TH | EN
TH | EN
หน้าแรกBusinessตุลาคมนี้ ไฟเขียว "รวมหนี้ แก้ปัญหาดอกเบี้ย" เชื่อรวมแล้วจ่ายไม่ถึง 10%

ตุลาคมนี้ ไฟเขียว “รวมหนี้ แก้ปัญหาดอกเบี้ย” เชื่อรวมแล้วจ่ายไม่ถึง 10%

ปัญหาหนี้ครัวเรือนที่คาดกันว่าสิ้นปีนี้จะสูงเกิน 90% นั้น ประกอบด้วยหนี้หลัก 2 ประเภท ได้แก่ หนี้ที่มีหลักประกัน (บ้าน/รถยนต์) และหนี้ที่ไม่มีหลักประกัน (หนี้เพื่อการบริโภค อาทิ หนี้บัตรเครดิต สินเชื่อส่วนบุคคล)

คนไทยที่มีปัญหาหนี้สิน มักไม่ได้มีหนี้เฉพาะอย่างใดอย่างหนึ่ง แต่เป็นหนี้ทั้ง 2 ประเภท และเป็นหนี้ต่างสถาบัน ซึ่งมีอัตราดอกเบี้ยไม่เท่ากัน ปัจจุบันเพดานหนี้บัตรเครดิต อยู่ที่ 16% สินเชื่อบุคคล 25% สินเชื่อจำนำทะเบียน 24% และสินเชื่อนาโนไฟแนนซ์ 33% ต่อปี ขณะที่สินเชื่อบ้านมีดอกเบี้ยเอ็มอาร์อาร์ 6-8% ซึ่งหากมีการแก้ไขอนุญาตและสนับสนุนให้มีการรวมหนี้ที่ไม่มีหลักประกันรวมกับหนี้ที่มีหลักประกัน จะทำให้อัตราดอกเบี้ยเฉลี่ยลดลงเหลือไม่ถึง 10%

หลังจากรอคอยมานาน ล่าสุดธนาคารแห่งประเทศไทย ได้ขยับแล้วโดย สุวรรณี เจษฎาศักดิ์ ผู้อำนวยการอาวุโส ฝ่ายนโยบายและกำกับสถาบันการเงิน 2 ธนาคารแห่งประเทศไทย(ธปท.) เปิดเผยว่า ในกลางเดือนตุลาคมนี้ ธปท.เตรียมออกมาตรการใหม่เพิ่มเติมเพื่อสนับสนุนให้เกิดการรวมหนี้ข้ามสถาบันการเงิน ระหว่างสินเชื่อที่มีหลักประกัน กับสินเชื่อไม่มีหลักประกัน เช่น หนี้บ้านรวมกับหนี้บัตรเครดิต ซึ่งจะช่วยลดภาระค่าใช้จ่ายในเรื่องของดอกเบี้ยแก่ลูกหนี้และประชาชน โดยจะมีมาตรการจูงใจสถาบันการเงิน อาทิ เกณฑ์การจัดชั้นหรือผ่อนหลักเกณฑ์เอื้อให้ออกมาตรการรวมหนี้ และมาตรการจูงใจลูกหนี้ เช่น ห้ามสถาบันการเงินคิดค่าธรรมเนียมชำระเงินกู้คืนก่อนครบกำหนด (Prepayment Fee) ซึ่งเชื่อว่าจะช่วยลดดอกเบี้ยได้ถึง 15%

ทั้งนี้ที่ผ่านมา ธปท.สนับสนุนการรวมหนี้บ้างแล้วแต่เป็นการรวมในสถาบันการเงินเดียวกัน ซึ่งไม่ได้รับความสนใจมากนัก เพราะลูกหนี้คิดว่าเมื่อนำสินเชื่อบัตรเครดิตหรือสินเชื่อบุคคลไปรวมกับสินเชื่อบ้านซึ่งมีหลักประกัน ถ้าเกิดปัญหาค้างชำระจะโดนยึดบ้านหรือไม่ ทำให้ธปท.ต้องส่งเสริมความรู้ทางการเงินมากขึ้นด้วย รวมทั้งจะมีมาตรการจูงใจ หวังผลักดันให้ตลาดเกิดการแข่งขันขึ้นมา เป็นประโยชน์ลดภาระให้ประชาชน และสถาบันการเงินสามารถนำเงินในส่วนที่ลดอัตรานำส่งเข้ากองทุนเพื่อการฟื้นฟูและพัฒนาระบบสถาบันการเงิน (เอฟไอดีเอฟ) มาส่งผ่านให้ประชาชนได้ด้วย

