Story of Business • Technology • Sustainability
Share on
×

Share

สมชัย สิทธิชัยศรีชาติSIS ยืนหนึ่ง IT Distributor เพราะเข้าใจในเทคโนโลยี

“สมชัย สิทธิชัยศรีชาติ” แม่ทัพ “SiS” - IT distributor ไทย ที่ครองแชมป์ได้ยาวนาน 30 ปี ท่ามกลางการเปลี่ยนแปลง

ความเข้าใจในเทคโนโลยี เข้าใจความต้องการของตลาด และเข้าใจบทบาทของ IT distributor แบบไทยๆ เป็นปัจจัยที่ทำให้ สมชัยสิทธิชัยศรีชาติ สามารถบริหารธุรกิจ ขายส่งสินค้าและบริการไอที ได้ดีตลอดเกือบ 30 ปี นำพาบริษัท เอสไอเอส ดิสทริบิวชั่น (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) หรือ SiS ที่เขาปลุกปั้นมากับมือ เติบโตอย่างต่อเนื่องแม้ในช่วงเวลาที่โลกไอทีเปลี่ยนเร็วและแรง

การเน้นเลือกผลิตภัณฑ์ที่สอดคล้องกับบริบทของไทย และการวางกลยุทธ์ในการให้บริการอย่างเข้าใจพฤติกรรมของผู้บริโภค ทำให้วันนี้ SiS ยังคงรักษาแชมป์ในธุรกิจจัดจำหน่ายสินค้าไอที โดยได้รับเลือกจากผู้ผลิตชั้นนำเกือบ 200 ราย ให้เป็นตัวแทนจำหน่ายในประเทศไทย จนสามารถสร้างยอดขายระดับ 3 หมื่นล้านบาทต่อปี

บทสนทนากับ The Story Thailand ต่อไปนี้จึงเต็มไปด้วยเรื่องราวจากประสบการณ์อันโชกโชนในฐานะผู้ประกอบการคนหนึ่งซึ่งมีคุณค่าแก่การเรียนรู้สำหรับทุกคนที่สนใจในวิถีธุรกิจบริการสินค้าเทคโนโลยี

ปรับตามสภาพตลาด แต่ภารกิจคงเดิม

สมชัย สิทธิชัยศรีชาติ กรรมการผู้จัดการ บริษัท เอสไอเอส ดิสทริบิวชั่น (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) บอกกับ The Story Thailand ว่าภารกิจหลักของ SiS ตั้งแต่เริ่มก่อตั้งยังไม่มีการเปลี่ยนแปลงจนถึงวันนี้ คือ การคัดเลือกเทคโนโลยีที่เหมาะกับประเทศไทย โดยจัดประเภทออกเป็น 3 กลุ่ม ได้แก่ กลุ่มสินค้าเทคโนโลยีที่เติบโตเต็มที่หรือ mature เช่น คอมพิวเตอร์พีซี กลุ่มเทคโนโลยีที่กำลังเติบโตหรือ growth และกลุ่มเทคโนโลยีเกิดใหม่หรือ emerging เช่น บริการคลาวด์ เทคโนโลยีพลังงาน

เราเลือกเทคโนโลยีที่คิดว่าเหมาะที่จะใช้ในประเทศไทยเพราะเทคโนโลยีมีเยอะมากบางอย่างเหมาะบางอย่างยังไม่ถึงเวลาเทคโนโลยีมีหลายด้านบางด้านเราไม่ได้ไปทางนั้นตัวอย่างเช่นประเทศไทยเหมาะกับเทคโนโลยีโซลาร์เซลล์หรือพลังงานแสงอาทิตย์มากกว่าเทคโนโลยีพลังงานลมเนื่องจากไทยเด่นเรื่องแสงแดดแต่ไม่ใช่ประเทศที่ลมแรงเทคโนโลยีด้านไอทีก็ไม่ต่างกันจึงต้องเลือกสิ่งที่เหมาะสมก่อนจะนำเข้ามาทำตลาด

