ประเทศไทยกำลังยืนอยู่บนจุดเปลี่ยนสำคัญ ที่ซึ่งเมกะเทรนด์ระดับโลกกำลังกำหนดทิศทางการพัฒนาและความสามารถในการแข่งขันในอนาคต สองพลังขับเคลื่อนหลักที่โดดเด่นคือ การปฏิวัติพลังงานสีเขียว และ การก้าวกระโดดของเทคโนโลยีการแพทย์และสุขภาพ ซึ่งไม่เพียงแต่จะเปลี่ยนแปลงภูมิทัศน์ทางเศรษฐกิจและสังคม แต่ยังเป็นกุญแจสำคัญสู่ความยั่งยืนและความเป็นอยู่ที่ดีของคนในชาติ
ท่ามกลางความเปลี่ยนแปลงนี้ สองผู้เชี่ยวชาญจากอุตสาหกรรมหลัก นฤชล ดำรงปิยวุฒิ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท กันกุลเอ็นจิเนียริ่ง จำกัด (มหาชน) และศาสตราจารย์ ดร. นายแพทย์วิปร วิประกษิต ประธานกรรมการบริหาร บริษัท แอท-ยีนส์ จำกัด จะมาเปิดมุมมองเจาะลึกถึงศักยภาพ ความท้าทาย และกลยุทธ์สำคัญที่จะนำพาประเทศไทยก้าวไปข้างหน้า
พลังงานสีเขียว ขับเคลื่อนไทยสู่อนาคตยั่งยืน
นฤชล กล่าวว่า ปัจจุบันกฎเกณฑ์ด้านสิ่งแวดล้อมได้กลายเป็นบรรทัดฐานใหม่ในการดำเนินธุรกิจอย่างไม่อาจหลีกเลี่ยง เห็นได้จากมาตรการปรับคาร์บอนก่อนข้ามพรมแดน (CBAM) และการเตรียมบังคับใช้ภาษีคาร์บอน ซึ่งผลักดันให้ทั่วโลกมุ่งสู่เป้าหมาย Net Zero Emissions ภายในปี 2050 โดยเฉลี่ย
สำหรับประเทศไทยนั้นมีปัจจัยบวกและศักยภาพอยู่ไม่น้อย นฤชลชี้ว่า แผนพัฒนาพลังงานแห่งชาติ (PDP) ที่ตั้งเป้าเพิ่มสัดส่วนพลังงานสะอาดเป็น 50% ภายใน 12-13 ปีข้างหน้า โดยคาดว่าจะก่อให้เกิดเม็ดเงินลงทุนเฉพาะโซลาร์และลมราว 1 ล้านล้านบาท นับเป็นสัญญาณบวกที่สำคัญ ประกอบกับต้นทุนเทคโนโลยีพลังงานแสงอาทิตย์ที่สามารถผลิตไฟฟ้าได้ถูกที่สุดในโลกตั้งแต่ปี 2019 และการพัฒนาอย่างรวดเร็วของแบตเตอรี่ ซึ่งคาดว่าจะเติบโตถึง 100 เท่าภายใน 5 ปีข้างหน้า ทำให้พลังงานสะอาดที่มีเสถียรภาพและราคาแข่งขันได้นั้นอยู่ใกล้แค่เอื้อม
ประเทศไทยยังมีจุดแข็งด้านเสถียรภาพโครงข่ายไฟฟ้าที่เหนือกว่าหลายประเทศในภูมิภาค เช่น มาเลเซีย เวียดนาม ฟิลิปปินส์ และอินโดนีเซีย รวมถึงการมีแสงแดดและพื้นที่เพียงพอซึ่งแตกต่างจากสิงคโปร์ และระบบนิเวศอุตสาหกรรมพลังงานที่แข็งแกร่ง
อย่างไรก็ตาม ความท้าทายและแรงกดดันก็มีอยู่มากเช่นกัน นฤชลแสดงความกังวลต่อเป้าหมาย Net Zero ของไทยในปี 2065 ซึ่งช้ากว่าค่าเฉลี่ยโลกถึง 15 ปี และช้ากว่าเป้าหมายของนักลงทุนรายใหญ่อย่าง Google ซึ่งตั้งเป้าปี 2030 ทำให้ไทยช้ากว่าถึง 35 ปี ปัจจัยนี้ส่งผลกระทบต่อการดึงดูดการลงทุนและอาจสร้างต้นทุนแฝงทางคาร์บอนให้ผู้ประกอบการไทยทุกขนาด
แม้แผน PDP จะตั้งเป้าพลังงานสะอาด 51% แต่ผลการศึกษาของ Bloomberg ชี้ว่าไทยต้องการสัดส่วนถึง 77% ซึ่งหมายถึงการลงทุนกว่า 3 ล้านล้านบาท เพื่อให้บรรลุ Net Zero ได้จริง เมื่อเทียบกับเวียดนาม ซึ่งเคยตามหลังไทยแต่ปัจจุบันกลับแซงหน้าไปมาก โดยเฉพาะด้านพลังงานแสงอาทิตย์ (เวียดนามมีกำลังผลิต 23,000 MW ขณะที่ไทยมี 4,000-5,000 MW และสัดส่วนใน Energy Mix อยู่ที่ 13% เทียบกับ 5% ของไทย) ยิ่งสะท้อนถึงความจำเป็นที่ไทยต้องเร่งเครื่อง
