TH | EN
TH | EN
หน้าแรกBusinessSCB EIC ชี้ส่งออกไทยเดือน มิ.ย. ยังหดตัวต่อเนื่อง จับตาการฟื้นตัวของเศรษฐกิจจีน

SCB EIC ชี้ส่งออกไทยเดือน มิ.ย. ยังหดตัวต่อเนื่อง จับตาการฟื้นตัวของเศรษฐกิจจีน

นักวิเคราะห์ SCB EIC ประเมินส่งออกไทยเดือนมิถุนายน 2566 แม้ในระยะต่อไปมีแรงหนุนจากฐานต่ำ จับตาการฟื้นตัวของเศรษฐกิจจีน โดยมูลค่าการส่งออกสินค้าของไทยในเดือนมิถุนายน อยู่ที่ 24,826.0 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หดตัว -6.4%YOY หดตัวเพิ่มขึ้นจาก -4.6% ในเดือนก่อน มูลค่าส่งออกหักทองคำและอาวุธ ซึ่งเป็นสินค้าที่ไม่ได้สะท้อนการค้าระหว่างประเทศที่เกิดขึ้นจริง หดตัวเพียง -5.0% และหากพิจารณามูลค่าการส่งออกเทียบเดือนก่อนแบบปรับฤดูกาลหดตัวเพียง -0.7%MOM_sa โดยรวมมูลค่าส่งออก 6 เดือนแรกของปีอยู่ที่ 141,170.3 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หดตัว -5.4%

ส่งออกรายสินค้าหดตัวทุกกลุ่ม

ภาพรวมการส่งออกรายสินค้าในเดือนมิถุนายนหดตัวทุกกลุ่ม นำโดย 1) สินค้าเกษตรหดตัว -7.4%YOY หลังจากหดตัว -27% ในเดือนก่อน โดยการส่งออกยางพาราหดตัวต่อเนื่อง 11 เดือนที่ -43.0% ขณะที่ผลไม้สดแช่เย็นแช่แข็งขยายตัว 14.2% หลังจากหดตัวแรง -54.8% ในเดือนก่อนตามผลผลิตจากภาคใต้ที่เพิ่มขึ้น ส่งออกไก่สด แช่เย็น แช่แข็งขยายตัว 10.7% ต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 13 ปัจจัยหนุนจากการแพร่ระบาดของไข้หวัดนกในบราซิลส่งผลให้มีความต้องการไก่ทดแทนจากไทยมากขึ้น 2) สินค้าอุตสาหกรรมเกษตรหดตัวต่อเนื่อง 3 เดือนอยู่ที่ -10.2%YOY หดตัวเพิ่มจาก -0.6% ในเดือนก่อน โดยการส่งออกไขมันและน้ำมันจากพืชและสัตว์หดตัวมากถึง -80.8% เทียบกับ -63% ในเดือนก่อน ขณะที่การส่งออกน้ำตาลทรายขยายตัว 31.4% ชะลอลงบ้างจาก 44.2% ในเดือนก่อน

3) สินค้าอุตสาหกรรมกลับมาหดตัว -4.6%YOY หลังจากเดือนก่อนขยายตัวครั้งแรกในรอบ 8 เดือน โดยการส่งออกเครื่องคอมพิวเตอร์และอุปกรณ์หดตัว -25.3% ต่อเนื่อง 9 เดือน การส่งออกอากาศยาน ยานอวกาศ และส่วนประกอบหดตัว -68.8% แต่หากหักผลของทอง อาวุธ และอากาศยาน พบว่าสินค้าส่งออกอุตสาหกรรมหดตัวเพียง -1.4% ขณะที่ 4) สินค้าแร่และเชื้อเพลิงหดตัว -25.5%YOY เทียบกับ -39.9%ในเดือนก่อน จากการส่งออกน้ำมันดิบที่หดตัว -29.0%

ภาพรวมตลาดส่งออกหลักยังผันผวนสูง การส่งออกไปจีนและญี่ปุ่นพลิกมาขยายตัว ขณะที่การส่งออกไปสหรัฐฯ และยุโรปกลับมาหดตัวอีกครั้ง