นอกจากเทคโนโลยีที่เหมาะสมกับประเทศไทย SiS ยังเน้นว่าสินค้าและบริการนั้นจะต้องทำให้เกิด economy of scale หรือการซื้อขายราคาส่งล็อตใหญ่ในราคาที่ต่ำลง หากทำไม่ได้ SiS จะไม่เลือกทำตลาดสินค้าและบริการนั้น

SiS จดทะเบียนจัดตั้งบริษัทขึ้นเมื่อวันที่ 17 มิถุนายน 2541 และเริ่มดำเนินธุรกิจในปี 2542 เพื่อประกอบธุรกิจขายส่งคอมพิวเตอร์ อุปกรณ์ต่อพ่วงและอุปกรณ์สำนักงานอัตโนมัติต่างๆ สินค้าที่ทำตลาดมาตั้งแต่ปีแรกจนถึงปัจจุบันคือคอมพิวเตอร์ส่วนบุคคล แม้จะเป็นสินค้าที่มีกำไรน้อย แต่เป็นกลุ่มสินค้าที่ซื้อง่ายขายคล่อง และมีมูลค่าการซื้อขายสูง

ในการเลือกสินค้าสิ่งแรกต้องดูว่ามันจะเกิดหรือไม่บางอย่างทำท่าดูดีแต่ไม่เกิดเราต้องเลือกให้ถูกตัวสิ่งที่สองต้องดูเรื่องของจังหวะเวลาถ้าเอาเข้ามาเร็วไปทำให้ลงทุนนานเกินไปซึ่งไม่ควรจะเกิน 5 ปีให้ดีประมาณ 2 ปีหมายถึงว่าเรานำสินค้าเข้าสัก 2 ปีตลาดตอบรับแล้ว

สมชัยบอกว่า 70 เปอร์เซ็นต์ของรายได้มาจากกลุ่มเทคโนโลยีที่เติบโตเต็มที่ และ 30 เปอร์เซ็นต์มาจากส่วนที่กำลังเติบโตและเกิดใหม่ ที่น่าสนใจคือแม้ว่าเทคโนโลยีที่เติบโตเต็มที่จะเป็นรายได้หลัก แต่กำไรขั้นต้นจากเทคโนโลยีใหม่ๆ แซงหน้าผลิตภัณฑ์ที่เติบโตเต็มที่แล้ว สะท้อนว่า SiS คิดถูกแล้วกับการหันมาโฟกัสโซลูชันที่มุ่งเน้นอนาคตอย่างบริการคลาวด์ (Cloud services)

ทำไม AWS เลือกขายคลาวด์ผ่าน SiS

คลาวด์เป็นบริการที่กำลังได้รับความนิยมและมีการเติบโตมาก การได้รับแต่งตั้งเป็นผู้จัดจำหน่าย หรือดิสทริบิวเตอร์รายแรกในประเทศไทยสำหรับกลุ่มผู้ใช้บริการที่เป็นภาคเอกชนจาก Amazon Web Services (AWS) หนึ่งในผู้ให้บริการคลาวด์รายใหญ่ของโลก ถือเป็นก้าวสำคัญอีกครั้งหนึ่งของ SiS ที่ขยับขยายเข้าสู่ตลาดบริการไอทีที่มีอนาคตอีกยาวไกล

การที่ AWS เลือก SiS ทำหน้าที่ขยายฐานตลาดผ่านคู่ค้าและตัวแทนจำหน่ายทั่วประเทศเป็นเรื่องที่เข้าใจได้เพราะ SiS เป็นไอทีดิสทริบิวเตอร์ที่มีเครือข่ายแข็งแกร่งมาก แต่หลายคนกลับมีข้อสงสัยเมื่อพิจารณาจากรูปแบบการให้บริการคลาวด์ ที่ผู้ใช้สามารถคลิกซื้อและใช้งานผ่านระบบออนไลน์ได้โดยตรง เหตุใดจึงต้องทำตลาดผ่านตัวกลางอย่างบริษัทจัดจำหน่ายด้วย