นฤชลยังได้ย้ำบทเรียนจากเวียดนามเรื่องปัญหาโครงข่ายสายส่งที่พัฒนาตามไม่ทันการเติบโตของโรงไฟฟ้า ซึ่งเป็นประเด็นที่ไทยต้องให้ความสำคัญกับการพัฒนาที่สมดุลระหว่างการผลิตและระบบส่ง นอกจากนี้ ปัญหาอื่น ๆ ยังรวมถึงความไม่ชัดเจนของ Roadmap และนโยบายที่ล่าช้า เช่น Direct PPA ที่ยังไม่ครอบคลุม SMEs และอุตสาหกรรมอื่น กระบวนการขออนุญาตที่ซับซ้อน และการขาดการส่งเสริม Net Metering อย่างจริงจัง รวมถึงการเปรียบเทียบที่ไม่ถูกต้องกับกรณีไฟดับในสเปน ซึ่งมีบริบทแตกต่างจากไทยมาก ทั้งสัดส่วนพลังงานหมุนเวียนที่สูงกว่า (71% เทียบกับ 5-5.6% ของไทย) และปัญหาโครงสร้างพื้นฐาน ขณะที่ไทยมีโครงข่ายที่แข็งแรงกว่ามาก
นฤชล กล่าวว่า ไทยไม่จำเป็นต้องขายไฟฟ้าในราคาที่ถูกที่สุด แต่ต้องสามารถนำเสนอไฟฟ้าที่ ราคาแข่งขันได้ มีเสถียรภาพ และสะอาดเพียงพอ สิ่งสำคัญที่สุดคือความชัดเจนของนโยบาย Roadmap ที่สามารถนำไปปฏิบัติได้จริง และความร่วมมือระหว่างภาครัฐและเอกชนที่เข้มแข็ง
สำหรับผู้ประกอบการ SME ซึ่งคิดเป็น 35% ของ GDP และ 95% ของธุรกิจทั้งหมดในประเทศ นฤชลแนะให้ใช้ช่วงเปลี่ยนผ่านนี้เป็นโอกาส “ตรวจสุขภาพธุรกิจ” เพื่อมุ่งสู่ความยั่งยืน ระบุความเสี่ยง ค้นหาโอกาส สร้างแผน Quick Win เช่น การติดตั้งโซลาร์เซลล์ หรือการเปลี่ยนไปใช้รถยนต์ไฟฟ้าหากมีความคุ้มค่า และวางแผนระยะยาว นอกจากนี้ ควรใช้ประโยชน์จาก Green Financing และมองว่า Sustainability คือโอกาสทางธุรกิจ ดังที่ผลวิจัยชี้ว่าผู้บริโภค Gen Y ยินดีจ่ายเพิ่มให้กับสินค้าที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม พร้อมกันนี้ยังเรียกร้องให้ภาครัฐออกมาตรการที่เป็นธรรม สนับสนุน SME ด้วยการถ่ายทอดความรู้และเทคโนโลยี และที่สำคัญที่สุดคือ “ใจ” ของผู้ประกอบการที่ต้องไม่ท้อถอยและพร้อมปรับตัว
นวัตกรรมการแพทย์พลิกชีวิต: ปั้นไทยสู่ศูนย์กลางสุขภาพโลก

ขณะที่ภาคพลังงานกำลังพลิกโฉม ศ.ดร.นพ.วิปร กล่าวว่า อุตสาหกรรมการแพทย์และสุขภาพของไทยเป็นอีกหนึ่งเครื่องยนต์สำคัญของเศรษฐกิจ การใช้จ่ายด้านสุขภาพทั่วโลกเพิ่มขึ้นทุกปี โดยเฉพาะหลังยุคโควิดที่เติบโตกว่า 15-20% ประกอบกับแนวโน้มสังคมผู้สูงอายุ ซึ่งประเทศไทยได้เข้าสู่สังคมผู้สูงอายุโดยสมบูรณ์ในปี 2023 และจะเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุระดับสุดยอดในอีกไม่ถึง 10 ปีข้างหน้า ปัจจัยเหล่านี้ยิ่งเพิ่มความต้องการบริการสุขภาพขั้นสูง