การส่งออกไปตลาดหลักส่วนใหญ่ยังผันผวนสูง โดย 1) ตลาดจีนพลิกกลับมาขยายตัว 4.5%YOY หลังหดตัว -24% ในเดือนก่อน จากการส่งออกผลไม้สด แช่เย็นแช่แข็ง และแห้ง (29.1% ของมูลค่าการส่งออกไปจีนทั้งหมด) ที่ขยายตัว 17.2% หลังหดตัวในเดือนก่อน รวมถึงตลาดฮ่องกงขยายตัวดี 17.6% ตามการส่งออกอัญมณีและเครื่องประดับที่ขยายตัวถึง 133.9%YOY 2) ตลาดญี่ปุ่นขยายตัว 2.5%YOY หลังหดตัว -1.8% ในเดือนก่อน ขณะที่ 3) ตลาดสหรัฐฯ หดตัว -5.0%YOY หลังขยายตัว 4.2% ในเดือนก่อน 4) ตลาดยุโรป (EU28) หดตัว -6.4%YOY หลังขยายตัว 9% ในเดือนก่อน และ 5) ตลาด ASEAN หดตัวแรงทั้งตลาด ASEAN5 -18.0% และ CLMV -23.0%

ดุลการค้าเกินดุลครั้งแรกในรอบ 3 เดือน ผลจากมูลค่านำเข้าที่หดตัวแรงกว่ามูลค่าส่งออก

มูลค่าการนำเข้าสินค้าในเดือน มิ.ย. อยู่ที่ 24,768.4 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หดตัว -10.3% หดตัวแรงขึ้นจาก -3.2% ในเดือนก่อน หากพิจารณามูลค่าการนำเข้าหักทองคำ ซึ่งเป็นสินค้าที่ไม่ได้สะท้อนการค้าระหว่างประเทศที่เกิดขึ้นจริง  หดตัว -11.4% หดตัวเพิ่มขึ้นจากเดือนก่อนที่ -1.7% โดยเฉพาะสินค้าวัตถุดิบและกึ่งสำเร็จรูป (-14.5%YOY, CTG -6.1%) และสินค้าเชื้อเพลิง (-19.0%YOY, CTG -4.2%) ขณะที่มูลค่านำเข้ายานพาหนะและอุปกรณ์การขนส่งขยายตัวดีต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 5 ที่ 10.2% เนื่องด้วยมูลค่านำเข้าหดตัวแรงกว่ามูลค่าส่งออก ดุลการค้าในระบบศุลกากรในเดือนมิถุนายน จึงเกินดุลเล็กน้อยครั้งแรกในรอบ 3 เดือน ที่ 57.7 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หลังขาดดุล -1,849.32 ล้านดอลลาร์สหรัฐในเดือนก่อน

อย่างไรก็ดี ดุลการค้าในระบบศุลกากรในช่วงครึ่งแรกของปี 2023 ขาดดุล -6,307.6 ล้านดอลลาร์สหรัฐ

ภาพรวมตลาดส่งออกหลักยังผันผวนสูง การส่งออกไปจีนและญี่ปุ่นพลิกมาขยายตัว ขณะที่การส่งออกไปสหรัฐฯ และยุโรปกลับมาหดตัวอีกครั้ง

การส่งออกในระยะต่อไปแม้อาจได้รับแรงหนุนจากปัจจัยฐานต่ำในช่วงท้ายปี แต่ยังมีความเสี่ยงด้านต่ำจากการฟื้นตัวของเศรษฐกิจที่เริ่มแผ่วรวมถึงการขยายตัวของเศรษฐกิจโลกชะลอลง SCB EIC มองว่าการฟื้นตัวของการส่งออกไทยในช่วงที่เหลือของปียังขาดหลายปัจจัยหนุน เนื่องจาก 1) เศรษฐกิจจีนมีแนวโน้มฟื้นตัวชะลอลง โดยเศรษฐกิจจีนในไตรมาส 2 ขยายตัวชะลอลง 0.8%QOQ จาก 2.2%QOQ ในไตรมาส 1 การนำเข้าสินค้าของจีนในเดือนมิถุนายนยังหดตัวต่อเนื่อง -8.6%YOY ขณะที่การนำเข้าสินค้าไทยของจีนหดตัวแรง -17.4% ส่วนหนึ่งจากปัจจัยฐานสูงที่มูลค่าการนำเข้าในเดือนมิถุนายน 2565 สูงสุดเป็นอันดับ 3 นับตั้งแต่มีการจัดเก็บข้อมูล แต่หากเทียบข้อมูลเดือนก่อน มูลค่าการนำเข้าของจีนขยายตัว 4.9%MOM_sa