สมชัยให้คำตอบในเรื่องนี้ว่า บทบาทของดิสทริบิวเตอร์ในยุคทองของคลาวด์ไม่ได้อยู่ที่การจัดการด้านโลจิสติกส์เหมือนสินค้าไอทีอื่นๆ แต่มีความสำคัญในด้านการให้เครดิตทางการเงินกับลูกค้าองค์กรของไทย โดยเฉพาะกลุ่มผู้ประกอบการขนาดย่อม ขณะเดียวกันก็เป็นหนทางแก้ปัญหาข้อจำกัดในการชำระค่าบริการเป็นเงินบาท ซึ่งทำให้ผู้ให้บริการคลาวด์ระดับโลกไม่สามารถขายตรงได้ กระทั่งเงื่อนไขการเจรจาทำสัญญากับหน่วยงานภาครัฐของไทยด้วย

ตอนนี้เรามีดีลเลอร์เกือบ 1 หมื่นรายส่วนใหญ่เป็น SME การให้เครดิตเป็นสิ่งสำคัญมากอย่างคลาวด์ถ้าครบกำหนด 30 วันไม่จ่ายถูกตัดเซอร์วิซเลยตรงนี้เราเข้ามาคั่นกลางได้อย่างคุยกันขอวางบิล 30 วันไปๆมาๆอาจยืดเป็น 60-70 วัน

ปัจจุบันดีลเลอร์ของ SiS เกิน 90 เปอร์เซ็นต์ เป็นผู้ค้ารายเล็ก แต่สร้างมูลค่าคิดเป็นสัดส่วน 60 – 70 เปอร์เซ็นต์ ส่วนลูกค้ากลุ่ม SME มีจำนวนคิดเป็น 60 เปอร์เซ็นต์ การขายส่งจากดิสทริบิวเตอร์มีประโยชน์สำคัญ 2 อย่าง คือ เรื่องโลจิสติกส์กับเรื่องเครดิต

คนมักจะรู้จักดิสทริบิวเตอร์ว่าทำสองเรื่องอย่างเรื่องโลจิสติกส์ของสินค้าเราสั่งซื้อสินค้าครั้งละตู้แต่มาขายทีละชิ้นแน่นอนว่าการขายแบบนี้มีประโยชน์ต่อลูกค้าเช่นเดียวกับเรื่องการให้เครดิตเพราะไม่ว่าจะเป็นสินค้าอะไรก็ต้องการเครดิตทั้งนั้นซึ่งความจริงเราทำมากกว่านั้น

เขาเล่าที่มาของการได้เป็น 1 ใน 12 ผู้จัดจำหน่ายกลุ่ม First Tier ของ AWS ว่า เดิม AWS เชื่อว่าสามารถขายตรงถึงองค์กรบริษัทไทยได้ แต่หลังจากเข้ามาแล้วพบว่ามีข้อจำกัดหลายเรื่องจึงต้องตัดสินใจแต่งตั้งผู้จัดจำหน่ายขึ้นมา

การขายตรงมีข้อจำกัดหลายเรื่องยกตัวอย่างสิ่งที่ AWS ทำไม่ได้เลยคือการเก็บค่าบริการเป็นเงินดอลลาร์สหรัฐมีบริษัทไทยกี่รายที่ซื้อเป็นเงินดอลลาร์สหรัฐได้แต่ลูกค้าส่วนใหญ่ไม่ยอมโดยเฉพาะหน่วยงานราชการจ่ายเป็นเงินดอลลาร์สหรัฐไม่ได้แน่นอนหรือเวลาลูกค้าจะจ่ายค่าบริการด้วยบัตรเครดิตก็มีปัญหาเรื่องกระบวนการยิ่งยากอีกเมื่อผ่านไปสักพัก AWS ก็รู้ว่าการขายตรงมีอุปสรรคอยู่มาก

