TH | EN
TH | EN
หน้าแรกTechnologyฤาเพราะความฉลาดสุดล้ำจนน่าหวั่นใจของ AI สาเหตุเบื้องลึกของการไล่ Sam Altman พ้น OpenAI

ฤาเพราะความฉลาดสุดล้ำจนน่าหวั่นใจของ AI สาเหตุเบื้องลึกของการไล่ Sam Altman พ้น OpenAI

กลายเป็นมหากาพย์กระฉ่อนโลกในช่วงกว่าสัปดาห์ที่ผ่านมา สำหรับกรณีที่คณะกรรมการบอร์ดบริหารของ OpenAI ตัดสินใจไล่ Sam Altman ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร (ซีอีโอ) ออกจากตำแหน่งอย่างปัจจุบันทันด่วน สร้างความประหลาดใจให้กับเหล่าบุคคลในวงการ หรือแม้แต่ตัวพนักงานของบริษัทเอง จนทำให้มีสารพัดเรื่องวุ่นวายตามมา ทั้งตัวหุ้นของ OpenAI ในตลาดวอลล์สตรีทที่ดิ่งลงอย่างรวดเร็วแทบจะในทันทีที่มีรายงานข่าวการลาออก การที่ผู้ถือหุ้นใหญ่อย่าง Microsoft ประกาศอ้าแขนรับ Sam เข้าทำงาน หรือแม้กระทั่งพนักงานกว่า 700 ชีวิตของ OpenAI ลงนามในจดหมายเปิดผนึกขอร้องแกมบังคับให้บอร์ดบริหารทบทวนประกาศไล่ออกไม่งั้นพวกเขาจะลาออกเอง รวมถึงบีบให้บอร์ดลาออกฐานไล่ Sam จากตำแหน่งอย่างไม่เป็นธรรม

ท่ามกลางความวุ่นวายขัดแย้งที่ตามมา ในที่สุด OpenAI ก็อ้าแขนต้อนรับ Sam กลับมารั้งตำแหน่งกุมบังเหียนทิศทางการพัฒนาเทคโนโลยีปัญญหาประดิษฐ์ หรือ AI อีกครั้ง ยุติสารพัดสารพันปัญหาและข่าวลือมากมาย

แม้ว่าเรื่องราวครั้งนี้ดูเหมือนจะจบลงด้วยดีสำหรับทุกฝ่าย แต่สำหรับนักวิเคราะห์และคนส่วนหนึ่งที่ติดตามข่าวคราวมาโดยตลอด โดยเฉพาะอดีตสมาชิกบอร์ดบริหารอย่าง Elon Musk กลับอดตั้งคำถามไม่ได้ เพราะว่าจนถึงที่สุดแล้ว สิ่งที่ยังไม่มีการอธิบายให้ชัดเจนก็คือสาเหตุการไล่ Sam Altman ออกจากตำแหน่งซีอีโอว่าจริง ๆ แล้วคืออะไรกันแน่ เจ้าตัวทำผิดอะไร เพราะเมื่อพิจารณาจากผลงานที่เผยแพร่สู่สาธารณะ Sam คือบุคคลผู้โดดเด่นที่สุดแห่งวงการ AI ที่สามารถพัฒนา generative AI อย่าง ChatGPT ที่ทำให้คนทั่วโลกตระหนักถึงศักยภาพที่ไม่สิ้นสุดของ AI และเปิดศักราชและโอกาสใหม่ ๆ ของโลกธุรกิจ การเมืองและสังคม

ที่สำคัญตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา นอกจากเดินหน้าพัฒนา AI แล้ว Sam ยังแทบจะเรียกได้ว่าเดินสาย World Tour พูดคุยตอบคำถามกับรัฐบาล นักธุรกิจ และบุคคลสำคัญ ๆ ของโลก เกี่ยวกับศักยภาพของ AI รวมถึงความปลอดภัยต่าง ๆ นานา

ดังนั้นจึงเป็นเรื่องที่เหลือเชื่อที่จะบอกว่า Sam ไม่ได้คุยอย่างตรงไปตรงมากับบอร์ดบริหารของตนเองตามที่มีรายงานออกมา จนทำให้บอร์ดรู้สึกว่าไม่สามารถไว้วางใจให้ Sam กุมอำนาจบริหารต่อไปได้ ขณะที่รายงานอีกส่วนหนึ่งระบุว่า การไล่ออกเกิดขึ้นเพราะปัญหาอีโก้ส่วนตัวของ Sam เอง

ท่ามกลางสารพัดการคาดเดามากมาย ในที่สุด ก็มีรายงานอ้างอิงจากเอกสาและแหล่งข่าววงในที่เชื่อถือได้จำนวนหนึ่งระบุว่า สาเหตุที่แท้จริงของการไล่ Sam ออกในครั้งนี้ เป็นเพราะผลงาน AI ที่เจ้าตัวพัฒนาขึ้นเอง