2) ดัชนี Flash Manufacturing PMI ในเดือนกรกฎาคมของประเทศคู่ค้าสำคัญหดตัวแรงต่อเนื่อง นำโดย Eurozone Manufacturing PMI ที่ลดลงมาอยู่ที่ 42.7 (43.4 ในเดือน มิ.ย.) UK Manufacturing PMI ลดลงมาอยู่ที่ 45.0 (46.5 ในเดือน มิ.ย.) Japan Manufacturing PMI ลดลงมาอยู่ที่ 49.4 ต่ำสุดในรอบ 4 เดือน ขณะที่ US Manufacturing PMI ยังอยู่ในภาวะหดตัวที่ระดับ 49.0 แม้ปรับดีขึ้นจาก 46.3 ในเดือนก่อน 3) ข้อมูลเร็วของการส่งออก 20 วันแรกของเกาหลีใต้ในเดือนกรกฎาคมหดตัว -15.2%YOY หลังจากขยายตัว 5.2% ในเดือนก่อนจากปัจจัยฐานต่ำ และหากเทียบกับเดือนก่อนแบบปรับฤดูกาล หดตัว -2.9%MOM_sa นอกจากนี้ การส่งออกไปตลาดจีนและสหรัฐฯ หดตัวมากขึ้น -21.2%YOY และ -7.3%YOY ตามลำดับ ในระยะต่อไปยังต้องจับตา 4) ปัจจัยการเปลี่ยนแปลงสภาพอากาศ (El Nino) ที่อาจกระทบผลผลิตสินค้าเกษตรของไทย คาดว่าจะเริ่มเห็นผลกระทบต่อผลผลิตเกษตรตั้งแต่ปลายปีนี้ แต่ความเสียหายส่วนใหญ่คาดว่าจะเกิดขึ้นในปี 2567

อย่างไรก็ตาม มุมมองการส่งออกของไทยในระยะต่อไปยังพอมีปัจจัยบวกอยู่บ้าง จาก 1) ปัจจัยฐานต่ำโดยเฉพาะในช่วงปลายปี มูลค่าการส่งออกสินค้าของไทยในไตรมาสสุดท้ายของปีก่อนเฉลี่ยที่ 22,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐต่อเดือน เทียบค่าเฉลี่ยปี 2022 ที่สูงเกือบ 24,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ และค่าเฉลี่ย 6 เดือนแรกของปีนี้ที่ 23,500 ล้านดอลลาร์สหรัฐ 2) แรงกดดันอุปทานคอขวดคลี่คลายสู่ระดับก่อนเกิดวิกฤติโควิด ค่าระวางเรือลดต่ำกว่าค่าเฉลี่ยก่อนวิกฤิโควิดแล้ว ส่งผลให้แรงกดดันจากต้นทุนการขนส่งสูงมีแนวโน้มทยอยหมดไป และ 3) ราคาสินค้าโภคภัณฑ์มีแนวโน้มสูงขึ้น จะมีส่วนทำให้มูลค่าการส่งออกปรับเพิ่มขึ้น ทั้งนี้การฟื้นตัวของเศรษฐกิจจีน ประกอบกับการปรับลดกำลังผลิตน้ำมันของ OPEC+ มีแนวโน้มทำให้ราคาพลังงานปรับเพิ่มขึ้น อีกทั้ง นโยบายระงับการส่งออกข้าวของอินเดียคาดว่าจะส่งผลให้ราคาส่งออกข้าวของโลกปรับสูงขึ้นในระยะข้างหน้า  

วิเคราะห์โดย จงรัก ก้องกำชัย นักวิเคราะห์ และ ดร.ปุณยวัจน์ ศรีสิงห์ นักเศรษฐศาสตร์อาวุโส กลุ่มงาน Economic Intelligence Center (EIC)

ข่าวอื่น ๆ ที่น่าสนใจ

ได้รัฐบาลช้า บั่นทอนความเชื่อมั่นเศรษฐกิจ

“อาวุธใหม่” ในสงครามการค้า

STAY CONNECTED

0แฟนคลับชอบ
440ผู้ติดตามติดตาม
spot_img

Lastest News

MUST READ