“เงินนำส่งเอฟไอดีเอฟที่ลดให้แบงก์ แบงก์จะต้องบอกได้ว่าจะส่งผ่านไปสู่ประชาชนอย่างไร ซึ่งการรวมหนี้นี้สามารถนำมาใช้จ่ายส่วนนี้ได้ และธปท.จะออกกรอบคำนวณว่าอัตราดอกเบี้ยหลังรวมหนี้จะเป็นอย่างไร แต่ไม่ได้กำหนดเป็นอัตราที่แน่นอนขึ้นอยู่กับความเสี่ยง ขณะที่บางนอนแบงก์ที่ไม่ได้มีหนี้ที่มีหลักประกัน ซึ่งเมื่อมีมาตรการนี้อาจทำให้ลูกหนี้ย้ายมารวมกับสถาบันการเงินได้ non-bank เองก็ต้องยอมปล่อยลูกหนี้ออกมา จะบังคับไม่ให้ปิดหนี้เดิมไม่ได้ เนื่องจากกฎหมายกำหนดว่า เมื่อมีเงินไปปิดเจ้าหนี้ก็ต้องรับไว้ ปฏิเสธไม่ได้”

ส่วนการลดเพดานดอกเบี้ย อาจทำให้คนมีความเสี่ยงด้านเครดิต หันไปกู้นอกระบบได้ ซึ่งอาจส่งผลเสียในระบบตามไปด้วย และอาจส่งผลเสถียรภาพระบบการเงินโดยรวมด้วย ที่ผ่านมาธปท.ได้ลดดอกเบี้ยลงเรื่อย ๆ แต่ภาวะเครดิตเสี่ยงสูง ข้อเสียอาจมากกว่าได้ ซึ่งการช่วยลูกหนี้ตรงกลุ่ม ปรับโครงสร้างหนี้ รวมหนี้ จะได้ผลมากกว่า แต่การลดเพดานดอกเบี้ยไม่ได้ปิดประตู ยังเป็นตัวเลือก ถ้าช่วงเวลาไหนเหมาะสมกับการลดเพดานดอกเบี้ยก็พิจารณาได้

ความคืบหน้าของมาตรการช่วยเหลือลูกหนี้ที่ได้รับผลกระทบจากโควิด-19 ธปท.ชี้แจงว่า ณ สิ้นเดือนกรกฎาคา 2564 มีลูกหนี้ได้รับความช่วยเหลือ 5.12 ล้านบัญชี คิดเป็น 3.35 ล้านล้านบาท แบ่งเป็นธนาคารพาณิชย์และ non-bank 2 ล้านบัญชี ยอดหนี้ 2.1 ล้านล้านบาท และลูกหนี้แบงก์รัฐ 3.12 ล้านบัญชี ยอดหนี้ 1.25 ล้านล้านบาท

ด้านสินเชื่อฟื้นฟู ณ วันที่ 20 กันยายน 2564 ปล่อยแล้ว 106,156 ล้านบาท คิดเป็น 34,538 ราย และโครงการพักทรัพย์พักหนี้ มีมูลค่าสินทรัพย์ที่รับโอน 15,167 ล้านบาท ผู้ได้รับความช่วยเหลือ 106 ราย ส่วนใหญ่เป็นผู้ประกอบธุรกิจโรงแรม โรงงาน และสปา

STAY CONNECTED

0แฟนคลับชอบ
440ผู้ติดตามติดตาม
spot_img

Lastest News

MUST READ