“ตอนนี้ยังไม่เห็นตัวเลขรวมของมูลค่าการซื้อขาย บอกได้เพียงว่า โบรกเกอร์เหนื่อยกันทุกคน ปีที่แล้วต้นปีมีวอลุ่มซื้อขาย 6 หมื่นล้านบาทต่อวัน ปีนี้เหลือเฉลี่ยวันละ 3-4 หมื่นล้านบาท คาดการณ์ทั้งปีจะอยู่ที่ไม่เกิน 5 หมื่นล้านบาท หรือประมาณ 4 หมื่นล้านบาทบวกลบ สาเหตุมาจากทั้งปัจจัยภายนอก และภายในประเทศ” พิเชษฐ สิทธิอำนวย กรรมการผู้อำนวยการ บล.บัวหลวง และนายกสมาคมบริษัทหลักทรัพย์ไทย ให้ภาพสถานการณ์ตลาดหุ้นในปัจจุบัน
ปัจจัยที่สร้างความผันผวนแก่ตลาดหุ้นจากภายนอกประเทศอย่างที่ทราบกันดีคือ ภาวะสงครามหลายประเทศที่เกิดขึ้น และปัจจัยภายในประเทศที่เคยคาดการณ์ว่าจะดีขึ้นภายหลังการเลือกตั้ง แต่ยังติดประเด็นการเบิกจ่ายที่ค้างคาตั้งแต่เดือนต.ค. 2566 ที่ส่งผลต่อกำไรของบริษัทจดทะเบียน ซึ่งคาดหวังว่า หากการเบิกจ่ายทำได้ในเดือนพ.ค. 2567 รวมทั้ง ถ้าโครงการดิจิทัล วอลเล็ตผ่านได้จะช่วยให้ไตรมาส 3 และ 4 ดีขึ้น
พร้อมกันนั้น ต้องรอดูผลกำไรของไตรมาส 1 และปัจจัยบวกต่างๆ เพื่อให้ความเชื่อมั่นกลับมา หากกำไรบริษัทจดทะเบียนดีขึ้น นักลงทุนจะกลับมา ขณะที่ เงินลงทุนต่างชาติ (Fund Flow) จะไหลไปยังประเทศที่ผลตอบแทนดี
อย่างไรก็ตาม จากสภาวะปัจจัยต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นนั้น เป็นปัจจัยที่ทาง บล. ไม่สามารถแก้ไขได้ สิ่งที่ทำได้คือ การดำเนินการภายใน การเสริมสร้างคุณภาพของบุคลากร เพิ่มพูนความรู้ความสามารถ Upskill – Reskill และมีนักวิเคราะห์รุ่นใหม่ 2 คนมาแนะนำ คือ พิริยพล คงวาณิช ผู้จัดการฝ่ายวิเคราะห์พื้นฐาน และภูวดล ภูสอดเงิน ผู้จัดการฝ่ายกลยุทธ์การลงทุน ทั้งคู่อยู่ในสายงานวิจัย
ส่งสัญญาณกระเตื้องครึ่งปีหลัง
พิริยพล คงวาณิช ผู้จัดการฝ่ายวิเคราะห์พื้นฐานสายงานวิจัย บล.บัวหลวง ให้ข้อมูลว่า จากปัจจัยลบที่ค่อย ๆ หายไป งบเบิกจ่ายที่เคยล่าช้ากำลังจะกลับมา โครงการดิจิทัล วอลเล็ต และคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) จะปรับลดดอกเบี้ย เดือนมิ.ย. ล้วนจะก่อให้เกิดปัจจัยบวก และเชื่อว่า ดัชนีจุดต่ำสุด น่าจะผ่านไปแล้ว
ส่วนปัจจัยที่น่าติดตามคือ ดอกเบี้ยสหรัฐอเมริกา ซึ่งดอกเบี้ยของไทยจะล้อตามสหรัฐอเมริกา
พิริยพล มองด้วยว่า ในครึ่งปีหลังกลุ่มธุรกิจที่น่าจะมีผลประกอบการดี ได้แก่ กลุ่มการเงิน และกลุ่มไอซีที ที่ให้บริการรับเหมา วางระบบ ให้คำปรึกษาด้านเทคโนโลยี จะมีการลงทุนเพิ่มขึ้น โดยเฉพาะจากจีน แต่กลุ่มปิโตรเคมี และกลุ่มธุรกิจยานยนต์ Automotive (AUTO) ยังมีโอกาสปรับตัวลง
