TH | EN
TH | EN
หน้าแรกSustainabilityNTT DATA ส่งแพลตฟอร์มบริหารจุดชาร์จรถ 'NXT Mobility Charge' รับดีมานด์รถยนต์ EV โต

NTT DATA ส่งแพลตฟอร์มบริหารจุดชาร์จรถ ‘NXT Mobility Charge’ รับดีมานด์รถยนต์ EV โต

บริษัท เอ็นทีที เดต้า (ประเทศไทย) จำกัด เตรียมพร้อมส่งมอบ NXT Mobility Charge ระบบแพลตฟอร์มบริหารจัดการจุดชาร์จรถยนต์ EV แบบครบวงจร เจาะกลุ่มค่ายรถยนต์ และผู้ประกอบการสถานีเติมน้ำมันและแก๊ส ภาครัฐ กลุ่มผู้พัฒนาอสังหา หลังทั่วโลกให้ความสำคัญกับการใช้รถยนต์ EV เพิ่มมากขึ้น เร่งขยายสถานีชาร์จ หวังสร้างความมั่นใจให้ผู้บริโภค

ฮิโรนาริ โทมิโอกะ ประธานกรรมการและประธานกรรมการบริหาร บริษัท เอ็นทีที เดต้า (ประเทศไทย) จำกัด เปิดเผยว่า บริษัท เตรียมพร้อมส่งมอบบริการ NXT Mobility Charge หรือ บริการ EV Charging Platform เครื่องมือบริหารจัดการสถานีชาร์จรถยนต์ EV โดยให้บริการแพลตฟอร์ม ซึ่งจะเป็นซอฟต์แวร์ช่วยบริหารจัดการจุดชาร์จได้จากศูนย์กลางแบบเบ็ดเสร็จ และบริการพัฒนาโมบายล์ แอปพลิเคชันด้วยการออกแบบและจัดทำแอปพลิเคชันตามความต้องการของลูกค้า เพื่อสนับสนุนการสร้างประสบการณ์ให้ลูกค้าได้ดียิ่งขึ้น

โดยโครงสร้างพื้นฐานหลังบ้านสามารถทำได้ทั้งบน Cloud และ On-Premise เจาะกลุ่มเป้าหมาย ผู้ผลิตและจัดจำหน่ายรถยนต์ EV ผู้ประกอบการสถานีเติมน้ำมัน และสถานีแก๊สเชื้อเพลิงขนาดกลางไปจนถึงขนาดใหญ่ รวมไปถึงผู้ให้บริการสถานีชาร์จรถยนต์ EV ในสังกัดภาครัฐ รัฐวิสาหกิจ ผู้ประกอบการค้าปลีก และผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์ ที่มีนโยบายสนับสนุนการใช้งานรถยนต์ EV เพื่อตอบสนองการทำธุรกิจอย่างยั่งยืน ซึ่งมุ่งให้ความสำคัญกับการลดปริมาณก๊าซเรือนกระจกให้เป็นศูนย์

ทั้งนี้ NXT Mobility Charge ผ่านการรับรองตามมาตรฐาน Open Charge Point Protocol (OCPP standard) เวอร์ชันล่าสุด ซึ่งเป็นมาตรฐานสากลที่ได้รับการยอมรับจากทั่วโลก สามารถยกระดับประสิทธิภาพการบริหารจัดสถานีชาร์จได้จากศูนย์กลาง โดยมีจุดเด่นด้านเทคนิคดังนี้ 

  1. โครงสร้างของชุดซอฟท์แวร์ แบบ Multi-tenant สำหรับผู้ให้บริการเครือข่ายจุดชาร์จรถยนต์ EV (Charge Point Operators: CPO) และผู้ให้บริการการเข้าจุดชาร์จที่หลากหลายรอบพื้นที่ทางภูมิศาสตร์ (e-mobility providers: EMPs) สามารถปรับรูปแบบของ Software ให้เข้ากับรูปแบบธุรกิจที่แตกต่างกัน
  2. เป็นสถาปัตกรรมไอทีแบบ Kernel-based รวมถึงแนวคิดการให้สิทธิ์ในการเข้าถึงข้อมูล สำหรับผู้ให้บริการเครือข่ายจุดชาร์จรถยนต์ EV (CPO) และผู้ขับขี่ 
  3. ช่วยเพิ่มส่วนขยายฟังก์ชันการทำงานแบบเฉพาะเจาะจงตามความต้องของลูกค้า ด้วยโครงสร้างที่มีความยืดหยุ่นสูง สามารถตอบสนองความต้องการของตลาดที่เปลี่ยนไปได้อย่างรวดเร็ว 
  4. การพัฒนาแอปพลิเคชันสามารถนำไปใช้งานบนคลาวด์ (Cloud-native application) ด้วยเทคโนโลยีที่มีความพร้อมใช้งานสูงและปรับขนาดได้อย่างยืดหยุ่น สามารถให้บริการในรูปแบบ PaaS (Platform as a Service) 
  5. ระบบ API ที่การันตีว่าสามารถผสานการทำงานร่วมกับระบบที่มีอยู่เดิมได้อย่างง่ายดาย โดยสามารถให้บริการครบวงจรตั้งแต่บริการให้คำปรึกษา วางแผนและออกแบบ ดำเนินการติดตั้งและการดูแลรักษาระบบ