สัญญาของราชการไทยมีบทปรับแถมยังปรับแบบไม่มีที่สิ้นสุดจนกว่าผู้ค้าจะส่งของได้เรื่องนี้บริษัทไทยจะสามารถจัดการและรับความเสี่ยงได้ดีกว่าบริษัทต่างชาติ

สมชัยเชื่อว่าคลาวด์เป็นสินค้าพิเศษที่จำเป็นต้องใช้ผู้จัดจำหน่ายในตลาดไทยมากกว่าระบบไอทีทั่วไป โดยเฉพาะการแต่งตั้งผู้จัดจำหน่าย 12 รายนั้น อาจจะไม่เพียงพอ เนื่องจากวิสัยทัศน์ของ AWS มองว่าทุกองค์กรไม่ควรมี datacenter ของตัวเองอีกต่อไป

“AWS ได้สร้างคลาวด์ขนาดใหญ่พร้อมใช้งานไว้ให้แล้วและองค์กรสามารถจ่ายเงินเป็นรายชั่วโมงสามารถใช้งานครึ่งวันหรือปิดการใช้งานเท่าที่ต้องการเพื่อลดค่าใช้จ่ายที่ไม่จำเป็นหมายความว่า AWS ต้องการคว้าองค์กรไทยทั้งประเทศมาเป็นลูกค้าซึ่งเป้าหมายขนาดใหญ่นี้เองที่ทำให้การแต่งตั้งผู้จัดจำหน่าย 12 รายอาจน้อยเกินไป

เขาบอกว่า AWS ใช้เวลากว่า 2 ปีในการแต่งตั้งผู้จัดจำหน่ายสิบกว่าราย เนื่องจากมีเงื่อนไขที่เข้มงวด ขณะเดียวกันผู้ค้ากลุ่ม First Tier ที่จะสื่อสารโดยตรงกับ AWS จะต้องผ่านกฎเหล็ก ซึ่งได้แก่การตรวจสอบว่าผู้จัดจำหน่ายรายนั้นมีนโยบายดำเนินการตามคำสั่งศาลสหรัฐฯ ด้านการ sanction หรือไม่ ทำให้เบื้องต้น SiS ต้องยอมรับเงื่อนไขทุกข้อเพื่อให้สามารถเป็นผู้จัดจำหน่าย AWS ในประเทศไทย

กว่าจะเป็น Distributor รายแรกของ AWS

บริษัท SiS ได้รับแต่งตั้งเป็นดิสทริบิวเตอร์ของ AWS เมื่อปี 2566 หลังจากเคยทำตลาดคลาวด์ของตัวเองในชื่อ SiS Cloud ตั้งแต่ปี 2561 โดยมีการลงทุน server และทำตลาดจริงจังผ่านพันธมิตรเพื่อให้ดีลเลอร์นำไปจำหน่ายอีกทอด

เราลงทุนสร้าง datacenter เองช่วงแรกตั้งใจจะขายกลุ่ม SME เพราะคิดว่าบริษัทใหญ่คงไม่มาใช้บริการของเราแต่กลายเป็นว่าบริษัทใหญ่มาก่อนเลยมีบริษัทประกันเช่นไทยประกันชีวิตกลุ่มธนาคารอย่างธนาคารออมสินมาใช้เป็น CRM server รวมลูกค้าบริษัทที่ใช้คลาวด์ของ SiS กว่า 1 พันบริษัท

การมีประสบการณ์เคยสร้างระบบคลาวด์ของตัวเอง ทำให้เขามั่นใจว่า SiS จะได้เปรียบหลังรับแต่งตั้งเป็นผู้จัดจำหน่าย AWS เนื่องจากทีมงานมีองค์ความรู้ด้านการรับมือกับปัญหาจากการที่ได้พบเจอ และลงมือทำมาทั้งหมดแล้ว

