัวจริง เพราะที่เห็นในรูปอาจจะไม่ได้สื่อสารเรื่องราวของสินค้าหรือแบรนด์ได้อย่างชัดเจน โดยแนวทางที่ควรเตรียมการเมื่อต้องไปร่วมงานแฟร์ในต่างประเทศ มีดังนี้

·      เริ่มจากการศึกษาของข้อมูลของงานแฟร์ในต่างประเทศ การศึกษาตลาดต่างประเทศ และการพิจารณาทั้งผู้ซื้อ (Buyer) และตัวแทนจำหน่ายสินค้า (Dealer) ที่จะมาร่วมงานแต่ละรายว่าผลการดำเนินงานที่ผ่านมาประสบความสำเร็จในการนำแบรนด์ต่างประเทศไปตลาดต่างประเทศหรือไม่

·      การเตรียมตัวก่อนไปร่วมงานแสดงสินค้าประมาณ 1-2 เดือน ต้องทำหนังสือส่งทางอีเมลเพื่อเชิญชวนทั้งผู้ซื้อ (Buyer) และผู้มาร่วมงานมาเยี่ยมชมบูท และเมื่อถึงกำหนดเวลาก่อนออกงานแสดงสินค้า 1-2 วัน ควรส่งอีเมลเพื่อย้ำเตือนกับลูกค้าให้มาเยี่ยมชมบูทอีกรอบ

·      ระหว่างงานแสดงสินค้าก็ต้องจัดแสดงสินค้า (ดิสเพลย์) ให้เหมือนการขายจริงในพื้นที่จริง และจะมีการนำดิสเพลย์ไปขายให้แก่ลูกค้าด้วย เพื่อทำให้ลูกค้าที่เลือกซื้อสินค้าแล้วสามารถนำสินค้าไปวางทำตลาดได้ทันที

·      เมื่อมีลูกค้ามาเยี่ยมชมบูท ต้องเก็บนามบัตรไว้และส่งอีเมลหาลูกค้าว่า แบรนด์จะอยู่ต่ออีกหลายวันหลังจบงานแสดงสินค้าแล้ว ซึ่งหากมีความสนใจก็สามารถนัดมาเจอกันเพื่อพิจารณาสินค้าเพิ่มเติมได้ ซึ่งถ้าลูกค้าสนใจสินค้าก็จะตอบอีเมลกลับมาและส่วนใหญ่ก็จะได้ออเดอร์กลับมาตลอด

นายอเนก กล่าวว่าสิ่งสำคัญคือ การทำให้ลูกค้าทั้งผู้ซื้อ (Buyer) และตัวแทนจำหน่าย (Dealer) รู้สึกว่ามีความสะดวกในการทำงานร่วมกับแบรนด์ สามารถทำงานได้ง่ายและไม่ยุ่งยาก ทุกคนต้องเข้าใจว่าโลกในปัจจุบันไม่ได้เหมือนเดิม เพราะในตลาดมีแบรนด์อยู่จำนวนมาก และเป็นแบรนด์คู่แข่งที่ผลิตสินค้าอยู่ในตลาด ซึ่งทุกรายต้องทำงานกับผู้ซื้อ (Buyer) และตัวแทนจำหน่าย (Dealer) มีการส่งสินค้าใหม่ที่เป็น new look มาตลอดในทุกเดือนและต้องคิดว่ามีแบรนด์ที่ขยันทำงานมาก ดังนั้น เจ้าของแบรนด์ต้องเริ่มจากการสร้างพื้นฐานแบรนด์ให้แข็งแรงและการกำหนดแผนตลาดให้ชัดเจน

นอกจากนี้ การปรับแผนอย่างทันท่วงทีก็เป็นเรื่องสำคัญ อย่างในช่วงสถานการณ์โควิด-19 แบรนด์มีการปรับแผนใหม่เช่นกัน โดยจากเดิมมีสาขา 3-4 สาขาได้ปรับลดเหลือเพียงสาขาเซ็นทรัลเอ็มบาสซี พร้อมปรับแผนใหม่ขยายสู่ช่องทางออนไลน์มากขึ้น และมองหาพันธมิตรเพื่อเพิ่มช่องทางทำตลาด รวมทั้งสำรวจสต็อคสินค้าและหาช่องทางกระจายสต็อค ตลอดจนต้องเข้าใจเรื่องสัญญาการค้าที่ในปัจจุบันส่วนใหญ่คู่ค้านิยมทำสัญญาแบบ consignment

“นักออกแบบจะต้องมุ่งสร้างแบรนด์ที่เป็นตัวเราเอง ดีไซน์สินค้าให้โดดเด่นเพื่อทำให้ภาพของสินค้าอยู่ในใจของผู้บริโภค ซึ่งแบรนด์สินค้าไทยที่มีดีไซน์ชัดเจน มีความเป็นเอกลักษณ์ ยังเป็นที่ต้องการในตลาดโลกอย่างแน่นอน” อเนก กล่าวทิ้งท้าย

สามารถติดตามความเคลื่อนไหวของนักออกแบบที่เข้าร่วมโครงการฯ ได้ที่เฟสบุ๊ค Talent Thai & Designers’ Room

STAY CONNECTED

0แฟนคลับชอบ
440ผู้ติดตามติดตาม
spot_img

Lastest News

MUST READ