ศ.ดร.นพ.วิปร กล่าวว่า ธุรกิจ Health Tourism เป็นส่วนประกอบสำคัญของการท่องเที่ยวไทย และการจะเพิ่มมูลค่าให้ Medical Tourism ของไทยนั้น ไม่ได้จำกัดอยู่เพียงการทำศัลยกรรมหรือรักษาโรคทั่วไป แต่ต้องมุ่งเน้นไปที่เทคโนโลยีการแพทย์ขั้นสูง ความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีการแพทย์จึงเป็นหัวใจสำคัญ โดยครอบคลุมตั้งแต่เทคโนโลยีจีโนม (Genomics) ที่ช่วยพยากรณ์และวินิจฉัยโรคได้อย่างแม่นยำ,เทคโนโลยีการสร้างตัวอ่อน (Embryo Technology & PGT) เพื่อคัดเลือกตัวอ่อนที่สมบูรณ์ปลอดโรค ซึ่งไทยมีความชำนาญมานับ 10 ปี ไปจนถึงการตรวจวินิจฉัยโรคติดเชื้อด้วยเทคโนโลยีโมเลกุลที่รวดเร็วและแม่นยำยิ่งขึ้น
นอกจากนี้ เทคโนโลยีแห่งอนาคตอย่างสเต็มเซลล์และยีนบำบัด (Stem Cells & Gene Therapy) ซึ่งมีมูลค่ามหาศาลก็กำลังได้รับการพัฒนากรอบมาตรฐานในไทย ควบคู่ไปกับการตรวจคัดกรองมะเร็ง (Cancer Screening) ที่ล้ำสมัย การตรวจจีโนมทั้งหมด (Whole Genome/Exome Sequencing) เพื่อไขรหัสสุขภาพเฉพาะบุคคล และการตรวจทดสอบขั้นสูง (Advanced Biomarkers) เช่น โปรตีนที่บ่งชี้ความเสี่ยงอัลไซเมอร์ หรือการวัดอายุขัยของเซลล์ ทั้งหมดนี้คือเครื่องมือที่จะยกระดับการแพทย์ไทย
ซึ่งบริษัท แอท-ยีนส์ ได้เข้ามาเสริมศักยภาพนี้ผ่านโมเดล B2B โดยนำเสนอบริการตรวจวิเคราะห์ขั้นสูงเหล่านี้ให้กับโรงพยาบาลต่าง ๆ นอกจากนี้ ศ.ดร.นพ.วิปร ยังมองว่า “ความเป็นไทย” และจิตวิญญาณการบริการ (Hospitality) เป็นจุดแข็งสำคัญในการดึงดูดผู้ใช้บริการจากทั่วโลก ประกอบกับการสร้างพันธมิตรที่แข็งแกร่ง และการเข้าถึง Supply Chain ที่หลากหลายขึ้น เช่น จากประเทศจีน ทำให้มีทางเลือกวัตถุดิบในราคาที่แข่งขันได้มากขึ้น
อย่างไรก็ตาม อุตสาหกรรมการแพทย์ยุคใหม่ของไทยยังต้องเผชิญความท้าทายหลายประการ ศ.ดร.นพ.วิปร ชี้ว่า กฎระเบียบที่ไม่ชัดเจนหรือล้าสมัย เช่น กฎหมายที่เกี่ยวข้องกับสเต็มเซลล์และยีนบำบัดซึ่งยังคงใช้ฉบับเก่าแก่กว่า 60 ปี เป็นอุปสรรคสำคัญ นอกจากนี้ยังมีการขาดแคลนผู้เชี่ยวชาญเฉพาะทาง และโอกาสในการฝึกอบรมภาคปฏิบัติจริงสำหรับนักศึกษา เนื่องจากต้นทุนการทดสอบที่สูงทำให้มหาวิทยาลัยไม่สามารถลงทุนให้นักศึกษาได้ทดลองทำจริงมากนัก จึงจำเป็นต้องอาศัยความร่วมมือกับภาคอุตสาหกรรมในรูปแบบสหกิจศึกษา ต้นทุนของเทคโนโลยีและการวิจัย โดยเฉพาะในส่วนกลางน้ำ (Midstream) หรือ TRL (Technology Readiness Level) ระดับกลาง ๆ ที่เชื่อมระหว่างงานวิจัยพื้นฐานกับการนำไปใช้ในเชิงพาณิชย์ยังคงเป็นช่องว่าง และความผันผวนทางเศรษฐกิจก็ส่งผลให้ผู้คนระมัดระวังการใช้จ่ายมากขึ้น