“AWS ถามผมว่ามีทีมมาทำคลาวด์ให้เขากี่คนแล้วจะระดมทีมมาได้เมื่อไหร่ตอนนั้นเรามีคนทำ SiS Cloud อยู่ 24 คนผมบอกไปว่ามี 12 คน AWS อาจไม่เชื่อจึงขอข้อมูลอย่าละเอียดทั้งชื่อนามสกุลวุฒิการศึกษาระยะเวลาการทำงานและมี skill ด้านไหนจึงจะเชื่อได้

แต่เบื้องลึกของการได้เป็นผู้จัดจำหน่ายรายแรกในเมืองไทยของ AWS สมชัยเปิดเผยว่า ย้อนเวลาไปก่อนหน้าเริ่มต้นสร้าง SiS Cloud ของตัวเอง เขาเคยติดต่อเป็นตัวแทนธุรกิจกับ AWS แต่ได้รับการแจ้งว่า AWS ยังไม่สนใจตลาดเมืองไทย จึงคิดว่าจะต้องทำคลาวด์ด้วยตัวเอง เนื่องจากเขาสัมผัสได้ถึงความรู้สึกกังวลของบรรดาผู้ผลิต server ทั้งหลายที่ SiS เป็นดิสทริบิวเตอร์ ทุกรายล้วนเกรงว่าคลาวด์จะทำให้ความต้องการคอมพิวเตอร์แม่ข่ายไม่เพิ่มขึ้น แต่จะเกิดการสั่งผลิตตามความต้องการเท่านั้น

เวลานั้นทุกรายต่างรู้ตัวว่าลูกค้าที่หันไปใช้คลาวด์จะไม่ซื้อ server แล้วแนวโน้มยอดขายของผู้ผลิตอย่าง HP Dell และ Lenovo มีโอกาสค่อยๆลดลงจึงมีความพยายามบอกกลุ่มผู้จัดจำหน่ายให้ช่วยรั้งลูกค้าอย่าไปคลาวด์แต่หลังจากมีลูกค้าบางกลุ่มย้ายไปคลาวด์แล้วผู้ผลิตก็ส่งสัญญาณบอกว่าต้องเป็นไฮบริด

สถานการณ์นี้ทำให้เขารู้ทันทีว่า คลาวด์เป็นเทรนด์ที่มาแรง เมื่อไม่ได้รับคำตอบหลังจากติดต่อไปที่ผู้ให้บริการคลาวด์อันดับ 1 อย่าง AWS เขาก็ตัดสินใจสร้าง SiS Cloud ขึ้นด้วยความมั่นใจว่าจะประสบความสำเร็จ

อย่างที่บอกเราอยู่ในวงการเทคโนโลยีอะไรที่มันเกิดแน่ๆเราต้องเข้าไปทำตอนนั้นมั่นใจเกิน 50 เปอร์เซ็นต์แต่เมื่อไม่มีใครให้เราร่วมทำก็ทำเองเลยพอไปคุยกับ HP และ Lenovo เขากระโดดกอดเลยและสนับสนุนให้ SiS ทำแข่งกับ AWS จะเอาอะไรบอกเลยเขาช่วยเต็มที่พอเราซื้อ server มาทำเขาก็รักเรามาก

ลงทุนกับเทคโนโลยีใหม่เพื่อลดความเสี่ยง

สมชัยเผยว่าการเป็นบริษัทในตลาดหลักทรัพย์มักจะได้รับแรงผลักดันให้ดำเนินการด้านการจัดการความเสี่ยง ซึ่งเขาทราบดีว่าสถานการณ์ได้เปลี่ยนไปเมื่อเทียบกับช่วง 5-10 ปีก่อนหน้านี้ ที่สินค้าหลักที่จำหน่ายเวลานั้นยังไม่ mature แต่ทุกอย่างได้เปลี่ยนไปแล้ว