ปรับคาดการณ์กำไรต่อหุ้น
ด้านกำไรต่อหุ้น (EPS) ปี 2567 ได้ปรับคาดการณ์เป็น 92 บาทต่อหุ้น จากเคยคาดการณ์เมื่อต้นปีไว้ที่ 95 บาทต่อหุ้น ซึ่งยังคงเพิ่มขึ้นจากปี 2566 ที่มีกำไรต่อหุ้น 76 บาท
นอกจากนี้ หากสงครามไม่แรง ไม่ถึงขั้นส่งกำลังพลไปสนับสนุนในพื้นที่ ดัชนีหุ้นจะไม่หลุดไปสู่ 1,300 จุด จากไตรมาส 2 อยู่ในกรอบ 1,330 – 1,430 จุด จากเป้าหมายดัชนีตลาดหุ้นไทยถึงสิ้นปี 2567 ที่ระดับ 1,539 จุด
ออกผลิตภัณฑ์ใหม่
บรรณรงค์ พิชญากร กรรมการผู้จัดการอาวุโส กิจการค้าหลักทรัพย์ บล.บัวหลวง มีข้อมูลว่า จากลูกค้ากว่า 6 แสนราย เป็นลูกค้าที่แอคทีฟจำนวนเดือนละ 8 หมื่นราย ลดลงจากต้นปี 2566 ที่มี 1.5 แสนรายต่อเดือน โดยลูกค้าที่หายไปค่อนข้างมากคือ ลูกค้ารายย่อย
“การแก้เกมคือ ทำโปรดักส์เข้ามาเสริม โดยเพิ่มทางเลือกลงทุนแก่ลูกค้า เสนอลงทุนต่างประเทศผ่านกองทุนรวมที่ลงทุนในหลายประเทศเพื่อกระจายความเสี่ยง เลือกตัวท็อปของแต่ละประเทศ แล้วมาทำ Portfolio ใหม่ให้ลูกค้า ผ่าน BLS Top Fund Port ที่เป็นตัวแทนขายให้ 17-18 บลจ.อยู่แล้ว”
BLS ทำหน้าที่ช่วยคัดเลือกกองทุนและคอยรีบาลานซ์ตามภาวะตลาด ช่วยแก้ปัญหาลูกค้าที่ไม่ทราบจะเลือกลงทุนในกองทุนอะไรถึงจะดี โดยใช้เงิน 500,000 บาทให้ BLS นำไปกระจาย และปรับเพิ่มลดให้ ซึ่งระยะยาวลูกค้าจะไม่ขาดทุน โดยเปิดตัวเมื่อปี 2566 ปัจจุบัน มีลูกค้าประมาณ 600 คน มูลค่าสินทรัพย์ภายใต้การจัดการ (AUM) ประมาณ 700 ล้านบาท และตั้งเป้าสิ้นปีสู่ 2,000-3,000 ล้านบาท
อีกทั้งยังออกกลยุทธ์ลงทุนแบบใหม่ คือ DCA MIX หรือการลงทุนสม่ำเสมอด้วยจำนวนเงินเท่า ๆ กันทุกเดือน เดือนละ 5,000 บาท โดยสามารถเลือกน้ำหนักการลงทุนได้เองว่าต้องการ ให้เลือกลงทุนตราสารหลักทรัพย์ต่างประเทศ (DR) หรือกองทุน ETF ใด ซึ่งเปลี่ยนแปลงได้ทุกเดือน ช่วยกระจายความเสี่ยงช่วงตลาดหุ้นไทยผันผวน
ตลอดจนเสนอหุ้นกู้อนุพันธ์ประเภทต่าง ๆ เพื่อช่วยกระจายความเสี่ยงการลงทุน และช่วยสร้างผลตอบแทนต่อเนื่อง
ปัจจุบัน ผลิตภัณฑ์ด้านการลงทุนที่มี ประกอบด้วย 1. ลงทุนต่างประเทศ (DR) 2. ตราสารอนุพันธ์ (BLOCK TRADE) 3. กองทุนรวม / จัดพอร์ตด้วยกองทุนรวม / ตราสารหนี้ 4. หุ้นกู้อนุพันธ์แฝง (DW) 5. การยืมและให้ยืมหุ้น 6. สินเชื่อเพื่อการซื้อขายหลักทรัพย์ และ 7. ระบบออมหุ้นอัตโนมัติ
ข่าวอื่น ๆ ที่น่าสนใจ
บล.บัวหลวง คาดเศรษฐกิจโลกเข้าสู่ช่วงเศรษฐกิจชะลอตัว แนะกระจายความเสี่ยงผ่านกองทุนรวม 4 ธีมหลัก
ธุรกิจไทยต้องปรับตัว! ดันธุรกิจให้เป็นมิตรกับโลก