พูดให้เข้าใจง่ายขึ้นก็คือ ราว 4 วันก่อนหน้าที่จะมีประกาศไล่ Sam ออกจากตำแหน่ง (ประกาศไล่ออกมีขึ้นวันศุกร์ที่ 17 พฤศจิกายน) ทีมนักวิจัยได้เขียนจดหมายส่งตรงถึงบอร์ดคณะกรรมการบริหารระบุถึงศักยภาพที่ทรงพลังของ AI ซึ่งฉลาดลึกล้ำจนอาจเป็นอันตรายหรือเป็นภัยคุกคามต่อมนุษยชาติ (Threaten humanity)

แน่นอนว่า ปัญหาไม่ได้อยู่ที่ความฉลาดลึกล้ำของ AI แต่สิ่งที่บอร์ดหวั่นใจก็คือท่าทีของ Sam ที่ไปบรรยายศักยภาพของ AI มากเกินไป ทั้ง ๆ ที่ สังคมโลกมนุษย์ในปัจจุบันยังไม่อาจทำความเข้าใจกับความสามารถของ AI และผลลัพธ์ต่างๆ ที่จะตามมาอย่างเต็มที่

เว็บไซต์ข่าว CNBC และสำนักข่าวรอยเตอร์ส พยายามติดต่อไปยัง OpenAI ซึ่งยืนกรานปฎิเสธที่จะแสดงความเห็นใดๆ เพียงแต่ในจดหมายเปิดผนึกที่ส่งตรงถึงพนักงานภายในองค์กรมีการเอ่ยถึงโปรเจ็กต์การพัฒนา AI ที่ชื่อว่า Q* (คิวสตาร์) ซึ่งเป็นโครงการพัฒนาเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ที่ฉลาดกว่ามนุษย์ หรือ Superintelligence Artificial General Intelligence (AGI)

แม้ว่าโครงการดังกล่าวจะอยู่ในระดับทดลองเบื้องต้นที่ขณะนี้สามารถแก้โจทย์คณิตศาสตร์ระดับประถมได้อย่างสบาย ๆ แต่สำหรับนักวิจัยในวงการ ผลลัพธ์ของการทดลองดังกล่าวสะท้อนถึงพื้นฐานสำคัญของการสร้างระบบปัญญาประดิษฐ์ที่จะสามารถพัฒนาไปได้อย่างไม่สิ้นสุด และในที่สุด AI ดังกล่าวก็จะฉลาดเกินกว่ามันสมองของมนุษย์

รายงานระบุว่า เทคโนโลยี AGI นี้ เป็นโฉมหน้าในอนาคตของระบบ AI ที่จะมีขีดความสามารถเทียบเท่า (หรืออาจเหนือกว่า) มนุษย์ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการคิด วิเคราะห์ แยกแยะ จนกระทั่งกลายเป็นผู้เชี่ยวชาญในหลากหลายด้านเหมือนมนุษย์กันเลยทีเดียว

ผู้เชี่ยวชาญชี้ว่า ความสามารถที่เหมือนมนุษย์นี้ ครอบคลุมถึงลักษณะเฉพาะของสิ่งมีชีวิตที่เรียกว่า “คน” ไล่เรียงตั้งแต่ ประสาทสัมผัสรับรู้ (Sensory Perception) ทักษะการเคลื่อนไหวอย่างลื่นไหล (Fine Motor Skills) ทักษะความเข้าใจในภาษาและความสามารถในการประมวลผลอย่างเป็นธรรมชาติ (Natural Language Processing and Understanding) และทักษะทางอารมณ์ การเข้าสังคม และความคิดสร้างสรรค์ (Social and Emotional Engagement and Creativity)

ทั้งนี้ ต้องอธิบายเพิ่มเติมว่า ในมุมมองของนักวิจัย คณิตศาสตร์คือขอบเขตของการพัฒนา generative AI โดยปัจจุบัน generative AI เก่งในการเขียนและการแปลภาษาโดยการทำนายคำถัดไปทางสถิติ และคำตอบสำหรับคำถามเดียวกันอาจแตกต่างกันอย่างมาก แต่การเอาชนะความสามารถในการคำนวณ ซึ่งมีคำตอบที่ถูกต้องเพียงคำตอบเดียว หมายความว่า AI จะมีความสามารถในการให้เหตุผลที่ดีกว่าซึ่งคล้ายกับความฉลาดของมนุษย์ ดังนั้น สิ่งนี้จึงสามารถนำไปใช้กับการวิจัยทางวิทยาศาสตร์ใหม่ ๆ ได้

นอกจากนี้ ความสามารถในการคิดคำนวนดังกล่างยังต่างจากเครื่องคิดเลขที่สามารถแก้ปัญหาการทำงานในจำนวนจำกัด เพราะ AGI สามารถสรุป เรียนรู้ และทำความเข้าใจได้