วันนี้รายได้หลักของ SiS มาจากสินค้ากลุ่ม mature 70 เปอร์เซ็นต์ และกลุ่ม growth กับกลุ่ม emerging รวมกัน 30 เปอร์เซ็นต์ แต่กำไรขั้นต้นกลับมีสัดส่วนเป็น 55-45 เนื่องจากสินค้ากลุ่ม growth และกลุ่ม emerging ทำกำไรแซงหน้าธุรกิจดั้งเดิมไปแล้วตั้งแต่ไตรมาส 1 ของปี 2566 และเชื่อว่าหลังจากนี้สัดส่วนจะยิ่งห่างขึ้นอีกเพราะสินค้ากลุ่ม mature ทั้งพีซี โน้ตบุ๊ค เซิร์ฟเวอร์ โทรศัพท์มือถือ เครื่องพิมพ์ ไม่มีการเติบโต ถึงเวลาต้องหาเทคโนโลยีใหม่ พร้อมกับบริการที่เพิ่มคุณค่าได้มาเสริมเพื่อทำให้บริษัทยังอยู่ได้และเติบโตต่อไป

“AI เป็นของใหม่ถูกมองว่ามีประโยชน์มหาศาลนักวิเคราะห์อุตสาหกรรมจาก Gartner บอกว่าบริษัทผลิตคอมพิวเตอร์พีซีจะลืมตาอ้าปากได้อีกครั้งเมื่อ AI มากระตุ้นความต้องการใช้เครื่องใหม่ที่มีสเปกดีกว่าแต่เราเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่งมันก็เหมือนอินเทอร์เน็ตในยุคเริ่มต้นต้องใช้เวลาไม่ใช่แค่ปีหรือสองปีแต่มันจะขึ้นต่อเนื่องนับสิบปีโดยเฉพาะการเอาอินเทอร์เน็ตมาประยุกต์ในสินค้า AI”

ปกติ SiS จะเอาเงินราว 20-30 เปอร์เซ็นต์ของกำไรมาลองผิดลองถูก รวมถึงลองขาดทุนกับสินค้าและบริการกลุ่ม emerging สินค้าใดผ่านก็จะขยับมาเป็นกลุ่ม growth ที่ไม่ผ่านก็จะถูกยกเลิกไป

การนำเงิน 20-30 เปอร์เซ็นต์ของกำไรมาลงทุนในเทคโนโลยีใหม่เช่นนี้ถือเป็นการรักษาสมดุลระหว่างการบริหารธุรกิจหลักและการลงทุนในอนาคตซึ่งช่วยเสริมให้ SiS มีจุดยืนเป็นผู้นำเทรนด์เทคโนโลยีเสมอมา

หนทางข้างหน้าของผู้นำ IT Distributor

ปัจจุบัน SiS มีพันธมิตรฝั่งซัพพลายเออร์มากกว่า 170 เวนเดอร์ จำนวนรหัสสินค้าหรือ SKU มากกว่า 4-5 หมื่นรายการ มีคลังสินค้าขนาดใหญ่ 16,000 ตารางเมตร จำนวน 1 แห่ง มีพนักงานกว่า 900 คน

ก่อนเข้าตลาดฯในปี 2547 เรามีปัญหาด้านการเงินแม้จะเติบโต 30 เปอร์เซ็นต์ต่อปีแต่กำไรเราทำไม่ทันจึงต้องกู้แบงก์ไปเรื่อยๆยิ่งเติบโตเยอะยิ่งติดลบเพราะเราได้เครดิตจากซัพพลายเออร์แค่ 30 วันแต่เครดิตลูกหนี้ 60 วันด้วยความอยากเติบโตจึงหยุดขายไม่ได้เราใช้เงินทุนหมุนเวียนประมาณหมื่นล้านบาทโชคดีที่ตอนนี้ประมาณ 1 ใน 3 คือเงินเราเองกู้แบงก์อีก 1 ใน 3 และซัพพลายเออร์มาช่วยให้เครดิตอีก 1 ใน 3 ปัญหาเรื่องเงินก็แก้ไปได้