นอกจากนี้ยังสามารถนำไปใช้สนับสนุน Customer Experience เพื่อต่อยอดบริการที่ดียิ่งขึ้นและส่งเสริมการตลาดรวมไปถึงบริการหลังการขายโดย NXT Mobility Charge จะช่วยให้ผู้ใช้งาน ค้นหาจุดชาร์จที่อยู่ใกล้ และทำการจองคิวเพื่อใช้งานล่วงหน้าผ่านแอปพลิเคชันได้อย่างสะดวกและรวดเร็ว ส่งเสริมการทำ Marketing Campaign ผ่านแอปพลิเคชัน เพื่อสร้างความสนใจในระหว่างรอใช้บริการ ต่อยอดสู่ระบบสะสมคะแนนหรือการเก็บข้อมูลเพื่อการทำ CRM 

สามารถทำงานร่วมกับระบบ Payment gateway ผ่านแอปพลิเคชันที่รองรับการชำระเงินได้หลายรูปแบบ อาทิ Credit card, Debit card, QR code และ Mobile banking รวมถึง e-Wallet หรือระบบการชำระเงินผ่านแอปพลิเคชัน ซึ่งเป็นบริการเสริมที่ช่วยให้การนำข้อมูลมาวิเคราะห์ ต่อยอดกิจกรรมทางการตลาดและพัฒนารูปแบบการให้บริการ และยังช่วยส่งเสริมการใช้พลังงานอย่างมีประสิทธิภาพ และบริการจัดการการใช้พลังงานจุดชาร์จรถยนต์ EV ให้คุ้มค่าที่สุด ด้วยระบบ Intelligent Energy Management  

“ปัจจุบันทั่วโลกกำลังผลักดันการใช้ยานยนต์ไฟฟ้า เพื่อมุ่งสู่ Net Zero ลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ (CO2) โดยสมาพันธ์ Zero Emission Vehicle Transition Council มีข้อตกลงเห็นพ้องตรงกันว่า ภายในปี 2583 ผู้ผลิตรถยนต์จะเดินหน้าผลิตและจำหน่ายยานพาหนะที่ปล่อยมลพิษเป็นศูนย์ ประกอบกับยานยนต์ไฟฟ้าที่จะเป็นหนทางสำคัญในการหลุดพ้นจากปัญหาราคาน้ำมันที่ผันผวน โดยทั่วโลกเริ่มหันมาให้ความสำคัญมากขึ้น

ในขณะที่ประเทศไทยเริ่มมีความชัดเจนในมาตรการกระตุ้นการผลิตและการใช้รถยนต์พลังงานไฟฟ้ามากขึ้น ทั้งในส่วนของมาตรการทางภาษี โดยวางเป้าหมายภายในปี 2573 จะผลิตรถยนต์พลังงานไฟฟ้า 100% หรือ EV ให้ได้ร้อยละ 30 หรือประมาณ 6.22 ล้านคัน และความท้าทายสำคัญในการกระตุ้นเพื่อเพิ่มสัดส่วนการใช้รถยนต์EV ให้ประสบผลสำเร็จ คือการเพิ่มจำนวนจุดชาร์จไฟฟ้าแบบเร็วตามพื้นที่สาธารณะต่างๆ ให้เพียงพอ ปัจจุบันประเทศไทยมีจุดชาร์จประมาณ 600 จุด โดยหัวใจสำคัญของการให้บริการจุดชาร์จ คือการบริหารจัดการจุดชาร์จอย่างมีประสิทธิภาพ คุ้มค่า คุ้มทุน และสร้างรายได้ให้กับธุรกิจอย่างยั่งยืน” ฮิโรนาริ กล่าวสรุป

ข่าวอื่น ๆ ที่น่าสนใจ

ดีแทค พร้อมรับกฎหมาย PDPA ย้ำหลักสิทธิมนุษยชน-ธรรมาภิบาล

“บ้านปู เน็กซ์” แนะ 5 เทรนด์ พลิกโฉมสู่ Smart Factory

WHAUP คว้าดีลติดตั้ง Solar Rooftop ศูนย์การค้าเมกาบางนา ขนาด 10 MW จ่อเซ็นสัญญาเพิ่ม 3 โครงการ

STAY CONNECTED

0แฟนคลับชอบ
440ผู้ติดตามติดตาม
spot_img

Lastest News

MUST READ