ทั้งนี้ ในจดหมายถึงคณะกรรมการบอร์ดบริหาร นักวิจัยได้บ่งชี้ถึงข้อกังวลและอันตรายที่อาจเกิดขึ้นของ AI ดังกล่าว ซึ่งประเด็นด้านความปลอดภัยนี้มีการพูดคุยกันในหมู่นักวิทยาศาสตร์คอมพิวเตอร์มานานแล้วเกี่ยวกับอันตรายที่เกิดจากเครื่องจักรที่ชาญฉลาดล้ำเกินมนุษย์มากเกินไป โดยรวมถึงการที่เครื่องจักรเหล่านี้อาจตัดสินใจว่าการทำลายล้างมนุษยชาติเป็นผลประโยชน์ของตัวมันเอง

ท่ามกลางทีมนักวิทยาศาสตร์ผู้ตั้งหน้าตั้งตาพัฒนา AI ซีอีโอ Sam Altman กลับไม่นำพากับความกังวลดังกล่าวและเป็นผู้นำความพยายามในการทำให้ ChatGPT เป็นหนึ่งในแอปพลิเคชันซอฟต์แวร์ที่เติบโตเร็วที่สุดในประวัติศาสตร์ และดึงการลงทุนและทรัพยากรการประมวลผลที่จำเป็นจาก Microsoft เพื่อเข้าใกล้ AGI มากขึ้น

ยิ่งไปกว่านั้น นอกเหนือจากการประกาศเครื่องมือใหม่จำนวนหนึ่งในการสาธิตในช่วงต้นเดือนที่ผ่านมา Sam ยังเมินเฉยต่อข้อกังขาเรื่องความปลอดภัย เห็นได้จากคำพูดของเจ้าตัวที่เอ่ยที่การประชุมสุดยอดผู้นำโลกเขตความร่วมมือทางเศรษฐกิจเอเชีย-แปซิฟิก หรือ เอเปก (APEC) ในซานฟรานซิสโกเมื่อช่วงกลางเดือนพฤศจิกายนว่า การมุ่งมั่นพัฒนา AI คือการผลักม่านแห่งความไม่รู้ออกไป พร้อม ๆ กับการขยายขอบเขตแห่งการค้นพบไปข้างหน้า ซึ่งการได้ทำเช่นนั้นถือเป็นเกียรติทางวิชาชีพตลอดชีวิต

หนึ่งวันหลังจากที่ Sam กล่าววลีดังกล่าว เจ้าตัวก็ถูกไล่ออก สะท้อนถึงความกลัวของบอร์ดบริหารตามที่มีรายงานกันไว้ก่อนหน้าความมุ่งมั่นพัฒนาโดยไม่คิดให้รอบด้านอาจมีโทษมากกว่าประโยชน์ อีกทั้งยังขัดแย้งกับพันธกิจและวิสัยทัศน์ของ OpenAI ที่ก่อตั้งขึ้นโดยมีเป้าหมายเพื่อการพัฒนา AI ที่ปลอดภัยและเป็นประโยชน์ต่อมนุษยชาติ ภายใต้ข้อผูกพันทางกฎหมายของประเทศนั้นๆ

อย่างไรก็ตาม แม้จะมีรายงานจากบอร์ดยืนยันว่าการไล่ Sam ออกไม่ได้เกี่ยวข้องกับประเด็นดังกล่าวแต่อย่างใด และที่ผ่านมาตัว Sam เองก็กล่าวยืนยันมาโดยตลอด รวมถึงครั้งล่าสุดที่มีการเอ่ยถึงการพัฒนาโมเดล ChatGPT-5 ซึ่งฉลาดกว่าและเร็วกว่าโมเดลเดิมว่า บริษัทยังคงยึดมั่นกับการพัฒนา AGI ที่เป็นประโยชน์และปลอดภัยต่อมนุษย์

ทั้งนี้ สิ่งที่ต้องติดตามกันต่อไปอย่างใกล้ชิดก็คือท่าทีของ Sam กับผลงานของเจ้าตัวหลังจากนี้

แน่นอนว่าในท้ายที่สุดแล้ว เทคโนโลยี AI ย่อมกลายเป็นหนึ่งในเครื่องมือสำคัญในการเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานของมนุษย์ แต่จะเป็นประโยชน์หรือโทษมากน้อยแค่ไหน มีเพียงแต่ “มนุษย์” ที่เป็นผู้สร้างและผู้ใช้งาน AI เท่านั้นที่จะตอบคำถามได้

อ้างอิง The Guardian, CNBC, CNBC, Reuters, Business Insider

ข่าวอื่น ๆ ที่น่าสนใจ

ขึ้นรถไฟย้อนเวลาหาอดีต ถอดบทเรียนหลุมดำตลาดหุ้นไทย

รัฐ-เอกชน จัดงาน ‘DigiTech Asean Thailand 2023’ โชว์เทคโนโลยีดิจิทัลกว่า 300 แบรนด์ จากกว่า 10 ประเทศ

STAY CONNECTED

0แฟนคลับชอบ
440ผู้ติดตามติดตาม
spot_img

Lastest News

MUST READ