แต่ผลประกอบการช่วง 2-3 ที่ผ่านมา บริษัทมีรายได้และกำไรลดลง ส่วนหนึ่งมาจากภาวะเงินเฟ้อทำให้ต้นทุนต่างๆ เช่น ค่าแรง ค่าดำเนินการ เพิ่มสูงขึ้น จึงพยายามปรับตัวโดยใช้เทคโนโลยีและระบบอัตโนมัติเข้ามาทำงานแทนแรงงานคนมากขึ้น และปรับตัวเข้าสู่ธุรกิจที่มี service เพิ่มเติม โดยมุ่งเน้นธุรกิจที่มีรายได้แบบ recurring เช่น subscription, maintenance ซึ่งมีการแข่งขันด้านราคาไม่สูงมาก

หนึ่งในธุรกิจที่สร้างรายได้แบบ recurring หรือรายได้แบบสมาชิกคือ Cloud service ซึ่งสมชัยเชื่อว่าจะเป็นตัวช่วยให้รายได้ของ SiS นิ่ง มากขึ้น การเป็นผู้จัดจำหน่ายคลาวด์ของ AWS เป็นตัวอย่างหนึ่งของการปรับตัวที่ประสบความสำเร็จ ยืนยันได้จากการคว้ารางวัล APJ Rising Star Distributor Partner of the Year ของภูมิภาค Asia Pacific and Japan (APJ) สองปีติดต่อกัน ในฐานะ AWS partner ที่สร้างผลงานเติบโตโดดเด่น

นอกจากนี้ยังตกลงเป็นพันธมิตรกับผู้ให้บริการคลาวด์สัญชาติจีนชื่อ ZStack โดยได้รับแต่งตั้งเป็นตัวแทนจำหน่ายเพียงรายเดียวในประเทศไทย

การเป็นพันธมิตรกับคลาวด์จากเซี่ยงไฮ้คือ Zstack เป็นการแทนที่ VMware ที่เราเคยเป็นผู้จัดจำหน่ายแต่โดนซื้อกิจการไปแล้วขึ้นราคาตลอดกลุ่มเป้าหมายที่วางไว้คือคนที่ใช้ VMware ทุกคนซึ่งมีปัญหาว่าถ้าต้องเปลี่ยนจะเปลี่ยนไปไหนนี่เป็นหนึ่งในโซลูชันที่เราเสนอให้ลูกค้า

ทุกวันนี้ธุรกิจค้าส่งสินค้าและบริการไอทีของ SiS ดำเนินการใน 3 ประเทศ ได้แก่ ไทย อินโดนีเซีย และฮ่องกง ผ่านการลงทุนของผู้ร่วมก่อตั้งที่มีสัญชาติตามแต่ละประเทศ ซึ่งไม่รู้ว่าอนาคตจะเป็นอย่างไร แต่สิ่งหนึ่งที่ สมชัยสิทธิชัยศรีชาติในฐานะผู้ร่วมก่อตั้ง SiS ได้ฝากไว้เป็นบทเรียนคือ ความเข้าใจในสิ่งที่ทำ กับความเท่าทันต่อความเปลี่ยนแปลงจะทำให้ธุรกิจก้าวเดินต่อไปได้แม้ในวันที่ทุกอย่างไม่เหมือนเดิม

บทสัมภาษณ์อื่น ๆ ที่น่าสนใจ

“ดร.กอบกฤตย์ วิริยะยุทธกร” จากเด็กติดเกม สู่นักพัฒนา AI แห่ง iApp Technology

อโณทัย เวทยากร กับภาระกิจปั้น IBM สู่ผู้นำ AI และ Hybrid Cloud

“ดร.พัทน์ ภัทรนุธาพร” Postdoc จาก MIT กับสมการ “โดราเอมอน=AI+จิตวิทยา”


×

Share

ผู้เขียน