กลยุทธ์สำคัญตามมุมมองของ ศ.ดร.นพ.วิปร คือการพัฒนาบริการเพื่อให้ประเทศไทยกลายเป็น Global Destination ด้านการแพทย์อย่างแท้จริง โดยการนำเสนอเทคโนโลยีขั้นสูงที่หาจากที่อื่นไม่ได้ หรือหากมีก็ไม่สามารถแข่งขันด้านราคากับเราได้ และเน้นการทบทวนและปรับปรุง Facility รวมถึงองค์ความรู้อย่างสม่ำเสมอ เนื่องจากวิทยาศาสตร์การแพทย์มีการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว ดังตัวอย่างการพัฒนาชุดตรวจโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ 21-24 โรคจากปัสสาวะ นอกจากนี้ ยังต้องให้ความสำคัญกับการหาพันธมิตรทั้งจากโลกตะวันตก (อเมริกา, ยุโรป) และโลกตะวันออก (ญี่ปุ่น, ไต้หวัน, จีน) การลงทุนในเทคโนโลยีใหม่ ๆ อย่างต่อเนื่องเพื่อสร้าง Capacity Building และพัฒนาบุคลากร รวมถึงการใช้เครื่องมือใหม่อย่าง AI เพื่อช่วยในการอัปเดตข้อมูลและกำหนดทิศทางการพัฒนาอย่างมีประสิทธิภาพ
สานพลังสองอุตสาหกรรม: ก้าวข้ามพรมแดนความท้าทาย
เมื่อพิจารณาทั้งสองภาคส่วน จะเห็นได้ว่าทั้งพลังงานสีเขียวและนวัตกรรมการแพทย์ต่างเผชิญความท้าทายและมีโอกาสบนเส้นทางที่คล้ายคลึงกัน ประเด็นแรกคือความจำเป็นในการมีนโยบายและกฎระเบียบที่ชัดเจน ทันสมัย และเอื้อต่อการพัฒนา
ประเด็นต่อมาคือการพัฒนาผู้เชี่ยวชาญและบุคลากรที่มีทักษะสูง ซึ่งเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับทั้งสองอุตสาหกรรม นอกจากนี้ ทั้งสองภาคส่วนยังต้องการการลงทุนในเทคโนโลยีและโครงสร้างพื้นฐาน โดยเฉพาะอย่างยิ่งเสถียรภาพด้านพลังงาน ซึ่งศ.ดร.นพ.ย์วิปร ชี้ว่าเป็นปัจจัยสำคัญอย่างยิ่งต่อการทำงานของเครื่องมือแพทย์ และท้ายที่สุดคือการยอมรับการเปลี่ยนแปลง การสร้างนวัตกรรม และการวางแผนเชิงรุก ซึ่งถือเป็นหัวใจสำคัญในการขับเคลื่อนธุรกิจไปข้างหน้า แม้จะมีการกล่าวถึงว่าประเทศไทยอาจยังพึ่งพาอุตสาหกรรมยุคเก่า แต่มุมมองจากทั้งสองท่านชี้ให้เห็นว่า การเปลี่ยนผ่านสู่เศรษฐกิจยุคใหม่นั้นเป็นไปได้ โดยพลังงานสีเขียวจะเป็นรากฐานสำคัญของความสามารถในการแข่งขันในทุกอุตสาหกรรม ขณะที่การแพทย์ขั้นสูงจะยกระดับคุณภาพชีวิตและสร้างมูลค่าเพิ่มทางเศรษฐกิจอย่างมหาศาล
การขับเคลื่อนประเทศไทยสู่อนาคตที่ยั่งยืนและมั่งคั่ง จำเป็นต้องอาศัยการพัฒนาอย่างเข้มแข็งในหลากหลายมิติ พลังงานสีเขียวและนวัตกรรมการแพทย์เป็นสองเสาหลักที่จะกำหนดความสำเร็จนี้ การสร้างความร่วมมือระหว่างภาครัฐ ภาคเอกชน และภาคประชาชน พร้อมด้วยนโยบายที่มองการณ์ไกลและการลงทุนที่ตรงจุด จะเป็นพลังสำคัญให้ประเทศไทยสามารถคว้าโอกาสจากเมกะเทรนด์เหล่านี้ และสร้างอนาคตที่สดใสสำหรับคนทุกรุ่นได้อย่างแท้จริง
ข่าวอื่น ๆ ที่น่าสนใจ
กทม. เปิดพื้นที่ปฏิบัติการเพื่อโลกยั่งยืน ร่วมจัด Bangkok Climate Action Week
NET ZERO: ทางรอด และทางรุ่งใหม่ในธุรกิจ SME
ธุรกิจไทยมุ่งสู่ความหลากหลายทางชีวภาพ สร้างรากฐานความยั่งยืน




